พิมพ์อัปสรใช้เวลาเดินทางประมาณยี่สิบนาทีก็ไปถึงร้านจันทร์ชมเดือน ร้านเหล้าแบบเปิดสไตล์นั่งชิลมีดนตรีสดให้ฟังทุกวัน ดูแล้ววันนี้น่าจะไม่ชิลเพราะจำนวนลูกค้าที่เต็มจนแน่นร้าน กวาดสายตามองหาโต๊ะของเพื่อนอยู่สามรอบจึงเห็นว่าเพื่อนทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะขวามือที่อยู่ด้านในสุด
“พริ้มทางนี้”
กาญจน์สิเนห์ที่หันมาเห็นยกมือขึ้นโบกสะบัดไปมา กลัวว่าพิมพ์อัปสรจะไม่เห็น เมื่อคนเพิ่งมาเดินไปถึงก็กอดหมับเข้าที่เอวคอด ซุกหน้าออดอ้อนเรียนแบบเจ้าแมวตัวอ้วนที่เลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน
“กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องมา ยังไงมึงก็ไม่ทิ้งพวกกู โคตรรักมึงเลยอะ”
“รักกูเพราะกลัวจะไม่มีเพื่อนกินเหล้า?” คนถูกบอกรักมองค้อน ก่อนจะเดินข้ามฝั่งไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม
“มึงอะ...”
“เอาไรเพิ่มปะ?” จินดาหราถาม ส่งเมนูให้พิมพ์อัปสรเลือก
“ยังไม่สั่ง?”
“สั่งแล้ว เผื่อมึงอยากได้อะไรเพิ่ม”
“พวกมึงสั่งอะไรไปบ้าง”
“ก็สั่งเหมือนเดิม แต่ลดลงจากเดิมอย่างละครึ่ง” จินดาหราตอบ
ที่ลดเพราะสมาชิกมาไม่ครบทีม ขาดไปหนึ่งคน ซึ่งคนที่ขาดก็ดื่มหนักกว่าพวกเธอสามคนรวมกัน
“งั้นก็พอก่อน วันนี้กูไม่อยากดื่มเยอะ กลัวเมา พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านไปหาย่า” นอกจากเป็นเมนส์ เหตุผลสำคัญที่ไม่อยากดื่มมากคือเธอต้องกลับบ้านไปหาคุณย่าบุษบาสุดสวย คนที่เลี้ยงดูอุ้มชูเธอมาตั้งแต่แบเบาะ จะให้ท่านรู้ไม่ได้ว่าอยู่นอกบ้านหลานสาวคนดีย์สุดที่รักของท่านทำตัวเป็นลำยองกอดไหยาดอง
เพราะท่านจะมองเธอตาขวางพร้อมกับบ่นว่า ‘เป็นผู้หญิงยิงเรือกินเหล้ากินเบียร์มันไม่งาม’
“ไปห้องน้ำนะ”
“ให้ไปเป็นเพื่อนปะ?” เป็นลูกสาวร้านทองที่เงยหน้าขึ้นถามพิมพ์อัปสรที่ลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้อง แค่อยากล้างมือ ฝากกระเป๋าด้วย” พูดจบก็เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังร้าน พิมพ์อัปสรใช้เวลาในห้องน้ำไม่นาน แต่ระหว่างทางที่กำลังจะกลับโต๊ะก็มีเหตุให้หยุดเดิน
“สวัสดีครับ”
“ค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เพื่อนพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะโน้นมันชอบน้อง อยากขอเบอร์น้อง ถ้าน้องไม่สะดวกให้เบอร์เป็นไอดีไลน์ก็ได้” ผู้ชายที่เดินมาขวางทางเธอบอก ชี้มือไปยังโต๊ะด้านหน้าที่อยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มของเธอ
โต๊ะนั้นมีผู้ชายสามคน ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือใคร
“ไม่สะดวกทั้งสองค่ะ...มีแฟนแล้ว”
“แต่พี่เห็นน้องมากับเพื่อนผู้หญิงแค่สองคน?”
“วันนี้แฟนติดธุระค่ะ ไม่ได้มาด้วย”
“โกหกป่าว?”
พิมพ์อัปสรเกือบจะเบ้ปากกลอกตามองบน ดีที่ยั้งตัวเองได้ก่อน “จะคุยมั้ยคะ? จะต่อสายให้ ตอนนี้ผัวหนูคงยังไม่นอน”
ผู้ชายตรงหน้าทำหน้าเหมือนกินของแสลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัว’ ก่อนพูดเสียงเบาลงกว่าเดิม
“ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไรครับ พี่เองก็ไม่ใช่คนที่อยากจะทำลายครอบครัวคนอื่น ขอโทษน้องด้วยแล้วกัน”
อ้าว...สรุปเป็นตัวเองสินะที่อยากได้เบอร์โทร.เธอ
อยากจะคุยกับผู้หญิงแต่ยังอ้างเพื่อน? ก็ยังดีที่รู้จักขอโทษไม่ดันทุรังที่จะคุยต่อ
เห้อ!...
พิมพ์อัปสรถอนหายใจแรงอย่างเบื่อหน่าย เคยคิดจะให้เบอร์โทรศัพท์มั่วไปเหมือนกัน สุดท้ายก็ล้มเลิกทำไม่ลง กลัวจะเป็นการผลักภาระไปให้เจ้าของเบอร์โทร.ตัวจริง ถ้าบังเอิญว่าเบอร์ที่เธอให้มั่วไปมีคนใช้งานจริง เจ้าของเบอร์ก็คงหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมาค่อยรับสาย ตอบคำถามในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ครืดๆ
“ค่าพี่เกล...แป๊บนะคะ ไม่ค่อยได้ยินเลย” จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเดินกลับโต๊ะ ก็ต้องเปลี่ยนทิศทางออกไปนอกร้านแทน เธอต้องการสถานที่คุยโทรศัพท์เกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังรุ่งของเธอกับปลายสาย
เป็นธุรกิจขายสกินแคร์และเครื่องสำอางที่นำเข้าจากเกาหลี มีทั้งขายส่งให้กับร้านค้าออนไลน์ และขายปลีกให้กับกลุ่มลูกค้าประจำ
ถ้าพูดถึงธุรกิจนี้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย อยากมีรายได้เสริมก็เลยลองสั่งพวกสกินแคร์ที่ตัวเองใช้มาขาย ตอนแรกก็มีลูกค้าไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน พอนานไปก็มีลูกค้ามากขึ้น จากหลักสิบก็เป็นหลักร้อยหลักพัน กระทั่งตอนนี้เธอมียอดผู้ติดตามทั้งในเฟซบุ๊กไอจีและติ๊กต๊อกหลักหมื่น
หนึ่งสัปดาห์เธอจะไลฟ์ขายของอยู่สามวัน คือวันอังคาร วันพฤหัสฯ และวันเสาร์
ส่วนการส่งของ เธอส่งทุกวัน เว้นแต่วันนั้นยุ่งจริงๆ ก็จะรวบยอดไปอีกวันและจะแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนเสมอ
จุดเปลี่ยนจากการเป็นแม่ค้าปลีกมาเป็นแม่ค้าขายส่ง มาจากเธอได้รับข้อความจากรุ่นพี่ที่รู้จักซึ่งเคยเป็นลูกค้าของเธอ ปัจจุบันแต่งงานกับสามีชาวเกาหลีและย้ายตามสามีไปอยู่ที่โน้น
ทักมาหาเธอในเช้าวันหนึ่ง...
Katsarin : พริ้มสนใจทำธุรกิจกับพี่มั้ย?
PRIM Pimapsorn : หือ? ทำธุรกิจ?
PRIM Pimapsorn : ทำธุรกิจอะไรคะ?
Katsarin : ก็ขายพวกสกินแคร์เครื่องสำอางที่พริ้มขายนั่นแหละ แค่เปลี่ยนจากขายปลีกมาเป็นขายส่ง พี่เป็นคนหาสินค้าส่วนพริ้มเป็นคนขาย
PRIM Pimapsorn : พริ้มไม่มีทุนหรอกพี่เกล ที่สั่งมาขายแต่ละครั้งก็สั่งมาไม่เยอะ กำไรไม่กี่บาท
เพราะมีทุนไม่มากก็เลยอาศัยสั่งบ่อย แน่นอนว่ากำไรมันไม่ได้เยอะเหมือนการสั่งล็อคใหญ่ๆ ยิ่งไม่ต้องผ่านร้านค้าตัวกลางหักต้นทุนก็คือกำไรล้วนๆ
ข้อเสนอของเกศรินทำให้เธอคิดหนัก
อยากทำ...แต่ติดปัญหาเรื่องเงินทุน
Katsarin : แต่พี่มี ขายหมดพริ้มก็ค่อยหักทุนคืนพี่ กำไรเราก็มาแบ่งกัน
PRIM Pimapsorn : แบบนั้นพริ้มก็เอาเปรียบพี่เกลสิ
Katsarin : เอาเปรียบยังไง พี่แค่หาของ ออกจากบ้านไม่ถึงสามชั่วโมงก็มีของให้พริ้มขายแล้ว พริ้มสิทั้งหาลูกค้าทั้งส่งของงานหนักกว่าพี่อีก อีกอย่างอยู่ที่นี่พี่ก็ว่างไม่ได้ทำอะไร ถ้าได้ทำธุรกิจกับพริ้มพี่ก็คงไม่เหงา
PRIM Pimapsorn : พี่เกลพูดจริงใช่มั้ยคะ?
PRIM Pimapsorn : แน่ใจใช่มั้ยว่าอยากจะทำจริงๆ
Katsarin : พี่พูดจริงๆ
Katsarin : ถ้าพริ้มโอเคเราก็เริ่มกันได้เลย
Katsarin : ก็อย่างที่พี่บอกว่าอยู่ที่นี่พี่ว่าง ถ้าได้ทำธุรกิจกับพริ้มพี่ก็คงไม่เหงา
PRIM Pimapsorn : ขอพริ้มคิดดูก่อนได้มั้ยคะ
Katsarin : ได้สิ พริ้มตัดสินใจยังไงก็บอกพี่
พิมพ์อัปสรใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน ก่อนตัดสินใจเข้าไปคุยกับคุณย่า ขอยืมเงินท่านมาเป็นทุน...
และการลงทุนก้อนโตในครั้งนั้นก็ไม่สูญเปล่า ธุรกิจของเธอไปได้ดี ทำให้เธอมีเงินเก็บสามารถซื้อของต่างๆ รวมทั้งจ่ายค่าเช่าคอนโดได้โดยไม่เดือดร้อนเงินรายเดือนที่ได้จากทางบ้าน
ถามว่าทำไมไม่ซื้อคอนโดเป็นของตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากได้ แต่คิดดูแล้วก็ยังไม่มีความจำเป็น เธอเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปี เรียนจบก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ทำงานที่ไหน เกิดงานที่ได้อยู่ไกลจากคอนโดที่ซื้อ หรืออยู่ต่างจังหวัดก็ต้องเสียเงินสำหรับที่อยู่ใหม่เพิ่ม ต่อให้ประกาศขายคอนโดเก่าเพื่อซื้อคอนโดใหม่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะหาคนซื้อได้ หรือบางทีอาจจะขายไม่ได้...
เอาไว้ให้เธอมีรายได้มากกว่านี้ถึงตอนนั้นค่อยซื้อคอนโดเป็นของตัวเองก็ยังไม่สาย