เสียงลมพัดใบไม้ที่ตกกระทบพื้นดังแกรกกราก เหยียนจื่อหยา จ้องมองโลงแก้วที่ใส่ร่างตี๋ฝูเหริน ชายาเอกของตนนิ่ง พลันน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม แม้ไร้เสียงสะอื้นแต่ความปวดร้าวนั้นแล่นไปทั่วหัวใจราวกับถูกมือปริศนาบีบรัด
เหยียนจื่อหยา จวิ้นอ๋องรั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นฝู ชายหนุ่มผู้กำยำ หล่อเหลาราวเทพเซียน บุรุษผู้กล้าหาญ ฉลาด เด็ดเดี่ยว องอาจ ซ้ำฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เป็นรองผู้ใดในใต้หล้า เขานั่งข้างโลงนี้มาสามวันแล้วตั้งแต่ หลุนเหอจิ้ง ผู้เป็นชายารักจากไป
เขาคิดย้อนไปในวันวาน ครั้งที่เขาอายุ 20 ปีเขาได้พบนางครั้งแรกที่จวนสกุลหลุน บิดานางตำแหน่งต้าซือถูมีอำนาจสูงสุดผู้หนึ่งในราชสำนัก เปรียบได้กับอุปราชของวังหลวง
นางยังเป็นเพียงเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มอายุเพียง 8 ขวบปี นางกำลังง่วนกับการเขียนสี และวาดภาพ นางเล่นอยู่กับสาวใช้ที่ศาลาริมน้ำ
“คาราวะท่านหลุนหยงเยี่ยน ข้าเป็นตัวแทนบิดานำของขวัญ ภาพวาด และใบชาชั้นเลิศมามอบให้ท่าน” เหยียนจื่อหยาได้รับมอบหมายจากฝูอ๋อง เหยียนเฟยหลง ผู้เป็นบิดามาเป็นตัวแทนอวยพรวันเกิดอุปราชหยงเยี่ยน ทั้งสองนั้นเป็นสหายรักที่สนิทชิดเชื้อกันมาหลายสิบปี
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง และจวิ้นอ๋องเป็นอย่างสูง เชิญจวิ้นอ๋องรับของว่างก่อน”
“ท่านอากล่าวหนักไปแล้ว มีแต่คนกันเองมิได้เป็นพิธีการอันใด ท่านอาเรียกข้าจื่อหยาเช่นเดิมเถิด”
“บุตรสาวข้าเล่นซนอยู่ที่ศาลานั่น หากจวิ้นอ๋องไม่รังเกียจ เชิญรับของว่างพร้อมชมความซุกซนของนางได้” หลุนหยงเยี่ยนหัวเราะเบาๆ พลางเดินนำไปยังศาลาริมน้ำ
หลุนหยงเยี่ยนบิดานางเรียกสาวใช้นำของว่างและน้ำชามารับรองแขกผู้สูงศักดิ์ แต่นับได้ว่าเขาเองก็คุ้นเคยกับจวิ้นอ๋องไม่น้อยเนื่องจากเป็นสหายรักกับฝูอ๋องผู้เป็นบิดา ทั้งสอนวิชาความรู้มากมายเรื่องกลศึกให้จวิ้นอ๋องแต่ยังเล็ก
“เสี่ยวจิ้ง คาราวะท่านจวิ้นอ๋องเหยียนจื่อหยา เร็วเข้า วันนี้ท่านนำของขวัญวันเกิดมามอบให้พ่อ เป็นพระคุณยิ่งแล้ว”
“เสี่ยวจิ้ง คาราวะท่านจวิ้นอ๋องเพคะ” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโต จมูกเรียวเล็กเชิดรั้น ปากอวบอูมแดงดั่งลูกอิงเถา แย้มยิ้มเอ่ยเจรจา
“ไม่ต้องมากพิธี เสี่ยวจิ้ง เรียกพี่จื่อหยาเถิด”
“เพคะ จวิ้นอ๋อง” พลันรอยยิ้มที่ผู้คนยากนักจะได้เห็นก็ปรากฏขึ้นที่พระพักต์ของจวิ้นอ๋องหนุ่ม เหยียนจื่อหยามองสายตาของดรุณีน้อยวัยแปดปีที่สบเข้ากับเขาอย่างจัง นางช่างซุกซนน่ารักยิ่ง
หลังรับประทานของว่าง พูดคุยกันเพียงหนึ่งเค่อ
“เรียนท่านอุปราช คหบดีฟาง นำของขวัญมามอบให้ท่าน รออยู่ที่เรือนรับรองขอรับ” พ่อบ้านเข้ามาแจ้งกับบิดานาง
“ข้าขอตัวไปรับแขกก่อน จื่อหยาหากเจ้าชอบเล่นกับเด็กเล็ก ก็อยู่พูดคุยกับเสี่ยวจิ้งไปก่อนเถิด” หลุนหยงเยี่ยนเอ่ยหยอกเย้าจวิ้นอ๋องอย่างสนิทสนมดั่งลูกหลานผู้หนึ่ง
“ถึงท่านไล่ข้าก็ยังไม่กลับท่านอา ข้าขอคุยกับน้องเสี่ยวจิ้ง ช่วยนางวาดภาพสักครู่” หลุนหยงเยี่ยนหัวเราะดังลั่น
“ตามใจเจ้าเถิดจื่อหยา ส่วนเจ้า เสี่ยวจิ้ง อย่าซุกซนให้มากนักประเดี๋ยวพี่จื่อหยาจะปวดหัวเอาได้” บิดานางกล่าว
นับจากนั้นเขาก็ได้ไปเยี่ยมนางพูดคุยสนทนากันบ่อยครั้ง เขารู้แต่แรกว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายได้หมั้นหมายตัวเขาและนางนั้นตั้งแต่เกิด แต่นางนั้นเกิดช้ากว่าเขามากนักฝูอ๋องบิดาของเขากับต้าซือถูหลุนหยงเยี่ยนจึงได้เจรจาใหม่ให้เขาได้ตัดสินใจเองว่ายังต้องการหมั้นหมายกับนางรึไม่ นางยังเป็นเด็กส่วนเขานั้นเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขายังยืนยันกับบิดาว่าต้องการหมั้นหมายกับนาง รบเร้าให้บิดาของเขาส่งของหมั้นไปหมั้นหมายนางตอนอายุเพียงสิบปี แม้นางยังเล็กนัก ลึกๆ แล้วเขานั้นกลัวว่านางจะหันไปพึงใจชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับนาง จึงต้องชิงหมั้นหมายไว้ก่อน
เขาเฝ้ามองนางเติบโต หากเขาว่างจากช่วยงานราชกิจของบิดา ว่างเว้นจากการศึก เขามักเข้าไปพูดคุย บางครั้งหาสิ่งของสวยงาม สิ่งของแปลกๆ ไปให้นางเสมอ นางสดใสร่าเริงราวกับดวงตะวัน อ่อนโยนราวแสงจันทร์ นับวันนางเติบโตขึ้นรูปโฉมนางงดงามดั่งนางเซียน รูปร่างอรชรเย้ายวนตายิ่งนัก ถึงพบนางบ่อยครั้ง นางนั้นวางตัวเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อม ซ้ำยังมีระยะห่างที่เขาไม่อยากให้มี นางยังเรียกเขาว่าจวิ้นอ๋อง หรือบางคราเรียกว่าท่านแม่ทัพอยู่ร่ำไป
เหยียนจื่อหยา นั่งเหม่อมองโลงแก้วดั่งคนโง่งม ทุกสิ่งที่เพียรเฝ้ารอนั้นสลายหายไปในพริบตาพระมารดายืนแอบดูบุตรชายเพียงคนเดียวด้วยความเศร้าใจ เอ่ยปลอบเบาๆ
“จื่อหยา หักใจเสียเถิด จิ้งเออร์ไปสบายแล้วลูก แม่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แม่ปวดใจนัก”
“ท่านแม่ ราวหัวใจลูกถูกกรีด ลูกเจ็บปวด ลูกจะอยู่ได้อย่างไร ดวงใจลูกได้ตายไปแล้ว”
เขากอดมารดา และประคองมารดาเดินออกจากห้องเก็บร่างของนางอันเป็นที่รัก ดอกเหมย ฮวา ดอกโม่ลี่ฮวา มากมายล้อมโลงแก้วดั่งสวนดอกไม้ ในโลงมีหยกเย็นเหมันต์ ให้ไอเย็นเฉียบ ใส่ไว้รักษาร่างนางไม่ให้เน่าเปื่อย เขาถ่ายปราณรักษาร่างนางไว้จนกว่าเขาจะตัดใจได้จึงจะฝังนางในสุสานราชวงศ์ตระกูลเหยียน
ในขณะที่ผู้คนออกไปหมดสิ้น เปลือกตางามพลันขยุกขยิก นิ้วก้อยของนางนั้นขยับ ริมฝึปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย แม้ไร้วิญญาณ แต่ปราณที่หล่อเลี้ยงในร่างนางยังคงสภาพร่างกายไว้ได้