สิบนาทีไม่ขาดไม่เกินหลังจากที่วางสายแล้วได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียน พรนัชชาจำได้ทันทีว่าหนึ่งในเสียงพูดนั่นเป็นเสียงของพี่พร้อมพี่ชายญาติผู้พี่ของเธอ ส่วนอีกเสียงก็คือเสียงของผู้ชายตัวสูงคนที่บอกให้เธอเข้ามานั่งรอในห้อง
“กูนึกว่ามึงกลับไปแล้ว?” พีระวัสถามเพื่อนสนิทที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินหน้าห้อง
“ทำไม?” คนถูกถามถามกลับเสียงเรียบ
“ก็ไม่ทำไมแต่มึงบอกจะแวะไปดูหมวกกันน็อคไง กูก็เลยคิดว่ามึงกลับไปแล้ว หรือว่าเปลี่ยนใจไม่ไปดูหมวกกันน็อคแล้ว?”
“อือ ไอ้ตี๋ทักมาบอกว่าร้านปิด”
“อ้าว เหรอ”
พีระวัสพยักหน้าขึ้นลง เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนยังไม่กลับ ส่วนไอ้ตี๋ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือเพื่อนสนิทของมันที่เรียนอยู่อีกโรงเรียน เขาเองก็รู้จัก เคยเล่นบาสด้วยกันอยู่หลายครั้ง
“น้องกูล่ะ” พีระวัสถามต่อ
พรนัชชาได้ยินพี่ชายถามถึงตัวเองก็ขยับตัวลุกจากเก้าอี้ทันที ตั้งใจจะเดินออกไปหาพี่ชายที่หน้าห้องแต่ทว่ายังไม่ทันก้าวขาออกจากโต๊ะคนที่คุยกันอยู่หน้าห้องก็เดินผ่านประตูเข้ามาซะก่อน
“รอพี่นานเลยดิ?”
“ไม่นานค่ะ แค่หนึ่งชั่วโมงกับอีกยี่สิบห้านาที ยังไม่ถึงสองชั่วโมง”
“ฮ่าๆ นั่งรอก่อน พี่ขอเก็บของแป๊บเดียว”
พรนัชชาไม่ได้นั่งลงตามที่พีระวัสบอกแต่เลือกที่จะขยับตัวไปยืนด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ทั้งสองคนเข้ามาเก็บของที่โต๊ะได้สะดวก โต๊ะเรียนฝั่งซ้ายคือโต๊ะเรียนของพี่พร้อมส่วนโต๊ะเรียนฝั่งขวาที่เธอนั่งครั้งแรกเป็นโต๊ะของคนที่บอกให้เธอเข้ามานั่งในห้อง นั่นก็หมายความว่าคนตัวสูงตรงหน้าเธอชื่อคลื่นอย่างที่พี่พร้อมบอก
พรนัชชาเหลือบตามองสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่ใต้โต๊ะเรียนที่เธอบังเอิญไปเจอความลับบางอย่างเข้าเมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ที่เดิมไม่ถูกหยิบออกมาก็รีบดึงสายตากลับโดยเร็ว
พีระวัสเก็บของใส่กระเป๋าเสร็จก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน ดวงตาสีสนิมมองใบหน้าหล่อเหลาของเพื่อนที สลับมองใบหน้าสวยหวานของน้องสาวที
“ยังไม่รู้จักกันใช่ไหม?” ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้จักชื่อแซ่กันบ้างแล้ว แต่เพราะเป็นไอ้คลื่นเพื่อนสนิทที่รู้นิสัยกันดีพีระวัสถึงได้มั่นใจว่าทั้งสองคนยังไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อ
“ยังค่ะ” พรนัชชาส่ายหน้ารัว มองสบตาคมสีนิลของคนตัวสูงที่พี่ชายกำลังจะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการด้วยดวงตาใสแป๋ว แตกต่างกันสุดขั้วกับคนที่เธอยิ้มให้ นอกจากเขาจะไม่ยิ้มตอบเธอแล้วยังมองเธอด้วยสายตานิ่ง
ซึ่งปฏิกิริยาของทั้งสองที่แตกต่างกันนั้นทำให้พีระวัสถึงกับยิ้มขำออกมาทันที คนหนึ่งก็ร่าเริงสดใสเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยเจอเรื่องเศร้าทั้งที่ความจริงแล้วชีวิตของพรนัชชาโคตรน่าสงสาร ส่วนอีกคนชีวิตโคตรดีเกิดมามีพร้อมทุกอย่างทั้งเงินทองความรักความเอาใจใส่จากทุกคนในครอบครัวแต่ชอบทำตัวเย็นชาเหมือนคนไม่มีหัวใจ ก็ไม่แปลกที่คนภายนอกจะคิดว่ามันหยิ่ง
“ไอ้คลื่นเพื่อนสนิทพี่ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มอต้น ส่วนนี่ไอ้แพมลูกสาวอากูที่เคยเล่าให้มึงฟังเพิ่งย้ายมาจากเชียงใหม่”
“สวัสดีค่ะพี่คลื่น ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” หลังจบคำพูดของพี่ชายพรนัชชาก็รีบยกมือขึ้นไหว้ทักทายคนตัวสูงที่มีอายุมากกว่าทันที เธอส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างผูกมิตร เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายเธอก็คงได้เจอกันอีกเรื่อยๆ เธอเองก็อยากจะให้เขาเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวคนหนึ่ง เธอถือคติมีคนรักเพิ่มขึ้นดีกว่ามีคนเกลียดเพิ่มขึ้น
“อือ”
“ไอ้ห่าคลื่นกับน้องสาวกูมึงไม่ต้องเย็นชาขนาดนั้นก็ได้ปะ น้องกูยิ่งขี้น้อยใจง่ายอยู่ด้วย”
คำพูดของพีระวัสเรียกสายตาคฑากรให้หันไปมองคนที่ถูกพี่ชายกล่าวหาว่าขี้น้อยใจ มองสบตากลมโตอยู่นานจนคนถูกมองเบือนหน้าหลบจึงได้หันกลับมามองเพื่อนตัวเองอีกครั้ง
“ไปเลยไหม”
“อืม ไปดิ” พยักหน้าให้เพื่อนเสร็จก็หันไปพยักหน้าเรียกพรนัชชาต่อ “ปะไอ้แพมกลับบ้าน”
พรนัชชาที่ได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินตามหลังทั้งสองออกจากห้องเรียนทันที เธอเลือกที่จะเดินรั้งท้ายปล่อยให้สองหนุ่มเดินนำหน้า ซึ่งก็จริงตามที่เธอคาดเดา พี่คลื่นสูงกว่าพี่พร้อม ดูๆแล้วก็น่าจะหลายเซนต์อยู่เหมือนกัน
มิน่าล่ะตอนที่คุยกับเขาเธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเตี้ยนัก แถมเวลาคุยก็ต้องเงยหน้าคอตั้งฉากตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นสายตาเธอจะอยู่แค่ระดับอกของเขาพอดี