บทที่ 2
ครอบครัวใหม่ ?
สุพรรณวดีสอนพิเศษเด็กคนแรกเสร็จประมาณหนึ่งทุ่มนิด ๆ หลังจากรับเงินค่าจ้างและทำการนัดหมายครั้งต่อไปกับผู้ปกครองของเด็กเรียบร้อย ติวเตอร์สาวก็ไม่รอช้ารีบเก็บของเพื่อเดินทางไปยังบ้านของเด็กอีกคนทันที เพราะเกรงว่าอาจจะไปถึงช้ากว่าเวลานัด ถึงระยะทางจะไม่ไกลเท่าไร แต่ในเวลาเร่งด่วนเช่นนี้คนที่ต่อคิวกันใช้บริการรถสาธารณะก็น่าจะมากพอสมควร
หญิงสาวหยุดชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดินไปยังทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าอย่างเร่งรีบ ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนราคากลาง ๆ ซึ่งกำลังแผดเสียงร้องออกมาจากกระเป๋าผ้าที่สะพายไว้บนไหล่ จากนั้นก็กดรับอย่างไม่รอช้าเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่เธอกำลังจะเดินทางไปสอน
“สวัสดีค่ะ”
[สวัสดีครับคุณเอย ผมอภิวัฒน์ พ่อของน้องโอ๊ตนะครับ]
“ค่ะคุณอภิวัฒน์ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
[ที่นัดให้ไปสอนน้องโอ๊ตที่บ้านวันนี้อะครับ ผมขอเปลี่ยนสถานที่ได้ไหมครับ พอดีตอนนี้ผมติดประชุมที่บริษัท คิดว่าไม่น่าจะพาลูกกลับบ้านทันเวลานัด] ปลายสายบอกอย่างเกรงใจที่ต้องเปลี่ยนแปลงการนัดหมายกะทันหัน
“แล้วจะเปลี่ยนเป็นที่ไหนคะ”
[เป็นที่บริษัท...] ชายหนุ่มบอกชื่อบริษัทที่ตนทำงานอยู่ ก่อนจะถามถึงความสะดวกของอีกฝ่าย [คุณเอยสะดวกมาไหมครับ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ ส่วนค่าสอนผมจ่ายให้เหมือนเดิม]
“สักครู่นะคะ ฉันขออนุญาตดูพิกัดก่อนค่ะ” หากระยะทางไม่ไกลหรือการเดินทางไม่ยุ่งยากหลายขั้นตอนมาก เธอก็จะไป เพราะเธอไม่อยากรับเงินใครมาฟรี ๆ
[บริษัทผมอยู่ใกล้ ๆ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินครับคุณเอย ลงที่สถานีเพชรบุรี แล้วเดินประมาณห้านาทีก็ถึงเลยครับ]
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ฉันไปสอนน้องโอ๊ตที่นั่นได้ ว่าแต่พอจะมีร้านกาแฟหรือโต๊ะที่สามารถนั่งนาน ๆ ได้ใช่ไหมคะ”
[มีครับมี ข้างล่างตึกมีแม็คโดนัลเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย สามารถนั่งได้ครับ] คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวอย่างอภิวัฒน์รีบบอกด้วยความดีใจ เพราะตอนนี้เขาค่อนข้างงานยุ่ง ทำให้ดูแลลูกชายวัยแปดขวบได้ไม่เต็มที่ ฉะนั้นการฝากลูกไว้กับติวเตอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทางหนึ่งสำหรับเขา
“โอเคค่ะคุณอภิวัฒน์ ถ้าไปถึงแล้วฉันจะโทร. หาคุณนะคะ น่าจะอีกสักประมาณสี่สิบนาที” หญิงสาวคำนวณระยะทางกับเวลาที่จะไปถึงคร่าว ๆ ในหัว ถือว่าโชคดีที่ที่ทำงานของอีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลมาก อีกทั้งยังเดินทางสะดวก เธอจึงไม่มีปัญหาในการเปลี่ยนสถานที่นัดหมาย
[ได้ครับคุณเอย ขอบคุณมากเลยนะครับ]
“ยินดีค่ะ”
เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปแล้ว สุพรรณวดีเก็บสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋าตามเดิม ก่อนจะเดินต่อไปยังบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้า ใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีนิด ๆ เธอก็เดินทางมาถึงจุดหมาย
หญิงสาวต่อสายกลับไปหาอภิวัฒน์อีกครั้งเพื่อแจ้งว่ามาถึงแล้ว จากนั้นก็เข้ามานั่งรอในร้านอาหารฟาสฟู้ด ไม่ถึงสิบนาทีคนที่เธอนัดเอาไว้ก็มาถึง
“สวัสดีค่ะคุณอภิวัฒน์” สุพรรณวดียืนขึ้นแล้วกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยความสุภาพ พร้อมรับไหว้และส่งยิ้มให้หนุ่มน้อยที่เพิ่งยกมือไหว้ตน “สวัสดีค่ะน้องโอ๊ต”
“ต้องรบกวนคุณเอยด้วยนะครับ พอดีวันนี้ผมงานยุ่งมากจริง ๆ แล้วยังต้องรอประชุมกับอ**บริษัทด้วย” คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวบอกด้วยความเกรงใจ พร้อมผายมือเชิญให้คุณครูสาวนั่งลงตามเดิม “นั่งตามสบายเลยครับ คุณเอยอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่ค่อยหิวเท่าไร” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรระคนเกรงใจ
“สักหน่อยดีกว่าครับ ผมเดาว่าคุณเอยต้องยังไม่ได้ทานอะไรแน่ ๆ เลย เดี๋ยวผมไปซื้อให้ครับ” พูดจบชายหนุ่มก็วางกระเป๋าลูกชายลงบนเก้าอี้ แล้วสาวเท้าตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งอาหารและเครื่องดื่มเลยทันที ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับไก่ทอดกับเฟรนช์ฟรายส์เซ็ตใหญ่ “ทานก่อนแล้วค่อยเริ่มสอนก็ได้นะครับ น้องโอ๊ตก็ยังไม่ได้ทานอะไร”
เมื่อผู้ปกครองของเด็กพูดมาอย่างนั้น สุพรรณวดีก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ เพราะท้องไส้ของเด็กก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ หญิงสาวจึงต้องยอมรับประทานอาหารตามคำเชิญของชายหนุ่ม
“ถ้าคุณเอยไม่รังเกียจผมขออนุญาตนั่งทานด้วยนะครับ เพราะผมก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน อีกอย่างก็ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะประชุมเสร็จตอนไหน” อภิวัฒน์บอกอย่างน่าสงสาร อีกฝ่ายจึงรีบตอบรับ
“ได้สิคะ ทานเลยค่ะ ฉันไม่ได้รังเกียจเลย อีกอย่างอาหารพวกนี้คุณเป็นคนซื้อมา คุณก็ต้องทานได้สิคะ”
“งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ ก่อนจะจิ้มไก่ทอดชิ้นใหญ่ไปใส่จานให้ลูกชายพร้อมหั่นเป็นชิ้น ๆ ให้ การดูแลเอาใจใส่ของพ่อที่มีต่อลูกทำให้สุพรรณวดียิ้มตาม
“ขอบคุณค้าบ” หนุ่มน้อยพูดพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณอย่างน่าเอ็นดู
อภิวัฒน์จิ้มไก่ทอดอีกชิ้นใส่จานให้หญิงสาวคนเดียวบนโต๊ะ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเต็มใบหน้ารับคำขอบคุณ จากนั้นถึงจิ้มให้ตนเองและเริ่มลงมือรับประทาน ระหว่างนั้นก็ชวนคุยไปด้วย
“วันนี้คุณเอยรีบกลับไหมครับ”
สุพรรณวดีเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่นั่งตรงข้าม สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็วด้วยความไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงถามเธอเช่นนี้ เพียงครู่เดียวก็ต้องตอบออกไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ก็ไม่ค่อยรีบเท่าไรค่ะ ทำไมเหรอคะ”
ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอภิวัฒน์คิดกับตนมากกว่าผู้ปกครองกับครูสอนพิเศษ เพียงแต่เขาไม่ได้ล้ำเส้นและรุกจีบจนทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่เธอก็มักจะระวังตัวและคอยระวังคำพูดของตนเองอยู่เสมอ เพราะบางทีการทำอะไรโดยไม่คิดให้รอบคอบ อาจจะทำให้อีกฝ่ายคิดไปเองว่าเธอเองก็มีใจเช่นกัน
“อีกสิบห้านาทีผมต้องเข้าประชุมต่อ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะประชุมเสร็จตอนไหน ผมเลยอยากจะขอรบกวนคุณเอยช่วยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าโอ๊ตจนกว่าผมจะประชุมเสร็จได้ไหมครับ ผมมีค่าเสียเวลาให้ แล้วเดี๋ยวผมไปส่งคุณเอยที่บ้านด้วยครับ”
“เอ่อ...แล้วตามกำหนดการต้องประชุมเสร็จกี่โมงคะ” สุพรรณวดียังไม่ตอบตกลง แต่เลือกที่จะถามถึงรายละเอียดก่อน อันที่จริงหญิงสาวค่อนข้างหนักใจถ้าจะอยู่ต่อถึงดึก หากก็มีความเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธ เพราะสงสารเด็กชายที่ต้องอยู่คนเดียวหลังเรียนเสร็จ อีกอย่างอภิวัฒน์ก็ถือเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ไว้ใจจ้างเธอให้มาสอนพิเศษให้ลูกชายอย่างต่อเนื่อง