ทางด้านนิกาแม้จะปั่นจักรยานพ้นบ้านเรือนไทยหลังใหญ่มาไกลแล้ว แต่ความคิดและความรู้สึกของเธอยังวนเวียนอยู่บ้านหลังนั้นไม่ไปไหน ในหัวเอาแต่นึกถึงใบหน้าหล่อคมเข้มของอีกคน ทว่าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากปั่นจักรยานวนกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าบอกเพื่อนทั้งสอง
จึงได้แต่ปล่อยความรู้สึกรำพึงถึงเขาคนนั้นจนไม่เป็นอันทำอะไร...
นิกากับเพื่อน ๆ ของเธอยังคงปั่นจักรยานชมบรรยากาศภายในหมู่บ้าน และพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ กระทั่งผ่านบ้านไม้หลังเล็ก ที่มีหญิงสาวสองคนนั่งกอดอกมองเธอกับเพื่อนด้วยสายตาไม่ชอบใจ
โดยเฉพาะเธอที่ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ เนื่องจากมาไม่ถึงวันก็ทำเอาผู้ชายในหมู่บ้านต่างพากันหลงใหล...
“นี่เหรอวะอีครูใหม่ ที่ชาวบ้านพากันแห่ไปขอของดีกับพ่อครูเพราะชอบมัน”
“ใช่”
“ไม่เห็นจะสวยเลย หน้าตาก็งั้น ๆ” ราตรี เบะปากพูดด้วยความหมั่นไส้ ที่อีกคนแย่งความสนใจของผู้ชายในหมู่บ้านไปจากเธอ เพราะเธออยากเป็นที่หนึ่ง
“ใช่ไหม ไม่เห็นจะสวยเท่ามึงเลย” พุดซ้อน รีบพูดเข้าข้างเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกัน แม้ในใจจะคิดตรงกันข้ามกับที่พูด ทว่าก็เลือกไม่ได้เพราะเธอต้องพึ่งพาราตรีจึงต้องประจบสอพลอ
ส่วนราตรีเมื่อได้ยินคำยกยอปอปั้นก็ไม่คิดจะปฏิเสธ นั่งยิ้มด้วยความพึงพอใจเพราะมั่นใจที่พุดซ้อนพูดคือความจริง ไม่นานใบหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เพราะไม่อยากให้ใครดีกว่า ขณะสายตาริษยายังคงมองนิกาไม่ละไปไหน กระทั่งร่างเล็กปั่นจักรยานพ้นสายตาก็เบะปากพูดอย่างผู้ชนะ
“กูจะรอดู ว่ามึงจะทนอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน”
ทางด้านนิกาและเพื่อนของเธอ หลังจากปั่นจักรยานเล่นรอบหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าแล้วก็พากันกลับบ้านผู้ใหญ่มั่น ซึ่งใช้เวลาไม่นานจักรยานสองคันก็ปั่นเคียงคู่กันเข้าไปภายในบ้านไม้ ก่อนจะเห็นสองพ่อลูกนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์คล้ายกับกำลังจะออกไปไหน
นิกาจึงเอ่ยถามแพรวด้วยใบหน้าสงสัย
“ครูแพรวจะไปไหนเหรอคะ?”
“แพรวกับพ่อจะไปบ้านพ่อครูสักแป๊บค่ะ ครูนิกับเพื่อน ๆ อาบน้ำเสร็จก็กินข้าวก่อนได้เลยนะคะไม่ต้องรอแพรวค่ะ เดี๋ยวมืดก่อน”
“อ๋อ ได้ค่ะ”
สิ้นเสียงเล็กสองพ่อลูกก็นั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์กันออกจากบ้าน โดยมีทั้งสามคนยืนมองกระทั่งพ้นสายตา ป๊อบจึงพูดขึ้น
“ไปอาบน้ำกันเถอะ เดี๋ยวมืดก่อน” เนื่องจากป๊อบไม่คุ้นชินกับสถานที่และบรรยากาศเงียบสงัด เธอจึงรีบชวนนิกาและโปรดไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย
หลังจากทั้งสามขึ้นมาบนบ้านก็ทยอยกันลงไปอาบน้ำ ซึ่งป๊อบเลือกอาบเป็นคนแรกโดยมีโปรดแฟนหนุ่มยืนรอ แม้จะยังไม่มืดเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้เท่านั้น แต่คนขี้กลัวก็ไม่อาจอาบน้ำคนเดียวได้
ส่วนนิกานอนเล่นโทรศัพท์อยู่ในมุ้งเพื่อรออาบน้ำ ร่างเล็กเลื่อนดูรูปที่ถ่ายในหมู่บ้าน กระทั่งหยุดยังภาพดอกไม้สีขาว ที่มีกลิ่นหอมหวานหน้าบ้านของคนที่เธอเอาแต่พร่ำเพ้อถึง ตาคู่สวยจ้องมองภาพดังกล่าวไม่ละไปไหน ก่อนที่ปากอวบอิ่มสีระเรื่อจะขยับพูด
“ใครกันนะทำไมหล่อจัง...”
เพียงแค่นึกถึงใบหน้าเขา อกข้างซ้ายก็เต้นไม่เป็นจังหวะ หัวใจดวงน้อย ๆ พองโต ขณะใบหน้าสวยนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม...
ทางด้านของคนที่ถูกนึกถึงหลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ก็นั่งกินข้าวกับหลานชายสองคนบนเรือน ขณะตักข้าวใส่ปากตาคู่คมก็ช้อนมองเด็กน้อยร่างท้วมวัยห้าขวบ ที่กำลังนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเข้มดุ
“วันหลังมึงอย่ากลับบ้านเย็นให้มันมาก เล่นให้รู้จักเล่น”
“ไข่ไม่ได้กลับเย็นสักหน่อย” เด็กผู้ชายผมจุกที่ลุงให้ไว้แก้เคล็ดเนื่องจากแรกเกิดป่วยออด ๆ แอดๆ บ่อย เถียงกลับทันควัน เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้านเย็นอย่างที่คนเป็นลุงกล่าวหา
ส่วนคนที่เป็นห่วงได้ยินเช่นนั้น ก็วางช้อนลงแล้วพูดด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“มึงต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินก่อนหรือไง ถึงจะเรียกว่าเย็นฮะไอ้ไข่”
“ทำไมพ่อชอบพูดประชดจัง”
“แล้วพูดดี ๆ มึงฟังไหม?”
หากไม่สงสารที่มันเกิดมาไม่มีพ่อ เพราะผู้ชายเหี้ย ๆ ทำน้องสาวตนท้องแล้วไม่รับผิดชอบ ตัวเขาคงไม่เลี้ยงดูมันแน่ เพราะขนาดเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ พร่ำสอนแต่สิ่งดี ๆ ให้ มันยังเถียงคำไม่ตกฟากเลย
ทางด้านไข่หวานเมื่อเห็นลุงของตนพูดด้วยใบหน้าเข้มดุ สายตาคล้ายกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อตนอยู่แล้ว ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว เพราะรู้ว่าอีกคนนั้นใจดีมาก แต่ทำเป็นพูดดุ ทำหน้ายักษ์ให้กลัวเท่านั้น
ตนจึงตอบคล้ายประชดประชันกลับไป...
“จ้าพ่อจ๋า ไข่จะไม่กลับเย็นแล้ว” กาญได้ยินเช่นนั้นก็มองนิ่ง ๆ จากนั้นก็กินข้าวต่อ พร้อมกับพูดคุยกับหลานชายไปด้วย
“มึงมีการบ้านไหม?”
“มีจ้ะ”
“กินข้าวเสร็จก็ไปเอามาทำให้เรียบร้อย”
“จ้ะพ่อ” แม้จะบอกหลายครั้งหลายคราให้เรียกลุง แต่ไข่หวานก็เรียกพ่ออยู่นั่น กาญจึงปล่อยเลยตามเลย จากนั้นสองลุงหลานก็กินข้าวต่อ กระทั่งอิ่มก็ช่วยกันเก็บจานไปไว้ในครัว
พอทำทุกอย่างเรียบร้อยกาญก็นั่งเฝ้าไข่หวานทำการบ้านด้วยใบหน้าเข้มดุ เพราะเด็กน้อยนั้นคอยแต่จะอู้ไม่ยอมทำให้เสร็จก่อนค่อยเล่น
กระทั่งได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังมาจากทางหน้าบ้าน ใบหน้าคมเข้มจึงหันมองทางต้นเสียง พอเห็นผู้ใหญ่มั่นและลูกสาวขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาภายในบ้าน จึงมองด้วยใบหน้าเรียบนิ่งครู่หนึ่ง
จากนั้นก็หันกลับไปดูหลานชายทำการบ้าน ระหว่างรอสองพ่อลูกขึ้นมาบนเรือน แต่พอเห็นไข่หวานกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบของเล่น ตนจึงรีบคว้าไม้เรียวที่วางอยู่ด้านข้าง ทำเอาไข่หวานชะงักมือแทบไม่ทัน ก่อนจะรีบจับดินสอแล้วคัดไทยต่อ
ไม่นานผู้ใหญ่มั่นและแพรวก็เดินพ้นบันไดขึ้นมาบนเรือน กาญจึงหันไปมองพร้อมกับเอ่ยถาม
“มีอะไรกันรึผู้ใหญ่?”
“ผมพาลูกสาวมาหาพ่อครูน่ะ” สิ้นเสียงบอกกล่าวดวงตานิ่งสงบก็เบี่ยงไปยังหญิงสาว ที่เห็นหน้าตาเธอมาตั้งแต่เด็ก จากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงคงที่
“มึงมีอะไร?” เมื่อแพรวนั่งลงยังพื้นเรียบร้อยก็ไม่รอช้า รีบบอกธุระของเธอกับพ่อครูทันที
“พอดีวันจันทร์ทางโรงเรียนจะมีพิธีต้อนรับครูใหม่จ้ะ หนูเลยจะรบกวนพ่อครูไปทำพิธีประพรมน้ำมนต์และผูกข้อไม้ข้อมือให้ครูใหม่หน่อยจ้ะ”
กาญได้ยินเช่นนั้นก็นั่งคิดครู่หนึ่ง แม้รู้ดีว่าไม่ได้มีธุระไปไหน เพราะวัน ๆ นั่งรอแต่ลูกศิษย์มาหาที่บ้าน ทว่าก็ไม่ได้เร่งรีบตอบกลับไป ทำเอาแพรวถึงกับเกร็งไม่น้อยเพราะกลัวพ่อครูไม่สะดวกไปทำพิธีตามที่เธอขอ
แต่ไม่นานก็ได้ยินอีกคนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง…
“อือ เดี๋ยวกูไปทำพิธีให้”
“ขอบคุณจ้ะพ่อครู” กาญพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็มองยังกระดาษแผ่นเล็ก ที่แพรวยื่นมาด้านหน้าพร้อมเอ่ยบอก
“อันนี้เป็นชื่อกับนามสกุลของครูนิจ้ะ เผื่อพ่อครูจะใช้ในการประกอบพิธี”
เมื่อแพรวพูดจบกาญก็มองยังกระดาษแผ่นดังกล่าวครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือไปรับ ขณะดวงตากำลังจะมองตัวหนังสือที่ปรากฏบนกระดาษ จู่ ๆ ไฟบนเรือนก็ดับ ทำให้บ้านทั้งหลังมืดสนิท แต่ก็ไม่มีใครตกใจเพราะเป็นเรื่องปกติจนคุ้นชิน
จากนั้นกาญก็เอื้อมมือไปหยิบตะเกียงที่วางอยู่ไม่ไกลมาจุด ขณะหูนั้นฟังสองพ่อลูกพูดคุยกัน
“พ่อเรารีบกลับบ้านกันเถอะ ไม่รู้พวกครูนิจะเป็นยังไงบ้าง”
“ไปสิ ตกใจจนขวัญเสียกันหมดแล้วมั้ง” หลังจากสองพ่อลูกคุยกันจบ แพรวก็หันไปทางพ่อครูแล้วยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม
“ขอบคุณนะจ๊ะพ่อครู”
“อือ” สิ้นเสียงทุ้ม แพรวกับพ่อของเธอก็รีบลงจากเรือนทันที เมื่อทั้งบ้านเหลือเพียงสองลุงหลาน กาญก็หันไปทางไข่หวานแล้วเอ่ยบอกด้วยถ้อยคำเชิงบังคับ
“รีบทำการบ้านจะได้ไปนอน”
“พรุ่งนี้ค่อยทำต่อได้ไหมพ่อ ไฟมันดับแล้ว”
“อีกแค่บรรทัดเดียวก็จะเสร็จแล้ว มึงจะเหลือไว้ทำไม?”
“ก็ได้จ้ะ” ไข่หวานตอบด้วยน้ำเสียงโอดครวญเพราะอยากพักแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากทำตามที่ลุงบอกอย่างจำยอม
ในขณะคนตัวสูงกำลังนั่งมองหลานชายทำการบ้าน จู่ ๆ กลิ่นดอกกาญจนิกาที่ตนเป็นคนปลูกก็ลอยมากระทบยังจมูก ใบหน้าหล่อเหลาจึงหันมองดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่ง จากนั้นก็สูดดมกลิ่นหอมหวานด้วยความผ่อนคลาย
ในเวลาที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นของดอกไม้ จู่ ๆ ใบหน้าของอีกคนที่เพิ่งเจอเมื่อช่วงเย็นก็แล่นเข้ามาในโสตประสาท ดวงตานิ่งสงบจึงหลุบมองกระดาษที่อยู่ในมือ พอเห็นชื่อของเธอผ่านแสงสว่างจากเปลวเทียน ก็ทำเอาชะงักไปครู่หนึ่ง
ขณะในหัวได้แต่คิดเป็นเรื่องบังเอิญดี ที่เธอนั้นชื่อเดียวกับดอกไม้ที่เขาชื่นชอบ…