เป็นความเชื่อของชาวมอญ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ค่ำคืนมืดมิด ผู้คนต่างพากันหลับใหลอยู่ภายในบ้านเรือนของตัวเอง เช่นเดียวกับหญิงสาวร่างเพรียว ที่นอนกอดแฟนหนุ่มอยู่ภายในมุ้งของบ้านไม้ ในเวลาที่ป๊อบกำลังนอนหลับใหล จู่ ๆ เธอก็สะดุ้งตื่นอย่างไม่มีเหตุผล พอกวาดสายตามองไปรอบบ้านที่มืดสลัวบรรยากาศวังเวง ก็ทำเอาหัวใจดวงน้อย ๆ สั่นระรัวไม่เป็นจังหวะด้วยความหวาดกลัว ยิ่งในหัวคิดไปต่าง ๆ นานา ก็ยากจะหักห้ามความรู้สึกได้
ป๊อบจึงเบี่ยงสายตาไปยังคนด้านข้าง เมื่อเห็นโปรดนอนอยู่ก็ทำเอาชะงักด้วยความตกใจ ขณะภายในใจได้แต่ตำหนิตัวเอง ที่เผลอหลับข้างคนรักทั้งที่เจ้าของบ้านห้ามแล้ว แต่หากให้คลานกลับมุ้งตัวเองในตอนนี้ก็ขี้ขลาดเกินจะทำได้ ป๊อบจึงขยับเข้าไปใกล้โปรดแล้วโอบกอดแฟนหนุ่มของเธอแนบแน่น จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตาลงอีกครั้ง
ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่เปลือกตาปิดลง เธอก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังเดินอยู่บนบ้าน ป๊อบจึงลืมตาขึ้นฉับพลันด้วยความหวาดหวั่น ทว่าก็พบกลับความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาหัวของใครสักคน รับรู้เช่นนั้นก็ยิ่งหวาดกลัว หัวใจพลันเต้นถี่ยิบคล้ายกับจะหลุดออกมาข้างนอก จากนั้นเธอก็นอนกลอกตาไปมาอยู่บนที่นอนด้วยความหวาดระแวง
เวลาผ่านไปสักพักเมื่อเห็นเหตุการณ์ปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป๊อบจึงพยายามไม่คิดอะไรแล้วข่มตาหลับลงอีกครั้ง
แกร็ก!
ในเวลาที่กำลังจะเคลิ้มหลับด้วยความง่วง จู่ ๆ ก็ได้ยินคล้ายเสียงเปิดประตู ป๊อบจึงรีบจับผ้าห่มขึ้นปิดหน้าเหลือเพียงดวงตาเท่านั้น ก่อนจะมองยังปลายเท้า เห็นผู้ชายร่างไม่ใหญ่คนหนึ่ง กำลังจะเดินผ่านมุ้งของเธอไปอย่างช้า ๆ มือเล็กจึงรีบจับผ้าห่มคลุมโปงเพราะคิดว่าเป็นผู้ใหญ่มั่น จึงกลัวว่าจะโดนจับได้ที่เธอแอบมานอนกับคนรัก
หญิงสาวนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มด้วยความกระวนกระวายใจ ขณะหูนั้นคอยฟังเสียงฝีเท้าคู่นั้น เดินไปยังบันไดอยู่ภายใต้ผ้าห่มที่ร้อนอบอ้าวราวกับจะขาดใจ กระทั่งเสียงฝีเท้าคู่นั้นเงียบลง ป๊อบจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดผ้าห่มที่ปิดหน้าลง
กระทั่งดวงตาโผล่พ้นออกมา...
เธอจึงมองไปยังปลายเท้า ก่อนจะเห็นเงาดำ ๆ ของผู้ชายคนดังกล่าวยืนอยู่หน้ามุ้ง ขณะใบหน้ายื่นมาจนติดมุ้ง ทำเอาหัวใจเธอร่วงหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ขณะดวงตาเบิกกว้างมองชายที่ไม่มีหน้าอย่างตกตะลึง ความหวาดกลัวเต็มประดา แขนขาไร้เรี่ยวแรงริมฝีปากจะขยับเรียกคนรักก็ไม่ได้ ป๊อบจึงเลือกจับผ้าห่มคลุมโปงอีกครั้ง
ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เธออยู่ใต้ผ้าห่ม ก็โดนมือหยาบกร้านจับที่ขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็ถูกลากออกไปนอกมุ้งอย่างรุนแรง ทำเอาป๊อบตกใจสุดขีดจึงร้องกรี๊ดเสียงดังลั่นบ้าน
“กรี๊ด!”
จากนั้นก็รีบดันตัวลุกขึ้น ทำให้ประจันหน้ากับชายแก่ คนเดียวกับในรูปภาพที่ติดยังฝาบ้านยืนจ้องหน้าเธอเขม็ง คล้ายกับโกรธเคืองบางอย่างอยู่ ก่อนจะชี้หน้าเธอแล้วพูดตะคอกด้วยท่าทีขึงขัง
“ใครบอกให้พวกมึงมานอนบนบ้านกู!”
สิ้นเสียงแหบแห้ง ป๊อบก็กรีดร้องอย่างคนสติหลุด ท่ามกลางสายตาของนิกาและโปรด ที่นั่งมองด้วยความตกใจทำอะไรไม่ถูก เมื่อจู่ ๆ ก็เห็นอีกคนออกไปนั่งร้องไห้ฟูมฟายข้างนอกมุ้ง แต่พอได้สติทั้งสองก็รีบออกไปหาป๊อบด้วยความเป็นห่วง
“ตัวเองเป็นอะไร?”
“ป๊อบแกเป็นอะไร?” ป๊อบที่นั่งเอามือปิดตาทั้งสองข้าง พอได้ยินเสียงนิกาและโปรด เธอจึงรีบหันไปกอดทั้งสองแนบแน่น แล้วพูดด้วยท่าทีหวาดกลัวขณะตัวนั้นสั่นเทา
“ฮือ~ ฉันโดนผีหลอก” สิ้นเสียงป๊อบไฟบนบ้านก็ถูกเปิดสว่างจ้าด้วยฝีมือเจ้าของบ้าน
ทางด้านผู้ใหญ่มั่นได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะหันมองยังเสาผีที่ผูกด้วยผ้าสีโดยไม่พูดอะไร ไม่นานก็เบี่ยงสายตาไปยังนิกาและเพื่อน ๆ ของเธอ ด้วยความโกรธกรุ่นขณะสันกรามขบกันแน่น
ส่วนแพรวเมื่อเห็นสีหน้าของคนเป็นพ่อที่ดูไม่พอใจมาก ก็ไม่กล้าพูดอะไรนอกจากยืนมองนิ่ง ๆ
กระทั่งผู้ใหญ่มั่นเห็นป๊อบที่อยู่ในอ้อมกอดของนิกาและโปรดได้สติขึ้นมาบ้าง จึงเอ่ยถามเธอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“นางหนู เอ็งได้นอนแยกกับแฟนตามที่บอกไหม?” สิ้นเสียงผู้ใหญ่มั่นก็ทำเอาป๊อบชะงักพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่น้ำสีใสยังหลั่งไหลไม่ขาดสายกับภาพที่ยังติดตา
นิกาที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่เมื่อเห็นป๊อบไม่ตอบ ก็เริ่มไม่มั่นใจว่าเพื่อนได้กลับมานอนกับเธอหรือเปล่า เพราะเธอหลับไปก่อนจึงไม่รู้ ก็เลยเป็นฝ่ายถามย้ำเพื่อนแทนเจ้าของบ้าน แม้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไรก็ตาม
“ป๊อบแกได้กลับมานอนกับฉันไหม?”
คนต้นเรื่องทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นจึงเม้มปากด้วยความรู้สึกผิด ที่ไม่ยอมฟังเจ้าของบ้านบอก ทำให้เจอกับเรื่องลี้ลับจนสติแทบแตก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบความจริง
“ไม่แก ฉันเผลอหลับไป ก็เลยนอนกับโปรด”
“แก!”
นิกาถึงกับอยากยกเท้าก่ายหน้าผาก ที่เพื่อนดื้อรั้นไม่ยอมทำตามความเชื่อเจ้าของบ้าน จากนั้นนิกาก็พยายามรวบรวมสติและความกล้า หันไปทางผู้ใหญ่มั่นที่ยืนรอฟังคำตอบ แล้วพูดบอกด้วยใบหน้ารู้สึกผิดแทนเพื่อน
“ไม่ค่ะ เพื่อนหนูนอนกับแฟน” ผู้ใหญ่มั่นถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่กับเรื่องที่รับรู้ ในขณะที่แพรวนั้นรู้สึกผิดที่ไม่ได้บอกทั้งสามให้ละเอียดถึงข้อห้าม
เนื่องจากครอบครัวเธอเป็นชาวมอญที่นับถือผีบรรพบุรุษ ซึ่งภายในตระกูลมีข้อห้ามและปฏิบัติอยู่หลายข้อ หนึ่งในนั้นคือห้ามชายหญิงต่างตระกูลนอนมุ้งเดียวกัน ไม่งั้นจะผิดผี ซึ่งทั้งสองได้ล่วงเกินข้อปฏิบัติดังกล่าว ผลที่ตามมาไม่ใช่เพียงผู้กระทำที่เจอ แต่รวมถึงเจ้าของบ้านด้วยที่ไม่ยอมกำชับถึงข้อห้ามกับผู้ที่มาอาศัย
หลังจากผู้ใหญ่มั่นบอกรายละเอียดกับทั้งสามแล้ว ก็ทำเอานิกาและเพื่อน ๆ ของเธอแน่นิ่งไปเลย เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีความเชื่อแบบนี้ด้วย หากไม่เจอกับตัว
ทางด้านผู้ใหญ่มั่นยืนครุ่นคิดว่าคืนนี้จะเอาอย่างไรต่อ เพราะหากให้ทั้งสามนอนที่บ้านต่อ ผีบรรพบุรุษตนคงไม่ยอมแน่ รวมถึงทั้งสามคนก็คงไม่กล้านอนที่นี่ด้วยเช่นกัน ชายวัยกลางคนมองเด็กรุ่นลูกทั้งสามคนสักพัก กระทั่งนึกออกว่าใครจะช่วยได้ ผู้ใหญ่มั่นจึงไม่รอช้าเอ่ยบอกนิกา ที่นั่งมองตนด้วยความรู้สึกผิดแทนเพื่อนอย่างเห็นได้ชัด
“คืนนี้ครูกับเพื่อนต้องไปนอนที่อื่นก่อน”
“ที่ไหนเหรอคะ?” เพราะกลัวเจ้าของบ้านโกรธมากแล้วขับไล่เธอกับเพื่อนไปนอนวัด นิกาจึงรีบถามให้หายสงสัย
“บ้านพ่อครู” สิ้นคำตอบใบหน้าสวยหวานก็งุนงงไม่น้อยว่าเขาคือใคร ทว่าก็ไม่ได้สนใจไปมากกว่าคืนนี้เธอกับเพื่อน ๆ จะไม่ต้องไปนอนที่วัดแล้ว
ทางด้านป๊อบที่นั่งฟังอยู่ได้ยินเช่นนั้น จึงรีบเอ่ยบอกโปรดกับนิกาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกเราขับรถไปหาโรงแรมในเมืองนอนดีกว่าไหม ฉันไม่อยากนอนที่นี่แล้ว” หากอยู่ในหมู่บ้านนี้เธอก็คงหวาดกลัวอยู่ดี สิ้นคำพูดป๊อบ ผู้ใหญ่มั่นจึงเอ่ยบอกคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ด้วยน้ำเสียงเข้มดุเพราะยังโกรธเธออยู่
“ขืนขับรถเข้าเมืองตอนนี้ก็อันตรายเปล่า ๆ ยิ่งคนไม่คุ้นทาง มีหวังขับรถตกเขาตายแน่” เมื่อหาทางออกไม่ได้ ป๊อบจึงจำยอมทำตามที่ผู้ใหญ่มั่นบอก
“แล้วพวกหนูนอนบ้านพ่อครูได้ใช่ไหมคะ? จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่มี”
เนื่องจากอีกคนไม่ได้เป็นชาวมอญจึงไม่มีข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติเหมือนกับตน หลังจากพูดคุยและตกลงกันเรียบร้อย ว่าคืนนี้ทั้งสามจะต้องไปนอนที่บ้านพ่อครูก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยมาทำพิธีขอขมาผีบรรพบุรุษ
ผู้ใหญ่มั่นและลูกสาวก็ไม่รอช้ารีบขับรถไปส่งนิกาและเพื่อน ๆ ของเธอที่บ้านพ่อครูทันที...