ตอนที่11. เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ
หลังจากแม่นมฉีกับหลิงเอ๋อจากไปแล้ว เสิ่นมู่ฉือก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้ามาขอบคุณ น้ำใจของฮูหยิน”
ท่าทางของเสิ่นมู่ฉือดูห่างเหิน น้ำเสียงแม้คำว่าขอบคุณไม่ได้ทำให้คนฟัง รู้สึกว่าเขาอยากขอบคุณนางจริงๆ คล้ายกับเขามาพูดเพื่อเอาใจนาง แลดูไร้ความจริงใจ
“ขอบคุณเรื่องอะไรเจ้าคะ”
“ขอบคุณที่เจ้าช่วยชาวบ้าน ”
สีหน้าของเสิ่นมู่ฉือคล้ายคนอมของขม แน่แล้วเขาถูกบังคับให้มาเอาใจนาง
“ชาวบ้านหมู่บ้านกุ้ยฮวาเป็นคนใต้อาณัติของท่าน ข้าย่อมช่วยเหลือ”
“พวกเขาเป็นครอบครัวของทหาร ที่เสียสละเพื่อแคว้นชิงเป่ย ทหารกล้าเหล่านั้นเป็นคนในกองทัพของข้า”
เสิ่นมู่ฉือไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้ เขาแบกรับภาระนี้ไว้ใช้เงินส่วนตัวดูแลชาวบ้าน ครั้งนี้กุนซือจ้าวกับหมอจินกับทำการโดยไม่ปรึกษา ทั้งสองมารายงานเรื่องนี้หลังจากพาผู้เฒ่าหยางไปขอร้องหลิวชิวเยว่แล้ว
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินเป็นคนของท่าน ย่อมต้องร่วมหัวจมท้ายกับท่านด้วย ขอให้นางช่วยเหลือไม่ใช่สิ่งควรคิดมาก”
กุนซือจ้าวหยุนฟาง ส่งสายตาให้หมอจินซีถิงพูดต่อ
“ภรรยาย่อมอยู่ใต้อาณัติสามี ท่านเอาใจนางสักนิด นางย่อมยินดีช่วยเหลือท่านทุกสิ่ง”
“ข้าเอาใจผู้ใดไม่เป็น”
ใบหน้าของเสิ่นมู่ฉือแสดงความลำบากใจ เรื่องสู้รบเขาไม่เคยหวั่น แต่เรื่องเอาใจสตรีแม่ทัพหนุ่มกลับหนักใจยิ่ง
“ไม่ยากๆ คืนนี้ท่านไปนอนเป็นเพื่อนนางสักคืนก็พอ เอ่ยขอบคุณสักประโยค นางย่อมยินดี”
คำแนะนำของกุนซือจ้าว ทำให้เสิ่นมู่ฉือพาตัวเองมายังเรือนของภรรยาในค่ำคืนนี้
“ฮูหยิน คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
เสิ่นมู่ฉือเอ่ยคำนี้ออกมาจนได้ หากมองข้ามรูปร่างเจ้าเนื้อของหลิวชิวเยว่ ใบหน้ากลมมนของภรรยาไม่ได้แลดูอัปลักษณ์แต่อย่างใด ดวงตาของนางกลมโต ปากคอคิ้วคางได้รูปคมชัด ดังนี้แล้วเขายังพอฝืนใจนอนมองนางทั้งคืนไหว
“ท่านพี่ ท่านอยากให้ข้าทำหน้าที่ภรรยาที่ดีหรือเจ้าคะ”
หลิวชิวเยว่แกล้งเอ่ยขึ้น จ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของสามี ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มมีความกระอักกระอ่วนชัดเจน นางเห็นท่าทีของเขาก็อยากจะมองบนใส่
คงคิดว่านางหูหนวกตาบอด ไม่รู้เห็นสิ่งที่เขากับหมอจินกระทำกัน วันนี้หมอจินกับกุนซือจ้าวมาขอความช่วยเหลือจากนาง นี่คงคิดตอบแทนนางด้วยการแวะมานอนด้วย
“หากเจ้าไม่พร้อม ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า”
“ไม่ฝืนใจข้า แต่หากฝืนใจท่านข้าก็ไม่ยินดี”
ในยุคสมัยของภพเดิม ชายรักชายเริ่มเปิดกว้าง บางคนยอมเปิดเผยตัวตนอยู่ไม่น้อย เขาแต่งนางเข้าจวนมามีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้นางกลบข่าวลือ ก็อัปยศอยู่แล้ว ตอนนี้จะฝืนใจมานอนกับนางอีก เกินจะรับไหวแล้ว
“ท่านไม่ต้องการร่วมเตียงกับข้า ก็เอ่ยมาตามตรงเถิด ข้ารับได้”
หลิวชิวเยว่ไม่ยอมทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อน แสร้งไม่รู้ไม่เห็นอีกต่อไป
“เจ้าพูดอะไรออกมา”
เสิ่นมู่ฉือคล้ายคนถูกไม้ฟาดศีรษะ เขามองหน้าภรรยาอย่างตกตะลึง
“ท่านพี่ เรามาคุยกันแบบเปิดอกเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าท่านเลือกข้ามาเป็นฮูหยินเพราะเหตุใด แต่เมื่อข้ากับท่านแต่งงานกันแล้วก็จำต้องอยู่ร่วมกัน สมรสพระราชทานมิอาจหย่าร้างได้ เราก็หาทางอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเถอะ”
กฏหมายของแคว้นชิงเป่ย สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้หย่าร้าง แม่นมฉีบอกเรื่องนี้กับเจ้าของร่างเดิม ความทรงจำนั้นทำให้หลิวชิวเยว่ไม่อาจทำอะไรตามใจตนได้ นางเกิดใหม่ในร่างนี้รู้ประวัติความเป็นมาของบรรพบุรุษหญิงคนนี้ว่า บั้นปลายชีวิตของหลิวชิวเยว่คนนั้นต้องกล้ำกลืนมีชีวิตร่วมกับสามีผู้ชอบตัดแขนเสื้อจนแก่เฒ่า
มิสู้เปลี่ยนทางเดินให้ตนเองกับเขาเป็นเพื่อนกัน การอยู่ร่วมกันคงไม่หดหู่เกินไป
“ข้ารู้ว่าท่าน อาจจะไม่ชมชอบข้าสักเท่าใด หากฝืนใจอาจจะทำให้ไม่มีความสุขทั้งสองฝ่าย มิสู้เรามาตกลงกัน ว่าจะอยู่ร่วมกันแบบพี่น้องหรือแบบสหาย จะดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าเป็นลูกคนเดียวไม่เคยมีพี่น้อง”
ข้อเสนอของนางทำให้เสิ่นมู่ฉือคิ้วกระตุก แรกนั้นเขาคิดว่าภรรยาเจ้าเนื้อคนนี้ น่าจะหลงใหลในรูปโฉมของเขา หากเอาใจนางสักนิดก็คงจะว่านอนสอนง่าย แต่ยามนี้แม่ทัพหนุ่มรู้สึกว่า
นางช่างเอาใจยาก!
“เช่นนั้นเราก็เป็นสหายกัน ต่อหน้าผู้อื่นข้าจะเรียกท่านว่าท่านพี่ ท่านเรียกข้าว่าฮูหยิน เช่นนี้ดีหรือไม่”
หลิวชิวเยว่พูดเองเออเองเสร็จสรรพ เสิ่นมู่ฉือได้แต่นิ่งฟัง สุดท้ายเขาทำเพียงพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ คืนนี้เรามากระชับมิตรภาพกัน”
หลิวชิวเยว่เปิดรอยยิ้มดวงตากลมโตของนางเปล่งประกายพราวระยับ เมื่อเห็นว่าเสิ่นมู่ฉือยอมรับแล้ว ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก อยากจะเลี้ยงฉลองมิตรภาพสักหน่อย นางจึงเปิดลิ้นชักใต้เตียง หยิบสุราที่ซ่อนไว้ออกมา
“นี่คือเหล้าชั้นยอดจากหอสุราชิงเหอ หลงจู๊ผู้ดูแลหอสุราให้ข้านำมามอบให้ท่าน ข้าเก็บไว้ในคลังส่วนหนึ่ง ไหนี้ข้าเก็บเอาไว้ดื่มเอง”
ในบรรดาสินเดิมที่ท่านพ่อแบ่งให้ มีหอสุราชิงเหอร้านขายสุราชื่อดังของเมืองหลวง หลิวชิวเยว่เรียนเป็นไวน์เมกเกอร์มาก่อน จึงลองใช้สุราโบราณมาหมักตามสูตรของตน ยามว่างก็มักหยิบมาจิบเล่น และพบว่าความหิวโหยของร่างกายนี้ดูเหมือนจะสงบลงเพียงแค่จิบสุราสักจอกสองจอก ระยะหลังนี้นางจึงกินอาหารเพียงสามมื้อเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้รู้สึกหิวโหยทุกชั่วยามเหมือนในวันแรกๆ ที่ตื่นมาในร่างนี้
“มาๆ ไม่เมาไม่เลิกรา”
หลิวชิวเยว่รินสุราใส่จอกสองจอก ส่งให้เสิ่นมู่ฉือหนึ่งจอก ชวนให้เขาชนแก้ว ไม่พอยังจำคำพูดในหนังจอมยุทธที่เคยดูสมัยเด็กเอามาพูดกับเขา
“ได้ ไม่เมาไม่เลิกรา”
เสิ่นมู่ฉือยกจอกเหล้าชน เขายกจอกเทลงคอพลันรู้สึกถึงกลิ่นหอมกรุ่นของดอกไม้ลอยขึ้นมาในจมูก สุราเจือรสหวานเล็กน้อย รสชาติไม่คุ้นเคยนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ
“สุรานี้...”
“กลิ่นหอมใช่ไหมเจ้าคะ ข้าเก็บดอกกุ้ยข้างเรือนมาหมักไว้ เกสรดอกกุ้ยให้กลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วก็ผสมน้ำตาลกรวดลงไปเล็กน้อย สุราจะออกรสหวานลื่นคอ น่าเสียดายข้าหาผลบ้วยสดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะลองดองสุราบ้วยให้ท่านลองชิม”
หลิวชิวเยว่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เห็นต้นดอกกุ้ยข้างเรือนกำลังออกดอกเต็มต้น ร่วงหล่นไปน่าเสียดาย จึงเก็บมาหมักเหล้าขาวที่ได้มาจากหอสุราชิงเหอ หลังจากสำรวจสุราที่ขายอยู่พบว่าในสมัยนี้การหมักเหล้ารวมถึงกลั่นออกมาเป็นเหล้าขาว กลิ่นและรสชาติยังแรงและบาดคอ ผู้คนไม่มีความรู้เรื่องการหมักสุราไว้ดื่มให้ความสุนทรีย์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการหมักไวน์และสุรา ลิ้มชิมสุราและไวน์รสเลิศมามากมาย จึงไม่อาจทนกล้ำกลืนสุรารสชาติป่าเถื่อนเช่นนี้ไหว จึงลองหมักสุราดอกกุ้ยง่ายๆ ไว้ดื่มเอง
“เจ้ารู้วิธีหมักสุรารสดี เช่นนี้ด้วยหรือ”
เสิ่นมู่ฉือหยิบไหสุรามารินใส่จอกยกขึ้นดื่มอีก กลิ่นหอมซาบซ่านในปาก ทำให้เขารู้สึกสดชื่น จนมีความคิดอยากนำสุราดอกกุ้ยไปให้ฮ่องเต้ลองชิม เข้าวังครั้งหน้าเขาจะนำสุราดอกกุ้ยสักไหไปถวาย
“ท่านคงไม่รู้ว่าบ้านข้ามีโรงกลั่นสุรา หอสุราชิงเหอเป็นกิจการหนึ่งของข้า ท่านพ่อยกให้ข้าเป็นสินเดิม”
“ข้าไม่เคยรู้ อืม เจ้าหมักสุราดอกกุ้ยไว้มากหรือไม่ หากข้าจะขอสักไห”
เสิ่นมู่ฉือลองเลียบเคียงถาม ขณะรินสุราใส่จอกให้หลิวชิวเยว่อย่างเอาใจ ใบหน้ากลมมนของนาง เริ่มแต้มสีเรื่อดวงตาเปล่งประกายแพราวพราว
“ข้าหมักไว้ดื่มเล่นแค่ไหนี้ไหเดียว หากท่านต้องการ พรุ่งนี้ให้คนไปเก็บดอกกุ้ยมาให้ข้าสิ เดี๋ยวข้าจะหมักให้ท่านอีกหลายๆ ไห”
หลิวชิวเยว่ไม่รู้สึกลำบากหากต้องหมักสุราเพิ่มอีก มองใบหน้าหล่อเหลาของสามีแล้วรู้สึกว่า เขาน่ารักขึ้นมากยอมพูดจากับนางอย่างสนิทสนม ในร่างเดิมนางเคยมีเพื่อนเป็นเกย์ชื่ออาเล็กซ์ คบหากันอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลหวาดระแวงในเชิงชู้สาว หากจะคบหากับเสิ่นมู่ฉือแบบนั้น คงสบายใจกว่า
“ดีๆ เจ้ายังหมักสุราอะไรได้อีก”
เสิ่นมู่ฉือดื่มสุราดอกกุ้ยไปหลายจอกเริ่มติดใจ อยากรู้ว่าฮูหยินของตนมีสูตรหมักสุราอันใดอีก
“ผลไม้ ธัญพืช ดอกไม้ ล้วนนำมาหมักสุราได้ทั้งสิ้น”
หลิวชิวเยว่ยกจอกสุราเทลงคอ ดีกรีของสุราเริ่มสำแดงฤทธิ์ ยามเมามายปากของตนจะพูดออกมาไม่หยุด ยิ่งเป็นเรื่องที่ชื่นชอบสนใจ ยิ่งพูดได้ไม่หยุด
“ผลบ้วยให้รสชาติเปรี้ยว น้ำตาลกรวดให้รสหวาน เติมเกลือให้เค็มนิดๆ ใส่น้ำแข็งทุบลงไปดื่มยามอากาศร้อนชื่นใจไม่น้อย ลูกท้อก็รสชาติไม่แพ้กัน ส่วนดอกไม้ต้องเลือกที่กลิ่นหอมเด็ดออกจากต้นยามเช้า อย่าให้กลีบช้ำ ให้กลิ่นรสหอมละมุนชื่นใจ ยามอากาศหนาวหิมะตก ก็อุ่นเป็นเหล้าร้อน จิบแก้หนาวได้ดีนัก”
ปากพูดมือก็รินเหล้าใส่จอกของตนและสหายร่วมโต๊ะ สองคนยกขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่า รสชาติหวานกลิ่นหอมละมุนทำให้เพลิดเพลิน ฤทธิ์ของมันนั้นทำให้ร่างอ้วนกลมเมามายไร้สติ พอจะลุกขึ้นก็ทรงตัวไม่อยู่
“นี่เจ้า!”
เสิ่นมู่ฉือขยับเข้าไปรับร่างหนาหนักได้ทัน ก่อนที่นางจะหงายหลังหัวฟาดพื้น ทว่าร่างหนักกว่าสามร้อยจินไม่ต่างจากหินก้อนหนึ่ง ยากนักจะอุ้มพาขึ้นเตียงไหว กว่าจะพาร่างไร้สติของนางขึ้นมานอนบนเตียงได้ แม่ทัพหนุ่มต้องใช้พลังลมปราณทั้งหมดของตน
“นี่คนหรือแม่วัว หลังข้าแทบหัก”
เขาปาดเหงื่อ มองร่างอวบอ้วนบนเตียงอย่างเวทนา ใบหน้ากลมมนของนางคล้ายซาลาเปาแต้มชาด
“ดื่มสุราแล้วเป็นแบบนี้ ต่อไปข้าจะไม่ให้เจ้าดื่มอีกแล้ว”
เขาคงไม่กล้าให้นางดื่มสุราอีก นางเมาจนต้องให้เขาอุ้มนางไปนอน จะหาเรื่องให้ตัวเองลำบากไม่ได้แล้ว
คร่อก ฟี้ คร่อก ฟี้ ขะ คร่อก ฟี้ !
เสียงกรนมหาภัยดังขึ้น เสิ่นมู่ฉือแทบหลั่งน้ำตา ยกสุราขึ้นดื่มหวังให้ตัวเองเมาหลับไป แต่เขาลืมไปว่าตัวเองคอแข็งปานใด ยิ่งดื่มยิ่งโสตประสาทแจ่มชัด ได้ยินเสียงดังนั้นเข้ารูหูตัวเองไปตลอดคืน
คืนนี้ข้ารับปากว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ข้าก็ต้องอยู่ให้ถึงเช้า แต่เจ้าเลิกกรนเถอะ ข้าขอร้อง!