พิชญ์ชาพร 2

2175 Words
พิชญ์ชาพร เช้าวันต่อมาพิชญ์ชาพรกำลังนั่งมึนหัวเพราะอาการแฮงก์ และตัวสั่นนิดๆ รอสัมภาษณ์งานด้วยความตื่นเต้นอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง หลังเรียนจบเธอก็รีบหางานทำทันที เธอส่งใบสมัครและส่งเรซูเม่ไปหลายบริษัท แต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบรับกลับมาสักที บริษัทนี้ถือเป็นองค์กรแรกที่เรียกตัวเธอมาสัมภาษณ์ ทำให้เธอตื่นเต้นมาก เพราะมันคือการสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตของเธอ พิชญ์ชาพรเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนและอยากทำงานในกรุงเทพฯ เพราะว่าเธอไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่บ้านเสียเท่าไหร่ ไม่ชอบมนุษย์ป้าข้างบ้านที่สอดแนมชีวิตของเธอเกินความจำเป็น แถมยังชอบเอาเรื่องของลูกสาวตัวเองมา Bluff ใส่เธออีกต่างหาก ส่วนอีกเหตุผลก็คือ เธอชอบใช้ชีวิตในเมืองมากกว่า เธอคิดว่ามันมีอะไรให้ทำมากกว่าอยู่ต่างจังหวัด ครอบครัวของเธออยู่ในฐานะปานกลาง มีกินมีใช้ ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ขัดสนอะไร บิดามารดาของเธอสามารถส่งให้เธอเรียนจนจบได้โดยไม่ต้องกู้ยืม แต่เรียนจบแล้วก็ต้องรีบทำงานหาเงินใช้เอง เพราะต่อจากนี้เธอจะถูกตัดขาดจากครอบครัวอย่างถาวร มารดาของเธอเคยกล่าวเอาไว้อย่างขำๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่พิชญ์ชาพรก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะเธอมีกิเลสที่ต้องใช้เงินซื้ออีกมากมาย ถ้าจะขอเงินมารดาซื้อก็รู้สึกผิด เธอจึงต้องรีบหางานและหาเงินใช้เองให้ได้ "คนต่อไป คุณพิชญ์ชาพร เอมกลิ่น เชิญค่ะ" พิญ์ชาพรที่นั่งอ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับองค์กรอยู่สะดุ้งตัวขึ้นนิดๆ ด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่เดินออกมาเรียกให้คนต่อไปเข้าไปสัมภาษณ์ดังขึ้น เธอยกมือขึ้นแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่แล้วรีบลุกขึ้นยืน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะผายมือเชิญเธอให้เข้าไปในห้อง หญิงสาวก้าวเดินเข้าไปพร้อมกับหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น มือสั่นและเย็นด้วยความตื่นต้น เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจของตัวเองให้กลับมาเข้าร่าง แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง แล้วเจอกรรมการที่นั่งรอสัมภาษณ์เธออยู่ถึงเจ็ดคนด้วยกัน! "เชิญนั่งค่ะ" พิชญ์ชาพรรีบดึงสติตัวเองให้กลับมา เมื่อเสียงหนึ่งในเจ็ดคณะกรรมการเอ่ยเชิญเธอนั่ง หญิงสาวกล่าวขอบคุณ ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งไว้กลางห้องแบบตัวเดียวโดดๆ ทุกสายตาจดจ้องไปที่พิชญ์ชาพรเป็นตาเดียว บวกกับอาการมึนๆ ที่ยังคั่งค้าง สติสตังไม่ค่อยเต็มร้อยเท่าไหร่ ทำให้หญิงสาวเกิดความประหม่ามากขึ้น ความมั่นใจที่เรียกกลับมาเข้าร่างก่อนหน้านี้ หายไปตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วเจอคณะกรรมการนั่งรอสัมภาษณ์เธออยู่ถึงเจ็ดคนแล้ว อาจจะเป็นเรื่องปกติที่ต้องมีคณะกรรมการเยอะๆ แบบนี้ แต่นี่คือการสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตของพิชญ์ชาพร จึงทำให้เกิดความประหม่าขึ้นมาจนแทบควบคุมไม่อยู่ "เชิญแนะนำตัวเลยครับ" ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เรียกสติตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง เสียงของคณะกรรมการผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาบอกให้เธอเริ่มแนะนำตัวเอง ‘มึงเก่ง มึงทำได้อยู่แล้ว เชื่อกู’ คำพูดของคณาธิปเพื่อนชายใจหญิงของเธอที่มักจะพูดให้กำลังใจเธอทุกครั้งดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คอขาดบาดตายแค่ไหน เพื่อนของเธอก็มักจะพูดแบบนี้กับเธอทุกครั้ง ไม่แน่ใจว่าประชดหรือว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยๆ ในเวลาแบบนี้ คำพูดเหล่านั้นก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่ดีของเธอเลยล่ะ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกความมั่นใจของตัวเองอีกครั้ง คิดในแง่ดี ขนาดเพื่อนยังเชื่อมั่นในตัวเธอขนาดนั้น (ถ้ามันไม่ได้ประชดอะนะ) เราก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองให้มากกว่าสิ "สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อพิชญ์ชาพร เอมกลิ่น อายุยี่สิบเอ็ดปี จบคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ มหาวิทยาลัย..." พิชญ์ชาพรแนะนำตัวเองอย่างคร่าวๆ พร้อมรอยยิ้มที่คิดว่าสดใสที่สุดในชีวิต พลางกวาดสายตามองคณะกรรมการทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ คณาธิปบรีฟกับเธอมาว่าเวลาพูดต้องสบตากับผู้ฟัง ห้ามหลบตาเด็ดขาด หญิงสาวไล่สายตามองคณะกรรมการไปทีละคน ตั้งแต่คนที่นั่งคนแรกไปเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาเธอจะไปสะดุดกับกรรมการคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในลำดับรองสุดท้าย และทันใดนั้น... หล่อ โคตรหล่อ! หล่อทะลุทะลวงมดลูก ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยความหล่อของกรรมการที่นั่งอยู่ในลำดับที่หก รู้แค่ว่าหล่อมากจริงๆ นี่ถ้าเธอได้เข้าทำงานที่นี่ เธอคงจะมีกำลังใจในการทำงานดีมากแน่ๆ อาหารตาสุดๆ "จบจากมหาวิทยาลัย...เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรอครับ" ในขณะที่พิชญ์ชาพรกำลังเคลิบเคลิ้มกับความหล่อทะลุมดลูกของกรรมการลำดับที่หกอยู่นั้น เสียงของกรรมการลำดับที่เจ็ดก็ดังขึ้น เรียกสายตาของพิชญ์สายตาให้หันไปมอง ก่อนจะ... โอ้ มายก๊อด! ลำดับที่หกว่าหล่อแล้ว ลำดับที่เจ็ดเองก็หล่อไม่ต่างกันเลย หล่อโฮก หล่อลากดิน แต่อย่าลากดินเลย มาลากอีพิชญ์ไปเถอะ จะลากไปไหนก็ได้ หรือจะลากเข้าห้องก็แล้วแต่เลย นาทีได้หมด! ฮือ...คิดถึงอีคิณณ์จัง "คุณ คุณครับ คุณพิชญ์ชาพรครับ" เสียงของกรรมการลำดับที่เจ็ดดังขึ้นมา ทำให้สติของพิชญ์ชาพรที่เตลิดไปไกลแสนไกลนั้นกลับมาเข้าร่างอีกครั้ง "คะ!? เอ่อ…ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะคะ" เพราะมัวแต่หลงใหลในความหล่อลากดิน เลยไม่ได้ตั้งใจฟังเลยว่ากรรมการถามว่าอะไร จะรอดไหมน้ออีพิชญ์เอ๊ย! "เปล่าครับ ผมยังไม่ได้ถามอะไร ผมเห็นคุณดูเหม่อๆ ผมก็เลยลองเรียกดู" กรรมการสุดหล่อลำดับที่เจ็ดว่า "อ๋อค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ" "มีสติหน่อยค่ะ นี่คือการสัมภาษณ์งาน ถ้าคุณยังไม่พร้อม ก็เชิญออกไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแล้วค่อยเข้ามาใหม่" กรรมการผู้หญิงว่าขึ้นมาบ้าง พร้อมมองเธอด้วยสายตาเรียบนิ่งพลางขยับแว่นตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ "ว่าไง จะให้คนที่พร้อมเข้ามาก่อนไหม" "ไม่ค่ะ ดิฉันพร้อมค่ะ" พิชญ์ชาพรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยืดหลังตรง ปรับการนั่งเล็กน้อย เพื่อเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง ท่องไว้อีพิชญ์ งานต้องมาก่อน ผู้ชายเอาไว้ทีหลัง ถ้าสัมภาษณ์ผ่านแล้วได้ทำงานที่นี่ ก็จะได้มองผู้ชายได้อย่างเต็มที่ จะมองกี่คนหรือจะมองนานแค่ไหนก็ได้ ตอนนี้ต้องเอางานให้ได้ก่อน ฮึบ! "งั้นเริ่มกันเลยแล้วกัน" ผู้ชายวัยกลางคน ดูมีอายุ แต่ก็ยังไม่แก่มากนัก นั่งอยู่จุดกึ่งกลางในลำดับที่สี่พูดขึ้น ก่อนจะก้มลงไปกวาดสายตามองกระดาษเอสี่ที่อยู่ในมือ แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง "ผลการเรียนของคุณน่าสนใจดี แล้วคิดยังไงถึงมาสมัครตำแหน่งเลขาฯ" "คิดว่าเป็นงานที่ท้าทายดีค่ะ ด้วยภาระงานที่กำหนดไว้ใน JD (Job Description) น่าจะเป็นงานที่ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ ได้ฝึกฝนตนเอง และน่าจะได้ประสบการณ์อะไรหลายๆ อย่างจากตำแหน่งงานนี้มากกว่าตำแหน่งอื่นๆ ค่ะ" จริงๆ อยากตอบว่าที่มาสมัครงานตำแหน่งนี้ เพราะอินกับซีรีส์เกาหลีเรื่อง ‘รักมั้ยนะเลขาคิม’ มากกว่า แต่ปรึกษากับเพื่อนคิณณ์มาแล้ว ถ้าตอบแบบนี้ไม่น่าจะผ่านเข้ารอบ จากนั้นคณะกรรมการก็เริ่มสลับกันถามคำถามกับพิชญ์ชาพร ซึ่งแต่ละคำถามเธอก็ได้เตรียมคำตอบเอาไว้หมดแล้ว จึงทำให้การสัมภาษณ์งานในวันนี้เหมือนจะราบรื่น...มั้งนะ "มีใครอยากถามอะไรอีกไหม" กรรมการผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางหันซ้ายหันขวา ถามกรรมการด้วยกันเอง ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่กรรมการลำดับที่หกกับลำดับที่เจ็ด แล้วถามขึ้นอีกครั้ง "เรน รัน มีอะไรถามเพิ่มเติมไหม" "คุณมีแฟนไหม" พิชญ์ชาพรเบิกตากว้างทันทีด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆ กรรมการลำดับที่หกก็ถามคำถามที่ไม่คาดคิดกับเธอ นี่มันเรื่องส่วนตัวของเธอนะ หญิงสาวหันไปมองหน้ากรรมการท่านอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็ดูปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับคำถามของกรรมการท่านนั้นเลย "เอ่อ..." "คืออย่างงี้ครับคุณพิชญ์ชาพร" กรรมการคนที่เจ็ดพูดขึ้น เมื่อรู้สึกถึงความไม่สะดวกใจในการตอบคำถามของหญิงสาว "เราอยากให้คุณเข้าใจก่อนว่า งานในตำแหน่งเลขานุการ อาจจะมีออกนอกพื้นที่ไปต่างจังหวัดบ้างหรือไปต่างประเทศบ้าง เราก็เลยอยากจะมั่นใจก่อน ว่า ถ้าเรารับคุณเข้ามาทำงานแล้ว คุณจะไม่มีปัญหาอะไรทีหลัง หรือถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือ ทางเรากลัวว่าคุณจะมีปัญหากับแฟนเวลาที่ต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่ และมันอาจจะกระทบกับงานของเรา" "อ๋อ...ไม่มีค่ะ ไม่มี ดิฉันยังไม่มีแฟนค่ะ" หญิงสาวตอบพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ รู้สึกอายนิดหนึ่ง จริงๆ เธอน่าจะคิดได้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องประมาณนี้ ทำไมเธอถึงได้ไปคิดลึกขนาดนั้นกันนะ คิดว่าคนถามเขาอาจจะสนใจอะไรในตัวเธอ...เฮ้ย! บ้าไปแล้ว "แล้วคุณสะดวกไหม ถ้าต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศบ่อยๆ" กรรมการคนที่เจ็ดถามต่อ "สะดวกค่ะ สะดวกมากๆ" หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง ออกนอกพื้นที่ = ได้เที่ยว ไม่สะดวกก็บ้าแล้ว [สัมภาษณ์งานเป็นยังไงบ้างค้า นีพิชญ์] เสียงของคณาธิปดังเข้ามาในสายทันที หลังจากพิชญ์ชาพรกดรับสาย ส่วนคำว่า ‘นีพิชญ์’ ที่คณาธิปเรียกเธอนั้น เป็นศัพท์กะเทยที่ย่อมาจากคำว่า ‘ชะนีพิชญ์’ นั่นเอง ก็ไม่เข้าใจว่าเรียกเต็มๆ เลยไม่ได้หรือยังไง ทำไมต้องมีย่อด้วยก็ไม่รู้ "หล่อ กูไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำนี้เลยมึง แต่บอกได้เลยว่าหล่อมาก!" พิชญ์ชาพรว่าอย่างออกรสออกชาติ ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋าทิ้งลงบนโซฟาแล้วก้าวขาขึ้นไปนั่ง "กูโคตรคิดถึงมึงเลยอีคิณณ์ คันปากยิบๆ กูรับรองเลยว่า ถ้ามึงได้เห็นกรรมการสองคนนั้นนะ มึงต้องกรี๊ดบ้านแตกแน่ๆ" [เดี๋ยวๆ นี่มึงไปสัมภาษณ์งานหรือไปหาผัวคะ] "มึ้งงง พอไปอยู่จุดนั้นแล้ว มึงจะลืมเรื่องสัมภาษณ์งานไปเลย และรู้ได้ทันทีว่าการหาผัวมันสำคัญมาก!" [เอิ่ม...อีชะนี มึงใจเย็นๆ ก่อนนะ สรุปจะได้ไหมเนี่ยงานน่ะ] "ไม่รู้ว่ะ ก็ต้องรอลุ้นผลเอา อีกสามวันก็น่าจะรู้ผลแล้วล่ะมั้ง" การสัมภาษณ์งานวันนี้ค่อนข้างราบรื่นก็จริง แต่ก็ยังมีคู่แข่งอีกหลายคน ซึ่งอาจจะตอบคำถามได้ดีกว่าเธอก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ [มึงได้อยู่แล้วแหละ เชื่อกู] คณาธิปว่าอย่างมั่นใจในตัวเพื่อนสาว "กูต้องเชื่อมึงอีกแล้วใช่ไหม" พิชญ์ชาพรว่าอย่างขำๆ [แน่นอนสิ เชื่อกูแล้วจะเจริญ ว่าแต่คืนนี้ยังไง ฉลองล่วงหน้าที่ นีพิชญ์ได้งาน] "อือได้ แต่กูขอนอนก่อน ตอนนี้กูง่วงมาก แอลกอฮอล์เมื่อคืนนี้ยังอยู่ในเลือดกูอยู่เลย" พิชญ์ชาพรตอบรับเพื่อนง่ายๆ ไม่ใช่เพราะฉลองงานใหม่อย่างที่คณาธิปว่า แต่เป็นเพราะปกติเธอก็มักจะออกไปเที่ยวทุกคืนกันอยู่แล้ว [เป็นไงล่ะ จะกลับห้าทุ่มมึง พอเหล้านอกเข้าปากเท่านั้นแหละ ‘มึง! เติมมาอีก!’ สรุปเรื้อนเป็นหมา] คณาธิปล้อเลียนเพื่อนขำๆ "พอเลย เพราะเหล้านอก อิมพอร์ตจากอิตาลีของอีมัดหมี่นั่นแหละ กูเกือบเอาชีวิตไม่รอด" มัดหมี่ที่พิชญ์ชาพรพูดถึงก็คือชื่อในวงการของมนัส เพื่อนชายใจหญิงของเธอนั่นเอง พอพูดจบเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะสะใจมาจากปลายสาย ทั้งสองคุยกันต่ออีกนิดหน่อย นัดแนะสำหรับคืนนี้ จากนั้นก็วางสายไปก่อนที่พิชญ์ชาพรจะย้ายร่างของตัวเองไปนอนบนเตียง เติมพลังสำหรับศึกคืนนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD