หลังจากเหตุการณ์ขาดสติในค่ำคืนแสนเร่าร้อนและหนึ่งวันแห่งความสุขจบลง บุณณดายังคงใช้ชีวิตตามปกติเช่นเคย แม้จะพยายามไม่คิดถึงใบหน้าของผู้ชายแปลกหน้า ที่สร้างเรื่องราวในชีวิตของเธอให้มีสีสันขึ้นมา แต่ก็ทำไม่ได้
สมองว่างเมื่อไหร่ ใบหน้าของชายคนนั้นก็ไหลเข้ามาเสียทุกครั้งไป ใบหน้าสวยสะบัดไปมาเพื่อขับไล่ความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากดดูรายชื่อที่บันทึกไว้ว่า กรณ์
“ผมโทรหาคุณได้ไหม” บุณณดายังจำคำพูดและจุมพิตหวานซ่านใจที่ชายหนุ่มทิ้งท้ายไว้ก่อนจากกันวันนั้นได้ขึ้นใจ จ้องมองชื่อเจ้าของคำพูดด้วยรอยยิ้มดั่งดรุณีแรกแย้มที่พบพานความรักเป็นครั้งแรก
แต่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอกำลังหลงผู้ชายคนนี้ หลงคารมคมคาย หลงหน้าตา หลงการกระทำอันอบอุ่นและเอาใจใส่ทุกรายละเอียด เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่นอกจากแม่ และพ่อที่เปิดประตูรถให้นั่งในตอนเด็ก ก็ไม่มีชายใดทำให้สักคน ก็มีแต่ผู้ชายที่ชื่อกรณ์นี่แหละที่ทำให้
แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้วสองวันที่เจ้าของคำพูดหวานหู บอกจะโทรหาหายเงียบไป ครั้นเธอจะกดโทรไปหาก็ดูกระไร แม้จะคิดถึงเขาอย่างสุดแสนทรมานก็ตาม แต่เธอก็ไม่อยากเป็นผู้หญิงไร้ค่าเหมือนที่เขาเคยผ่านมา แค่ที่เธอทำตัวเหลวไหลวันนั้น ก็รู้สึกผิดต่อบิดามารดาที่อบรมเลี้ยงดูมามากพออยู่แล้ว
และเธอก็ไม่ได้อ่อนต่อโลกถึงขนาดไม่รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราว ที่นักเที่ยวส่วนใหญ่มักทำกัน ที่สำคัญไม่มีรักแท้ในสถานที่แบบนั้น สิ่งที่หาได้คือความสนุกสนานและความสุข ซึ่งปราศจากความรัก
ส่วนคำหวานที่เขาเอ่ยออกมา ก็เพียงลมปากไร้ค่าที่ใช้หลอกเหยื่อให้เดินเข้าหา หามีความจริงใจไม่ หรือสำหรับผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่อย่างนั้น เขาอาจจะจริงใจกับเธอก็เป็นได้
แต่ถ้าจริงใจ ทำไมเขาถึงไม่โทรมาหาเธอล่ะ ในเมื่อเขาขออนุญาตเธอแล้วว่าจะโทรหา แล้วไยถึงได้ปล่อยให้เธอเป็นดั่งสายบัวรอเก้ออยู่อย่างนี้ได้
ช่างใจร้ายเกินไปแล้วนะ...
แค่นี้ก็ชัดแล้วหรือเปล่า ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเธอสักนิด มีเพียงเธอคนเดียวที่เพ้อฝันและเฝ้ารอให้เขาโทรหาราวกับคนบ้า
"ไม่คิดจะโทรมาหากันจริงๆ เหรอคนบ้า มาทำให้หวั่นไหวแล้วก็หายอย่างนี้เนี่ยนะ"
บ่นออกมายังไม่ทันขาดคำ เสียงเรียกเข้าของสมาร์ทโฟนก็ดังขึ้นจนหญิงสาวสะดุ้ง รีบคว้าขึ้นมาดู เห็นชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ บุณณดาก็มือไม้สั่น กระดี๊กระด๊าดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่ไหว ฉีกยิ้มกวางจนแทบจะถึงใบหู หัวใจเต้นดังตึกๆ อยู่ในอก
“ใจเย็นต้อง นิ่งไว้ นิ่งไว้บุณณดา” สูดลมหายใจเข้าลึกถึงปอดทั้งสองข้าง กดรับสายพยายามบังคับเสียงไม่ให้ตื่นเต้นกล่าวออกไป
“สวัสดีค่ะ”
(สวัสดีครับ ต้องใช่ไหมครับ) คนตื่นเต้นกลั้นเสียงกรี๊ดเอาไว้แทบไม่ไหว ใบหน้าแดงแจ๋ด้วยความดีใจ พยักหน้ารับหงึกๆ แม้คนปลายสายจะมองไม่เห็นก็ตามที
“ใช่ค่ะ ต้องค่ะ นี่คุณ...” แกล้งเว้นวรรคออกไปคล้ายกับจำไม่ได้ว่าปลายสายคือใคร ทั้งที่จริงแค่ได้ยินเสียงใบหน้าเขาก็ลอยเข้ามาในมโนของเธอเสียแล้ว
คิดถึง...ฉันคิดถึงเขา
(อะไรกันครับเนี่ย ไม่เจอกันสองวันลืมผมแล้วเหรอครับ เสียใจจัง) ตัดพ้อไม่จริงจังนัก
“คุณกรณ์เหรอคะ ไม่ใช่จำไม่ได้ค่ะ แต่ฉันไม่คิดว่าคุณจะโทรมานี่คะ เห็นหายเงียบไป นึกว่าเจอเหยื่อรายใหม่ที่ถูกใจก็เลยไม่สนใจเหยื่อตัวเก่าแล้ว”
(เอาอะไรมาพูดครับ พอดีผมไปดูร้านที่ภูเก็ตมา ร้านมีปัญหานิดหน่อยก็เลยยุ่งไม่ได้โทรหา ต้องอย่าโกรธผมนะ) เอ่ยออกมาเสียงอ้อน หากบุณณดาเห็นคงละลายเป็นแน่ เพราะขนาดไม่เห็นหน้า ได้ยินแค่เสียงบุณณดาก็นั่งบิดไปบิดมาจนแทบจะตกเก้าอี้เสียด้วยซ้ำ
“ไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องโกรธนี่คะ” นั่น...ปากไม่ตรงกับใจ โกรธเขาแทบตายที่หายเงียบไป แต่ดันปากดีเสียด้วย
(ถ้าไม่ได้โกรธ เย็นนี้มาทานข้าวกับผมนะครับ เดี๋ยวผมไปรับหน้าบริษัท ต้องทำงานที่บริษัทไหนครับ) เรื่องอะไรจะรีบตอบรับออกไป เล่นตัวบ้างเป็นไง เขาจะได้ไม่หาว่าเธอรอเขา
"แต่ว่า..."
(อย่าแต่เลยครับ ไม่เห็นใจคนคิดถึงบ้างหรือไง ไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้ยินเสียงตั้งสองวัน คิดถึงใจแทบขาด ต้องบอกเถอะครับว่าทำงานที่ไหน เดี๋ยวผมไปรับ" บุณณดาอยากจะร้องกรี๊ดออกมาในตอนนี้ ยิ้มจนปวดแก้มไปหมด ใบหน้าก็ร้อนจนต้องยกมือขึ้นมาพัด
ตายๆๆ เธอกำลังจะตายไหมนะ มาอ่อยแรงขนาดนี้ เธอจะใจแข็งได้ยังไง
“ฉันทำงานที่โรงแรมวิรชัชกุลค่ะ คุณมารอที่ลานจอดรถหน้าโรงแรมก็ได้”
แม้ความสัมพันธ์จะเกินเลยจนกู่ไม่กลับและดูเหมือนจะไม่จบ ทว่าบุณณดากลับไม่ได้บอกว่าตัวเองคือใคร อีกอย่างชายหนุ่มก็ไม่ได้ถามว่าเธอเป็นใครมาจากไหน
ก็ดีเหมือนกัน เพราะเธอก็ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะยืนยาวหรือไม่ ข้อมูลส่วนตัวก็ควรต้องเก็บไว้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ส่วนปลายสายก็พยักหน้ารับเมื่อได้ยินชื่อสถานที่ทำงานของหญิงสาว ถึงว่าทำไมวันนั้นถึงพาเขาไปที่โรงแรมนี้ ที่แท้ก็ทำงานที่นี่นี่เอง
(ได้ครับ เย็นเจอกันนะครับ ตั้งใจทำงานนะครับคนเก่ง ผมไม่กวนแล้ว)
“ค่ะ” รีบกดตัดสายไปด้วยความเร็ว
“กรี๊ดดด” ยกมือขึ้นมาปิดปากกรีดร้องออกมาเบาๆ ด้วยความดีใจ หัวใจที่เหี่ยวแห้งมาสองวัน ตอนนี้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา
ตั้งใจทำงานนะคนเก่ง...
อบอุ่นยิ่งกว่าอะไร ทำให้มีแรงทำงานตลอดทั้งวัน การมีแฟนมันดีอย่างนี้ใช่ไหม มันทำให้เราได้รับพลังงานบวกใช่ไหม
เอ๊ะ! แฟนเหรอ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก มโนไปก่อนแล้วกันว่าใช่
บุณณดาถกเถียงกับตัวเองในใจด้วยความสุข รีบเปิดกระเป๋าหยิบตลับแป้งขึ้นมาเช็กความเรียบร้อยของเครื่องหน้าและผมให้เข้าที่เข้าทาง แม้ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาเพียงสิบโมงเช้าเองก็ตาม
หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นคงเป็นการโกหกมดเท็จ เพราะบุณณดาเคลียร์งานเสร็จตั้งแต่บ่ายสาม จากนั้นก็แต่งหน้าสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม ไม่ลืมจะดมกลิ่นความหอมของร่างกาย เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ก็ฉวยกระเป๋าสะพายและสมาร์ทโฟนขึ้นมาถือติดมือไว้ เผื่อชายหนุ่มโทรมาจะได้รับสายทัน ก้าวเดินฉับๆ ออกไปจากห้องทำงาน
"แพรว วันนี้พี่มีธุระ พี่ไปก่อนนะ"
"นัดหนุ่มๆ ไว้เหรอคะ ยิ้มมาตั้งแต่เปิดประตูห้องเชียว" อยากจะยกมือขึ้นมาป้องปากและปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ดั่งในละครที่เคยดู แต่ก็อายเกินกว่าจะทำได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับกลับไป
"ไปนะ"
"ขอให้ได้ขอให้โดนนะคะคุณต้อง"
ก็อยากจะโดนสักทีสองทีเหมือนกัน อ้ายยย คิดแล้วก็พาลอารมณ์ดีกระดี๊กระด๊า
"บ้า! พูดอะไรก็ไม่รู้ ไปดีกว่า"
บุณณดาเดินมาด้านหน้าโรงแรม พยายามยืนหลบมุมและเลือกบริเวณที่ผู้คนไม่พลุ่งพล่าน เพราะไม่อยากให้พนักงานเห็นสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายมีพนักงานเดินผ่านมาเห็นพร้อมทั้งยกมือไหว้ พลันเสียงเรียกเข้าเจ้าเครื่องบางที่อยู่ในมือก็ดังขึ้นมา รีบกดรับสาย กวาดสายตามองไปโดยรอบ
“ฮัลโหลค่ะ...คันไหนคะ...อ๋อ! ค่ะ” เมื่อเห็นรถเป้าหมายก็เร่งฝีเท้า เดินไปยังรถยนต์สีดำที่มีสัญลักษณ์รูปวงกลมสี่วงวางซ้อนทับกัน พร้อมกับเจ้าของรถที่ลงจากรถ ใบหน้าหล่อเหลาที่เธอหลงใหลวันนี้สวมแว่นตากรองแสงรับกับใบหน้ายืนส่งยิ้มมาให้ ทำให้เสื้อยืดกับกางเกงยีนธรรมดาดูดีขึ้นมายิ่งกว่าอะไร
“สวัสดีครับ” คำทักทายแสนธรรมดาที่มาพร้อมรอยยิ้ม ช่างทำให้ความเมื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดทั้งวันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ มีความสดชื่นเข้ามาแทนที่อย่างน่าประหลาด
“สวัสดีค่ะ”
“มาครับ ขึ้นรถ” ชายหนุ่มเดินนำบุณณดาไปยังอีกฝั่งข้างคนขับ ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีอยู่เต็มเปี่ยมถูกแสดงออกมา ด้วยการเปิดประตูให้หญิงสาวเข้าไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะ” สิ้นเสียงขอบคุณ ใช่ว่าความเป็นสุภาพบุรุษจะหมดไปเสียเมื่อไหร่ ชายหนุ่มโน้มตัวลงต่ำ จนจมูกโด่งเป็นสันแทบจะเฉียดแก้มใสของคนที่ตั้งตัวไม่ทัน
บุณณดาหันขวับกลับไปมองและก็ต้องผงะแทบจะฝังตัวเข้าไปกับเบาะรถ เมื่อปลายจมูกของเธอเฉียดแก้มสากไปอย่างเฉียดฉิว
พ่อคุณเอ๊ย อ่อยแรงเบอร์นี้เลยเหรอ จะรอดไหมเนี่ยเรา
“ทะ ทำอะไรคะ” รอยยิ้มละลายใจเผยขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา พลางมองใบหน้าของหญิงสาวที่แดงแจ๋ราวกับลูกมะเขือเทศ
“ผมคาดเบลท์ให้” ดึงเข็มขัดนิรภัยคาดให้หญิงสาวอย่างที่พูดออกไปจริงๆ
บุณณดาแทบจะหลอมละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้ให้เธอเลยนะ จะอบอุ่นน่ารักไปถึงไหน บอกเลยนะว่าเธอจะจับไม่ปล่อย จะขังไว้ในกรงรักของเธอไม่ให้เห็นเดือดเห็นตะวันเชียวแหละ
“เสร็จแล้วครับ” หันหน้ากลับมาบอก ความใกล้ชิดของใบหน้าที่อยู่ห่างเพียงฝ่ามือกลั้น ทำให้บุณณดาสั่นไปทั้งใจ หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยินเสียงนั้น
“ขอบคุณค่ะ” โปรยยิ้มพราวเสน่ห์ให้อีกครั้ง ผละตัวออกห่างปิดประตูรถให้หญิงสาวและเดินอ้อมมายังฝั่งคนขับ
บุณณดารีบยกมือขึ้นมาจับใบหน้าตัวเองไว้ ความร้อนแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ดั่งยืนกลางแดดมานาน รีบเอามือลงเมื่อชายหนุ่มเปิดประตูรถเข้ามานั่ง และขับรถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนเส้นหลัก
การสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นไปตลอดทาง ดูเหมือนทั้งคู่จะคุยกันถูกคอเสียด้วยซ้ำ เพราะต่างผลัดเปลี่ยนหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยจนถึงร้านอาหาร
“เชิญครับคุณผู้หญิง” คนถูกเรียกว่าคุณผู้หญิงยิ้มหวานรีบลงจากรถ ซึ่งชายหนุ่มก็คอยปิดประตูรถให้เช่นเคย
“ขอบคุณนะคะ”
“ยินดีครับ ผมว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า” บุณณดาพยักหน้ารับ ชายหนุ่มจึงโอบเอวคอดหญิงสาวไม่ได้ขัดขืนสัมผัสอ่อนโยนและการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของที่ชายหนุ่มแสดงออกมา เดินเคียงข้างชายหนุ่มเข้าไปในร้านอาหาร
ตรงขึ้นไปยังชั้นสองที่จองไว้ พาหญิงสาวเข้ามาในห้องกระจกขาวขุ่น ที่คนด้านนอกไม่สามารถมองเข้ามาเห็นด้านใน แต่ผนังด้านข้างกลับเป็นกระจกใสที่มองวิวทิวทัศน์ด้านนอกสบายตา เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ความเป็นสุภาพบุรุษยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะชายหนุ่มดึงเก้าอี้ให้บุณณดานั่ง จากนั้นจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“คุณดูแลผู้หญิงทุกคนดีแบบนี้เลยเหรอคะ” อดไม่ได้จริงๆ ที่จะถามแบบนี้ออกไป การดูแลเอาใจใส่ของเขาทำให้เธอยิ่งหวั่นไหวและเทใจไปให้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ไม่ทุกคนนะครับ ทำให้เฉพาะคนที่อยากทำเท่านั้น แต่ผมทำให้ต้องมากกว่าคนอื่น”
หยอดออกไปหนึ่งกรุบ ยิ่งเห็นพวงแก้มเนียนซับสีเรื่อยิ่งอยากเห็นแก้มนั้นแดงขึ้นเรื่อยๆ
“แสดงว่ามีสาวๆ เยอะใช่ไหมคะเนี่ย” ถามหยั่งเชิงทีเล่นทีจริง
“ไม่เอาสิครับ อยู่กันสองคนไม่พูดถึงคนอื่นดีกว่า อยากให้มีแค่เรา แค่เรื่องของเรา ผมอยากทำให้ต้องมีความสุข นะครับ” เอ่ยอ้อนมาขนาดนี้มีหรือที่บุณณดาจะไม่ใจอ่อน
รู้ว่านั่นคือคำพูดหวานหูของคนเจ้าชู้ แต่ขออินกับมันก่อนเถอะนะ เพราะทำให้เธอยิ้มจนปวดแก้ม อายจนไม่รู้จะอายยังไงหัวใจก็อิ่มเอมมีความสุข
“ค่ะ แล้วนี่คุณสั่งเตรียมไว้เลยเหรอคะ” เมื่อเข้ามาบุณณดาก็เห็นว่ามีอาหารเตรียมรอไว้มากมาย ทุกอย่างเหมือนมีการสั่งงานไว้ล่วงหน้า
“ครับ ผมไม่อยากให้ต้องรอนาน มาถึงจะได้ทานเลย ผมไม่รู้ว่าต้องชอบทานหรือไม่ชอบอะไร ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ถามก่อน”
ชอบทานคุณนั่นแหละค่ะ อยากจะเอ่ยออกไป แต่ติดตรงที่รักษาภาพลักษณ์เอาไว้
“ฉันทานอะไรก็ได้ค่ะ ไม่ได้เรื่องมาก”
“น่ารัก” คนถูกชมตาโต พยายามจะไม่ยิ้มออกมา แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มให้เธอก็ฝืนรอยยิ้มเขินอายเอาไว้ไม่ได้
“ปากหวาน”
“ต้องก็รู้นี่ครับ ว่าปากผมหวานหรือเปล่า” นัยน์ตาหวานซึ้งมองสบสายตาของหญิงสาวอย่างมีความหมาย
“คุณกรณ์! ทานข้าวเลยค่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” ก่อนที่เธอจะสลาย ก่อนที่จะนั่งจิกเล็บลงที่ขาตัวเองเพื่อกลั้นความอายมากไปกว่านี้ บุณณดาจึงรีบก้มหน้าก้มตาทานอาหาร แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองคนที่เอาแต่นั่งจ้องเธอเป็นระยะ ยิ่งทำให้อายมากขึ้นกว่าเดิมจนทานอาหารแทบไม่ได้
“กินข้าวเสร็จแล้ว ต้องไปไหนต่อไหม อยากไปช็อปปิ้งหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาไป ได้ข่าวว่ามีกระเป๋าคอลเลคชั่นใหม่เพิ่งออก”
ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด พอเอ่ยถึงกระเป๋าหรือเรื่องช็อปปิ้งขึ้นมา ก็พาลยิ้มหวานรีบตอบรับ
“ไม่ค่ะ กินอิ่มทีไรหนังตาหนักทุกที ให้ไปเดินต่อคงไม่ไหว”
อ้าว! ทำไมคนนี้กลับไม่ใช่วะ
“ถ้าอย่างนั้นไปร้านผมก่อนได้ไหม พอดีผมต้องเข้าไปเคลียร์งานด่วน ลูกน้องส่งไลน์มาบอก เสร็จแล้วเดี๋ยวผมไปส่ง”
“ได้ค่ะ” คำตอบที่ได้รับเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี และหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ทานอาหารกันต่อ โดยที่ชายหนุ่มก็ทำหน้าที่ตักนั่นตักนี่คอยบริการบุณณดาอยู่ตลอดเวลา