ตอนที่ 1

2440 Words
(ปัจจุบัน) นับเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมและคนรักต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมามีชีวิตใหม่ในดินแดนห่างไกลจากคนที่รักมาเดินในเส้นทางที่พ่อแม่เป็นคนกำหนดขึ้น เพื่ออนาคตที่ดี ความก้าวหน้าของหน้าที่การงานและเป็นการสืบทอดกิจการของท่านทั้งสองให้คงอยู่สืบไปด้วยความรัก ความกตัญญูที่ลูกชายคนหนึ่งจะพึงปฏิบัติต่อท่านได้ ผมจึงต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตระหว่างหัวใจกับครอบครัว แล้วผมเลือกที่จะเดินในเส้นทางที่ครอบครัวเป็นผู้กำหนด โดยละทิ้งทุกอย่างของเรื่องหัวใจไปจนหมดสิ้น แต่จะมีใครรู้ได้ว่าแม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปนานหลายปีแล้วก็ตาม ความรัก ความทรงจำ ความคิดถึงและใบหน้าของเขายังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของผมเสมอมา ไม่มีวินาทีใดเลยที่ผมจะไม่คิดถึงความรู้สึกเหล่านี้ ผมทำงานปฏิบัติหน้าที่ตามความปรารถนาของพ่อแม่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เพื่อจะให้ท่านทั้งสองคนเกิดความภูมิใจในตัวผม แต่ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ถึงผมจะมีชีวิต มีลมหายใจ สิ่งหนึ่งที่ผมไม่มีเลยนับจากวันที่ผมต้องจากเขามาจนถึงวันนี้นั่นคือ หัวใจและความรู้สึก ผมทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดความสำเร็จตามที่ใจพ่อแม่ต้องการ ผมทุ่มเททุกอย่างด้วยความมุ่งมั่น แต่ทั้งหมดนี้ผมทำโดยปราศจากความรู้สึกของหัวใจ   วันนี้วันที่ 1 กุมภาพันธ์แล้วทุกวันที่ 1 กุมภาพันธ์แของทุกปี จะเป็นวันครบรอบการคบกันของเราสองคน หากพูดถึงเมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่กับเขา ทอสจะมีเซอร์ไพรส์ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจทุกปี ทุกวันสำคัญผมกับเขาจะชอบไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เราสองคนได้พบและรักกันเป็นครั้งแรก แต่หากพูดถึงทุกวันนี้ผมไม่ได้ติดต่อ ทอสอีกเลย ไม่มีช่องทางใดที่เราสองคนจะติดต่อกันได้ เพราะนั่นคือความต้องการของพ่อและแม่ที่อยากให้ผมมีชีวิตและอนาคตที่ดี ผมอยากรู้เหลือเกินว่าในตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ยังคงคิดถึงผมอยู่หรือเปล่า ยังรักกันเหมือนเดิมไหม แล้วเขาอยู่กับใครยังคงรอผมอยู่หรือเปล่า เมื่อวันหนึ่งมาถึงผมกับทอสอาจจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งก็ได้แต่ความเป็นไปได้ก็มีเพียงน้อยนิด  ผมทำงานบริษัทซึ่งเป็นกิจการของพ่อกับแม่เป็นอีกสาขาใหญ่แห่งหนึ่งในเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย อยู่ในย่านธุรกิจที่คลาคล่ำไปด้วยบริษัทต่างชาติ ที่มาขยายกิจการในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก แต่ละวันผมแทบจะไม่ได้เจอหน้าตาผู้คนเท่าใดนัก นอกเสียจากกองเอกสารและแฟ้มงานมากมายที่ผมต้องเป็นคนตรวจสอบและเซ็นอนุมัติเพื่อให้กิจการยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะทำงานเพียง 5 ชั่วโมงต่อวัน แล้วต้องกลับไปนั่งเหงาที่ห้องพัก ณ คอนโดที่อยู่ไม่ห่างจากที่ตั้งบริษัทมากนัก บริษัทที่ผมทำงานอยู่มีคนไทยร่วมงานเพียง 3 คนเท่านั้น นอกนั้นเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ผมจะใช้เวลาในการพักผ่อนกับการนั่งเล่น มองดูทะเลสาบในเมืองซิดนีย์ ทำให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับความรู้สึกและความทรงจำ ได้นั่งทบทวนความทรงจำที่ผ่านมาระหว่างผมกับเขา ผมยังเฝ้ารออยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเราสองคนจะกลับมาพบกันอีกครั้ง กลับมีคำถามเกิดขึ้นในใจผมอีกว่า ‘แล้วเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง’ เสียงเพลงจากแซ็กโซโฟนถูกบรรเลงบทเพลงรักโรแมนติกดังลอยมากระทบโสตประสาทการรับเสียงของผม ทำให้ความรู้สึกของผมได้หลุดลอยว่างเปล่าไปกับความไพเราะจากฝีมือการบรรเลงของนักดนตรีเปิดหมวก ที่ขับกล่อมบทเพลงอยู่ใกล้จากบริเวณที่ผมนั่งอยู่ ดวงอาทิตย์สีส้มอ่อนเริ่มเคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้าไปทีละนิด ความมืดมิดเริ่มคลืบคลานเข้ามาแทนที   ในบรรยากาศยามเย็นของที่นี่ผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ต่างมานั่งพักผ่อนเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน บ้างก็เดินทางเพื่อมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต และเก็บเอาความรู้สึกดีๆ ภาพความทรงจำดีๆ กับบรรยากาศแบบนี้เช่นทุกวัน ไฟสปอร์ตไลท์ตามจุดต่างๆ ของสถานที่พักผ่อนแห่งนี้เริ่มเปิดให้ความสว่างไสวแก่ผู้คนที่สัญจรไปมาที่นั่งพักผ่อนให้เกิดความสะดวกแก่การมองเห็น ผมนั่งทอดสายตามองออกไปยังบรรยากาศโดยรอบของอีกฝั่งทะเลสาบ ที่ดวงไฟจากตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่เปิดส่องสว่างในยามค่ำคืน ทำให้ผมได้หวนคิดถึงทอสผู้ที่เคยนั่งอยู่เคียงข้างพร้อมกุมมือผมเป็นประจำทุกครั้งในช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เสียงเพลงที่ยังคงขับกล่อมให้ความไพเราะและเพลิดเพลิน ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกภายในจิตใจผมให้คิดถึงและนึกถึงใบหน้าของเขาช่วงเวลาที่เราได้นั่งพักผ่อนด้วยกัน มือน้อยของเขาจะคอยกุมมือของผมอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุด แต่ตอนนี้มันคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว นอกเสียจากโชคชะตาจะลิขิตให้เราสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เส้นเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ข้อมือแสดงเวลาว่า 4 ทุ่มครึ่ง ผมจึงเก็บขวดน้ำเข้ากระเป๋าสะพาย เพื่อเตรียมตัวกลับคอนโดโดยผมไม่ลืมจะหยิบเหรียญมูลค่า 1 ดอลล่าไปวางใส่หมวกให้กับนักดนตรีที่ตั้งใจขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะให้ผมได้นั่งฟังอยู่หลายชั่วโมง จากนั้นผมจึงเดินไปยังท่ารถประจำเพื่อกลับคอนโดไปพักผ่อนตามปกติ แต่ก็คงจะเหงาอีกตามเคย    (หลายปีก่อน…) "พี่ทัชมาสายอีกแล้วนะ ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน" ทันทีที่ผมก้าวขามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าคนหัวเกรียน ที่นั่งกดโทรศัพท์เล่นอยู่เพียงลำพังที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็กล่าวตำหนิกับการมาสายของผมด้วยท่าทางง้องอนในสไตล์ของเขา เป็นเช่นนี้เกือบทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน ณ สถานที่แห่งนี้ "พี่ขอโทษนะครับน้องทอส พอดีช่วงเช้าพ่อให้พี่ไปดูงานในบริษัทแล้วพอตกบ่ายก็ต้องไปดูงานในโรงงานที่ต่างจังหวัดกว่าจะกลับก็นี่แหละ พอกลับมาถึงพี่ก็รีบมาหาทอสเลย พี่ขอโทษจริงๆ นะครับ" ผมนั่งลงข้างคนหัวเกรียนแล้วยกมือลูบศีรษะเบาๆ ก่อนจะอธิบายเหตุผล "พี่อย่าทำหน้าเครียดสิครับ ผมถามพี่เฉยๆ แหละ ผมรู้ว่าพี่ต้องช่วยงานพ่อ เลิกทำคิ้วขมวดได้แล้ว เดี๋ยวไม่หล่อนะ" คนหัวเกรียนกล่าวทีเล่นทีจริงกับผมพร้อมทั้งยกมือใช้นิ้วโป้ง 2 นิ้วมาจับคิ้วทั้งสองข้างของผมแล้วค่อยๆ นวดแล้วดึงออกช้าๆ ด้วยสีหน้าแววตาที่มุ่งมั่นอย่างจริงจัง ทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้กับท่าทางความน่ารักของเขา ผมยกมือจับประคองมือของคนหัวเกรียนทั้งสองข้างขึ้นมาแนบที่แก้มซ้ายขวาของผมด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ในความน่ารักอย่างเอ็นดู "พี่รู้แล้วครับว่าพี่หล่อ แล้วแฟนของพี่ล่ะ จะสวยหรือจะหล่อดีล่ะ?" คำพูดของผมทำให้เขาหน้าแดงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะดึงมือขวาออกจากแก้มผมและบีบจมูกของผมแก้เขิน จนผมส่งเสียงร้อง.. “โอ๊ยย!” อาการเขินของเขา แก้มแดงๆ ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ดูน่ารักมากๆ เลยครับ ก่อนที่ผมจะลอบหอมแก้มแดงๆ ไปหนึ่งที จากการกระทำของผมส่งผลให้มือเรียวของเขาทำทีจะตีแขนผม แต่ถูกมือใหญ่ของผมคว้าจับเอาไว้ทัน ทำให้เขามีอาการงอนขึ้นมาหลังจากที่ไม่สามารถตีแขนผมแก้เขินได้ ผมจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีเขาไปรอบๆ สวนสาธารณะ แต่กลับถูกคนตัวเล็กวิ่งไล่ทันพร้อมกับกระโดดขึ้นหลังผมอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมต้องวิ่งทั้งที่มีเขาอยู่บนหลังแบบนั้นอยู่นานสองนาน เราสองคนต่างส่งเสียงดังโหวกเหวกไปทั่วสวนสาธารณะอย่างกับเด็กๆ วิ่งไล่กัน โชคดีที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนอยู่ในสวนสาธารณะมากนักจึงไม่ถูกต่อว่า การที่เราสองคนเล่นอย่างสนุกสนานแบบนั้น ก็ได้สร้างรอยยิ้มให้กับอีกหลายคนที่พบเห็นเราไปไม่น้อย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในความทรงจำที่ดีมาก ผมมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำนี้ หัวเกรียน ปากอวบอิ่มแดงระเรื่อดูน่ารักมากสำหรับผม ผมและเขาต่างผลัดกันวิ่งไล่และกระโดดขึ้นหลังอยู่นาน กระทั่งโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงผมดังขึ้น.. "สวัสดีครับพ่อ" "ตอนนี้แกอยู่ไหน" เมื่อผมเจอคำถามจากพ่อ ทำให้ผมไม่รู้จะตอบท่านยังไงเลย "เอ่อ ผมอยู่บ้านเพื่อนครับพ่อ กำลังจะกลับครับ" (ผมขอโทษนะครับพ่อที่ต้องโกหก) "แกแน่ใจนะว่าแกอยู่บ้านเพื่อน ฉันโทรไปหาเพื่อนของแกทุกคนแล้วก่อนจะโทรหาแก แกไม่ได้อยู่กับพวกเขานี่ ตกลงแกออกไปหาไอ้เด็กนั่นอีกแล้วใช่ไหม" ผมถึงกับหน้าซีด มือสั่น เหงื่อตกเมื่อได้ยินพ่อพูดกลับมาแบบนั้น "พ่อ.. ผม!!" ไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายอะไรพ่อก็พูดกลับมาทำผมแทบช็อค "ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น.. ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม สิ่งที่ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อให้แกไปฝึกงาน ไปดูงาน ไปทุกที่กับฉันเพื่อตัวแกเองทั้งนั้น แต่แกกลับเป็นคนไม่รักดี ฉันจะไม่ว่าสักคำเลยถ้าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง.. แล้วนี่อะไร แกทำอะไรของแก แกไม่เคยนึกถึงหน้าตาของฉันและวงศ์ตระกูลของเราบ้างเลยหรือไง ฉันกับแม่ของแกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าคนในสังคมวงการธุรกิจมารู้ว่า ลูกชายคนเดียวของฉันมันผิดเพศแบบนี้ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้แกทำตัวเหลวไหลแบบนี้อีกแล้ว ฉันเคยบอกแกแล้วหลายครั้ง เคยพูดเรื่องนี้กับแกหลายรอบแกก็ไม่เคยฟังอะไรฉันเลย เตรียมตัวให้ดีพรุ่งนี้บ่ายโมงฉันจะส่งแกไปอยู่ออสเตรเลียไปดูแลธุรกิจของตัวแกเองที่ฉันให้ที่นั่น แล้วอย่าฝันว่าจะได้ติดต่อกับไอ้เด็กนั่นอีก ฉันจะทำทุกวิธีเพื่อไม่ให้แกสองคนได้ติดต่อกัน ถ้าแกไม่ยอมฟังและยังฝืนที่จะติดต่อกับเด็กนั่น อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับไอ้เด็กนั่นนะ ถ้าแกต้องการให้ไอ้เด็กนั้นมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป ฉันพูดจริงจะไม่พูดเป็นครั้งที่สอง กลับมาบ้านเดี๋ยวฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับแกอีกเยอะ!" ผมควรจะทำยังไงดี ผมจะอธิบายในสิ่งที่ผมได้ฟังและจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งพ่อเพื่อเขายังไง หลังจากที่ผมกดวางสายจากพ่อ ผมเองก็แทบจะทรุดลงนั่งกับพื้นแต่ผมไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้ ผมต้องพยายามควบคุมอาการความรู้สึก ยังคงมีรอยยิ้มมีเสียงหัวเราะพูดจากับเขาด้วยอาการปกติที่สุด ก่อนจะตัดสินใจพูดความต้องการของผมให้คนรักฟัง "ทอสฟังพี่นะ.. วันพรุ่งนี้พี่ต้องไปดูแลธุรกิจที่ประเทศออสเตรเลีย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนถึงจะได้กลับเมืองไทย ทอสรอพี่ได้ไหมครับ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ขอให้ทอสรอพี่ พี่กลัว.. พี่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับทอส” “มันเป็นความต้องการของพ่อพี่ใช่ไหม” ทอสถามกลับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ใช่... ท่านยังย้ำเรื่องไม่ให้เราติดต่อกันอีกด้วย พี่ไม่อยากให้ท่านลำบากใจ พี่ว่าเราอย่าติดต่อกันอีกเลยนะ นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเราเลิกติดต่อกันเถอะนะ เพื่อความปลอดภัยของเราสองคน เพื่อสักวันหนึ่งที่เราสองคนจะกลับมาเจอกันอีก พี่ต้องไปแล้วนะ ตัวพี่เองก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เหมือนกัน ว่าพี่ต้องเดินทางไปดูแลธุรกิจของพ่อที่นั่น ทอส...ทอสได้ยินพี่ไหม” ผมพยายามพูดอธิบายให้กับคนหัวเกรียนฟัง แต่เขากลับนั่งนิ่งไป ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร หลังจากได้ฟังคำตอบและคำอธิบายจากผม ผมตกใจกับอาการที่ทอสกำลังมีอาการอยู่ซึ่งไม่ต่างจากผมที่ได้ได้ฟังคำสั่งประกาศิตจากผู้เป็นพ่อเมื่อสักครู่นี้ เขายังคงนั่งนิ่งไม่โต้ตอบแล้วค่อยๆ พูดบางสิ่งออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงคล้ายคนสิ้นหวัง "ผมรู้ดีว่าวันหนึ่งมันต้องมีวันนี้ วันที่ผมต้องยอมรับการจากไปของพี่ ผมรู้เรื่องนี้นานแล้ว ว่าพ่อของพี่รับไม่ได้กับความรักของเราครับ หากผมเป็นผู้หญิงคงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พี่คงไม่ถูกส่งตัวไปไกลแสนไกลแบบนี้ ถึงยังไงผมก็จะรอพี่ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนแม้จะไม่ได้ติดต่อกัน ผมจะอดทนถ้าผมทนไม่ไหว ผมจะไปตามหาพี่เอง ไปตามหาพี่ทุกที่จนกว่าจะเจอพี่ ผมจะอยู่ด้วยความหวัง ด้วยความรัก และความคิดถึงพี่ตลอดไป แม้ความหวังจะมีหรือไม่มีก็ตามก็ตาม เพื่อเราสองคนจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง" ผมนั่งฟังเขาพูดทั้งน้ำตาก่อนจะดึงตัวทอสเข้ามากอดด้วยความเสียใจ มาถึงขั้นนี้ผมไม่อาจจะทำอะไรได้ ก่อนที่เราสองคนจะแยกย้ายเดินทางกลับบ้านกันคนละทาง วันพรุ่งนี้ผมก็ต้องจากเขาไปไม่รู้ว่าวันไหนที่เราสองคนจะได้กลับมาพบกันอีก  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD