ปฐมบท

1878 Words
ดวงจิต – THE SPIRIT ผมตัวเบาหวิวนานเท่าไหร่ไม่ทราบ! มองขึ้นบน เห็นท้องฟ้าดำมืดมิด มองรอบตัว เห็นควันสีเทาลอยล่องไปทั่ว มองลงล่าง เห็นแสงไฟวูบวาบ ๆ จากรถพยาบาลและรถตำรวจ เบื้องล่าง เหล่าฝูงชนมุงดูเหตุการณ์เต็มไปหมด บ้างชุลมุนวุ่นวายดึงพ่อออกจากซากรถยับยู่ยี่ เห็นพวกเขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์คลุมร่างพ่อ ได้ยินเสียงพูดจากชายในชุดเครื่องแบบสีขาวว่า “คนนี้ถูกพวงมาลัยอัดอกตายคาที่” เห็นคนอีกกลุ่มงัดประตูดึงผมออกจากซากรถ คลุมผมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ได้ยินเสียงชายในเครื่องแบบคนเดิมพูดว่า “เด็กคนนี้คงคอหักตาย” “ผมตายพร้อมพ่อแล้วจริง ๆ หรือ! แล้วตอนนี้ผมอยู่ในร่างใคร?” ผมมองไม่เห็นตัวเอง เห็นแต่ดวงไฟล่องลอยรอบตัวทั่วไปหมด หรือผมคือหนึ่งในดวงไฟเหล่านี้! แต่ผมต้องการมีร่างให้พ่อกอดมากกว่า ไม่ใช่อยู่ในอุ้งมือชายชราผมขาวโพลนขณะนี้ จึงปล่อยตัวหลุดจากอุ้งมือชายชรา ล่องลอยร้องเรียกหาแม่เหมือนเด็กสามขวบ ได้แต่ตะโกนสุดเสียง “แม่... แม่คร้าบบบ... แม่อยู่หนายยย” ทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์ ผมก็ยังตะโกนหาแม่นับพันครั้ง ปล่อยตัวล่องลอยไร้ทิศทางนานเท่าไหร่ไม่ทราบ! ตอนนี้ นานพอจนผมควบคุมตัวเองได้แล้ว ทราบว่าต้องปล่อยจิตล่องลอยอย่างไรไปในทิศทางที่ต้องการ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดให้ล่องลอยอยู่เพียงบริเวณนั้น กระทั่งได้ยินเสียงพิธีกรรมและบทสวดจากผู้คนกลุ่มหนึ่งบนถนนพุทธมณฑล กม. ๒๕ ที่ส่งพลังจิตบางอย่างจนผมหักห้ามใจไม่ไหว จำต้องเบนตัวตามเสียงอัญเชิญขบวนรถของคนกลุ่มนั้น มุ่งสู่ทิศใต้ยังอำเภอสามพราน ยามเหงา ยามเศร้า ทำไมเวลาช่างผ่านเชื่องช้าเหลือเกิน ผมเหมือนต้องมนต์ไม่อยากล่องลอยไปไหนอีก ตัวสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงเบื้องล่างจากวัดบางพระ เป็นเสียงสวดพระอภิธรรมของพระจำนวน ๙ รูป เปล่งอุทิศส่วนบุญกุศลแก่สองพ่อลูก นายอุทัย ชาตะ ๒๔๙๐ มรณะ ๒๕๓๔ และเด็กชายเทวเนตร ชาตะ ๒๕๒๐ มรณะ ๒๕๓๔ อย่างนี้พ่อก็ต้องอยู่บริเวณนี้ด้วยสิ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้พ่อเป็นดวงไฟเหมือนผม หรือเป็นดวงวิญญาณ หรือพ่อเป็นเทพอยู่สรวงสวรรค์? ไม่มีทางทราบได้เลยเพราะขณะนี้ ผมเป็นเพียงดวงจิตอ่อนเยาว์ อ่อนประสบการณ์ดวงหนึ่งเท่านั้น เหมือนถูกมนต์สะกดให้ต้องอยู่ฟังพระสวดพระอภิธรรมตลอดเจ็ดคืน ได้ยินและเห็นเหตุการณ์แสนเศร้า ว่า สวดคืนแรกแม่ไม่มา ได้ยินลุงปรีชาบอกอาองอาจว่าแม่แท้งลูก ...เห็นปวีณาตาแดงกล่ำมากับเอกพจน์ทุกคืน ...เห็นประจักษ์ สมชัยและชาตรีในสภาพหงอยเหงา ...เห็นญาติทุกคนรวมป้าปราณีน้ำตาคลอเต็มเบ้า ...เห็นน้าดวงเดือนร้องไห้จนเป็นลมและน้าสมัยที่เอาแต่ซึม ...เห็นลุงแม้นกล่าวนำอาราธนาศีลและจัดพิธีการงานศพทั้งหมด แต่ไม่เห็นน้องแก้วตาที่ผมยังห่วง ขณะนี้ ชื่อทุกคนยังอยู่ในความทรงจำ เพราะผมรักและผูกพันธ์กับพวกเขา! คืนที่สองแม่มาด้วยสายน้ำเกลือโยงระยางพร้อมพยาบาลประกบตลอด แม่ไม่พูดจาสักคำ เอาแต่ร้องไห้และเป็นลมบ่อยมากตลอดทั้งหกคืน พิธีเผาศพตรงกับวันอาทิตย์จึงมีแขกมาแน่นวัด เพื่อนนักเรียนในห้องมางานเผาเกือบทุกคน หลังเสร็จพิธีเผา ผมได้ยินลุงแม้นบอกแม่ “ดวงจิตเทวเนตรยังไม่ไปไหนหรอกครับ เขายังมีมีภารกิจต้องทำต่อ คุณนายเก็บเสื้อผ้าของเทวเนตรไว้ก่อนนะ สักวันเขาจะได้กลับมาใช้อีก ผมเอาเส้นผมของเทวเนตรไปทำพิธีให้เขาดื่มแล้วครับ” จากนั้น ผมล่องลอยอยู่ภายในบริเวณบ้านแม่ หวังลึก ๆ ว่า วันหนึ่งจะได้สัญญาณจากพ่อบ้าง แต่เหนืออื่นใด รักและห่วงแม่มากที่ความซึมเศร้าไม่จางหายสักที ผมอยากร้องไห้ที่เห็นแม่ระทมทุกข์สุดขีด ก็ไม่มีน้ำตาให้หลั่ง อยากตะโกนบอกรักแม่มากที่สุดในโลก ก็เอ่ยเป็นคำพูดไม่ได้ อยากมีสองแขนโอบกอดคอแม่ ก็ไม่มีร่างหลงเหลือให้ทำ จำต้องเฝ้าวนเวียนลอยไปมาบริเวณบ้าน ...ดั่งดวงจิตที่สิ้นหวัง ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ บัดนี้ มีบางสิ่งบอกถึงเวลาแล้วต้องหาร่างใหม่พักพิง ผมจึงล่องลอยสอดส่องหาผู้คนตามจิตใฝ่ฝัน และตามเสียงลึกลับที่เริ่มส่งเสียงพร่ำเพรียกร้องหา ผมล่องลอยตามแต่ละบ้านแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เหมือนถูกเจ้าที่สกัดกั้นเกือบทุกหลังคาเรือน ดวงจิตผมล่องลอยต่อ ผ่านโรงพยาบาลที่มีเด็กเกิดใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งถึงเมืองมีตึกรโหฐานสูงเหยียดฟ้าเต็มไปหมด ผมเห็นชายมีอายุเคียงคู่หญิงสาวสวยดุจนางฟ้า กำลังนั่งอธิษฐานหน้าศาลพระภูมินอกตัวอาคารหนึ่งของโรงพยาบาล นางฟ้าองค์นั้นงามไม่มีที่ติ แหงนหน้าตรงมายังผมขณะพนมมือสวดอธิษฐานขอพรอะไรสักอย่าง จากนั้นอ้าแขนกว้างกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “แม่รออยู่นะ” ใช่แล้ว เสียงลึกลับพร่ำเพรียกร้องนี้แหละ ที่ดังกังวานตลอดในประสาทหู ผมพุ่งตัวสุดแรงเกิดยังนางฟ้าองค์นั้น และเหมือนการแข่งขันแสนโกลาหลเกิดขึ้นทันใด เมื่อดวงจิตเล็ก ๆ นับล้านดวง ต่างลอยพุ่งกรูยังหญิงงามนางฟ้าองค์นั้นด้วยเช่นกัน อาจเพราะเลือดนักสู้อันแข็งแกร่ง ผมเข้าถึงตัวนางฟ้าแสนงามปักหลักชัยชนะเลิศได้ก่อนใคร พร้อมแสงวาบจากฟากฟ้าผ่าเข้ากลางศีรษะ ผมไม่เคยสัมผัสชัยชนะอันดับหนึ่งเลยสักครั้ง บัดนี้รับรู้ได้ว่าชนะเลิศเป็นครั้งแรกแล้ว สุดท้ายจำได้ว่านอนขดตัวอยู่ในห้องอันแสนอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรัก จากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย! ********** ผมชื่อโตโต้ครับ อายุสิบห้าหมาด ๆ เมื่อ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ผมสะดุ้งพรวดตื่นเป็นนั่ง ใจเต้นโครมเหงื่อท่วมตัว มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน เคยลองสวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่ช่วยให้เลิกฝันนี้ได้เลย สมัยวัยเด็กเคยเล่าความฝันให้แม่ฟัง แม่เพียงยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูและลูบหัวผมเบา ๆ พูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกโตโต้ ...ทุกคนฝันจ้ะ” สุดท้ายจึงเลิกเล่าให้แม่ฟังรวมถึงทุกคน โธ่! จะมีใครฟังล่ะขนาดแม่ยังไม่เลย และเชื่อว่านี่คือต้นเหตุให้ผมเป็นคนพูดน้อย ครั้นอายุย่างสิบสาม ฮอร์โมนวัยรุ่นทำให้ผมเปลี่ยนไป มีท่าทางเด๋อด๋า ขี้อาย ไม่สบตาคน อุปนิสัยชอบย้ำคำตอบซ้ำซากและถามคำตอบคำ แต่เมื่อถึงคราวคับขันถึงหรือต้องแข่งขันทางกีฬา ผมไม่เคยถอยครับ ผมรักการกอดมาก ...ทั้งกอดคนที่รักและการถูกกอด โดยเฉพาะกอดของแม่ ผมจำหน้าพ่อไม่ได้หากไม่ได้เห็นจากรูปถ่าย ทราบมาว่าพ่อแต่งงานช้าและอายุเพียงสี่สิบเก้าปีก็เสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อผมอายุได้สามขวบ แต่ความที่พ่อได้รับมรดกมาเยอะจากคุณปู่ ฐานะความเป็นอยู่ของเราสองแม่ลูกจึงสุขสบายเกินพอ พูดภาษาชาวบ้านว่าร่ำรวยก็แล้วกัน แม่จึงให้ได้ทุกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับผม เช่น ส่งเรียนว่ายน้ำ แม้กระทั่งเล่นกอล์ฟเมื่ออายุห้าขวบที่สมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมนัก ความสามารถทางดนตรีและร้องเพลงก็เก่งพอตัวนะ แต่ผลดีกว่านั้นคือมีสมาธิและความมุ่งมั่นสูงที่จะเอาชนะตัวเอง นอกจากเกิดมาฐานะดีแล้ว ใคร ๆ ก็บอกว่าผมน่ารักและหล่อมากแต่เด็ก เมื่อแรกเกิดแม่บอกเพราะนัยน์ตาโต้โต จึงตั้งชื่อเล่นผมว่าโตโต้ ทุกคนชมว่าผมตาสวยและมักเปรียบเปรยว่าตาโตเท่าไข่ห่าน แต่เด่นชัดที่สุดคือขนตางอนยาวที่หลายคนแอบอิจฉา สิ่งเดียวที่ไม่ชอบในตัวคือผอมมากจนเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนล้อเรียกว่า‘ไอ้แห้ง’ หากพูดว่าชาติก่อนผมทำบุญมาเยอะ ชาตินี้จึงโชคดีแสนสุขสบายก็ถูกอยู่ แต่หากบอกว่าผมโชคดีเพราะ‘กลับชาติมาเกิด’คงอึดอัดน่าดู เพราะผมเองก็ยังไม่เชื่อ แล้วจะมีใครเชื่อล่ะ! ความที่เลือดในตัวสับสน จึงเงียบไว้ดีที่สุดครับ ********** อภิชาต เทพดากูล คือชื่อสกุลผมครับ อายุยี่สิบหก แม่เล่าที่มาของชื่อผมว่า เพราะทารกนัยน์ตาโตแวววับด้วยขนตางอนยาวนี้ โตขึ้นจะสร้างชื่อเสียงโดดเด่นยิ่งขึ้นแก่วงศ์ตระกูลผู้ดีเก่าของพ่อ พ่อจึงตั้งชื่อว่าอภิชาต มีความหมายว่า ‘หนุ่มรูปงามเกิดจากตระกูลดี’ เพราะระลึกชาติได้ สมัยเด็กจึงเกิดความสับสนในชีวิตทำให้มีบุคลิกและมีพฤติกรรมแปลก ๆ แต่ทั้งหมดสูญมลายหายสิ้นพร้อมอดีตชีวิตเด็กอายุสิบห้าคนหนึ่ง ครั้นย่างสิบหก ผมเริ่มเป็นตัวตนแท้จริง เลิกเอามือเสยผมเวลาเขินอาย หรือบุคลิกถามคำตอบคำก็ไม่เหลือให้เห็นอีก แต่กลับถูกทดแทนด้วยต่อมน้ำตาตื้นเขินหากเป็นเรื่องความรัก ความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ...เหนืออื่นใด ผมไม่ใช่เด็กที่ฝังใจกับอดีตชาติอีกต่อไป ที่โรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงเกรด ๙ แทบไม่มีใครแม้กระทั่งคุณครูเรียกชื่อจริงผมเลย ทุกคนเรียกแต่ชื่อเล่นครับ ครั้นขึ้นเกรด ๑๐ มีนักเรียนใหม่สมัครเข้ามากมายทดแทนเด็กเก่า ที่ส่วนใหญ่จะไปเรียนต่อหรือย้ายตามผู้ปกครองยังต่างประเทศ เพื่อนเก่าและคุณครูจึงเรียกผมตามเพื่อนใหม่ว่าอภิชาตนับจากนั้น โครงหน้าผมเปลี่ยนไปจากเด็กใสซื่อ ดูแข็งกร้าวขึ้น ยกเว้นนัยน์ตายังคงมุ่งมั่นของความเป็นนักสู้ไม่เคยจาง ผมยอมรับโดยดุษฎีว่ามีแม่สองคนที่ผมมอบความรักให้เท่าเทียมกัน เช่นเดียวกับความผูกพันที่ไม่สามารถอธิบายได้ต่ออดีตเด็กหญิงคนหนึ่งก็ไม่เคยเปลี่ยน ผมจบวิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาเคมีและฟิสิกส์ ด้วยเกียรตินิยมเหรียญทองจากสถาบันอันดับหนึ่งของประเทศ แน่นอนว่า ทุกคนยุให้เรียนต่อปริญญาเอก แต่จะสนใจทำไมเล่า เมื่อสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านอินเตอร์เน็ท แม้กระทั่งศึกษาเรื่อง “การกลับชาติมาเกิด” ก็ทำได้ง่ายแสนง่าย ตอนนี้ผมเป็นชายฉกรรจ์เต็มตัว รูปร่างกำยำ ส่วนสูงถึง ๑๙๐ เซนติเมตร ทว่า ความฝันที่ยังคงตามหลอกหลอนโดยชายชราผมขาวโพลนในอาภรณ์ขาวนี่สิ ให้รู้สึกเหมือนเลือดเขาอยู่ในตัวผม **********
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD