ตอนที่ 4 ไม่สะดวกค่ะ...มีแฟนแล้ว

1385 คำ
พิมพ์อัปสรใช้เวลาเดินทางประมาณยี่สิบนาทีก็ไปถึงร้านจันทร์ชมเดือน ร้านเหล้าแบบเปิดสไตล์นั่งชิลมีดนตรีสดให้ฟังทุกวัน ดูแล้ววันนี้น่าจะไม่ชิลเพราะจำนวนลูกค้าที่เต็มจนแน่นร้าน กวาดสายตามองหาโต๊ะของเพื่อนอยู่สามรอบจึงเห็นว่าเพื่อนทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะขวามือที่อยู่ด้านในสุด “พริ้มทางนี้” กาญจน์สิเนห์ที่หันมาเห็นยกมือขึ้นโบกสะบัดไปมา กลัวว่าพิมพ์อัปสรจะไม่เห็น เมื่อคนเพิ่งมาเดินไปถึงก็กอดหมับเข้าที่เอวคอด ซุกหน้าออดอ้อนเรียนแบบเจ้าแมวตัวอ้วนที่เลี้ยงเอาไว้ที่บ้าน “กูรู้อยู่แล้วว่ามึงต้องมา ยังไงมึงก็ไม่ทิ้งพวกกู โคตรรักมึงเลยอะ” “รักกูเพราะกลัวจะไม่มีเพื่อนกินเหล้า?” คนถูกบอกรักมองค้อน ก่อนจะเดินข้ามฝั่งไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม “มึงอะ...” “เอาไรเพิ่มปะ?” จินดาหราถาม ส่งเมนูให้พิมพ์อัปสรเลือก “ยังไม่สั่ง?” “สั่งแล้ว เผื่อมึงอยากได้อะไรเพิ่ม” “พวกมึงสั่งอะไรไปบ้าง” “ก็สั่งเหมือนเดิม แต่ลดลงจากเดิมอย่างละครึ่ง” จินดาหราตอบ ที่ลดเพราะสมาชิกมาไม่ครบทีม ขาดไปหนึ่งคน ซึ่งคนที่ขาดก็ดื่มหนักกว่าพวกเธอสามคนรวมกัน “งั้นก็พอก่อน วันนี้กูไม่อยากดื่มเยอะ กลัวเมา พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านไปหาย่า” นอกจากเป็นเมนส์ เหตุผลสำคัญที่ไม่อยากดื่มมากคือเธอต้องกลับบ้านไปหาคุณย่าบุษบาสุดสวย คนที่เลี้ยงดูอุ้มชูเธอมาตั้งแต่แบเบาะ จะให้ท่านรู้ไม่ได้ว่าอยู่นอกบ้านหลานสาวคนดีย์สุดที่รักของท่านทำตัวเป็นลำยองกอดไหยาดอง เพราะท่านจะมองเธอตาขวางพร้อมกับบ่นว่า ‘เป็นผู้หญิงยิงเรือกินเหล้ากินเบียร์มันไม่งาม’ “ไปห้องน้ำนะ” “ให้ไปเป็นเพื่อนปะ?” เป็นลูกสาวร้านทองที่เงยหน้าขึ้นถามพิมพ์อัปสรที่ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้อง แค่อยากล้างมือ ฝากกระเป๋าด้วย” พูดจบก็เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่หลังร้าน พิมพ์อัปสรใช้เวลาในห้องน้ำไม่นาน แต่ระหว่างทางที่กำลังจะกลับโต๊ะก็มีเหตุให้หยุดเดิน “สวัสดีครับ” “ค่ะ...มีอะไรหรือเปล่าคะ?” “เพื่อนพี่ที่นั่งอยู่โต๊ะโน้นมันชอบน้อง อยากขอเบอร์น้อง ถ้าน้องไม่สะดวกให้เบอร์เป็นไอดีไลน์ก็ได้” ผู้ชายที่เดินมาขวางทางเธอบอก ชี้มือไปยังโต๊ะด้านหน้าที่อยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มของเธอ โต๊ะนั้นมีผู้ชายสามคน ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือใคร “ไม่สะดวกทั้งสองค่ะ...มีแฟนแล้ว” “แต่พี่เห็นน้องมากับเพื่อนผู้หญิงแค่สองคน?” “วันนี้แฟนติดธุระค่ะ ไม่ได้มาด้วย” “โกหกป่าว?” พิมพ์อัปสรเกือบจะเบ้ปากกลอกตามองบน ดีที่ยั้งตัวเองได้ก่อน “จะคุยมั้ยคะ? จะต่อสายให้ ตอนนี้ผัวหนูคงยังไม่นอน” ผู้ชายตรงหน้าทำหน้าเหมือนกินของแสลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัว’ ก่อนพูดเสียงเบาลงกว่าเดิม “ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไรครับ พี่เองก็ไม่ใช่คนที่อยากจะทำลายครอบครัวคนอื่น ขอโทษน้องด้วยแล้วกัน” อ้าว...สรุปเป็นตัวเองสินะที่อยากได้เบอร์โทร.เธอ อยากจะคุยกับผู้หญิงแต่ยังอ้างเพื่อน? ก็ยังดีที่รู้จักขอโทษไม่ดันทุรังที่จะคุยต่อ เห้อ!... พิมพ์อัปสรถอนหายใจแรงอย่างเบื่อหน่าย เคยคิดจะให้เบอร์โทรศัพท์มั่วไปเหมือนกัน สุดท้ายก็ล้มเลิกทำไม่ลง กลัวจะเป็นการผลักภาระไปให้เจ้าของเบอร์โทร.ตัวจริง ถ้าบังเอิญว่าเบอร์ที่เธอให้มั่วไปมีคนใช้งานจริง เจ้าของเบอร์ก็คงหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมาค่อยรับสาย ตอบคำถามในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ครืดๆ “ค่าพี่เกล...แป๊บนะคะ ไม่ค่อยได้ยินเลย” จากตอนแรกที่ตั้งใจจะเดินกลับโต๊ะ ก็ต้องเปลี่ยนทิศทางออกไปนอกร้านแทน เธอต้องการสถานที่คุยโทรศัพท์เกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังรุ่งของเธอกับปลายสาย เป็นธุรกิจขายสกินแคร์และเครื่องสำอางที่นำเข้าจากเกาหลี มีทั้งขายส่งให้กับร้านค้าออนไลน์ และขายปลีกให้กับกลุ่มลูกค้าประจำ ถ้าพูดถึงธุรกิจนี้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเธอยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย อยากมีรายได้เสริมก็เลยลองสั่งพวกสกินแคร์ที่ตัวเองใช้มาขาย ตอนแรกก็มีลูกค้าไม่กี่คน ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน พอนานไปก็มีลูกค้ามากขึ้น จากหลักสิบก็เป็นหลักร้อยหลักพัน กระทั่งตอนนี้เธอมียอดผู้ติดตามทั้งในเฟซบุ๊กไอจีและติ๊กต๊อกหลักหมื่น หนึ่งสัปดาห์เธอจะไลฟ์ขายของอยู่สามวัน คือวันอังคาร วันพฤหัสฯ และวันเสาร์ ส่วนการส่งของ เธอส่งทุกวัน เว้นแต่วันนั้นยุ่งจริงๆ ก็จะรวบยอดไปอีกวันและจะแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนเสมอ จุดเปลี่ยนจากการเป็นแม่ค้าปลีกมาเป็นแม่ค้าขายส่ง มาจากเธอได้รับข้อความจากรุ่นพี่ที่รู้จักซึ่งเคยเป็นลูกค้าของเธอ ปัจจุบันแต่งงานกับสามีชาวเกาหลีและย้ายตามสามีไปอยู่ที่โน้น ทักมาหาเธอในเช้าวันหนึ่ง... Katsarin : พริ้มสนใจทำธุรกิจกับพี่มั้ย? PRIM Pimapsorn : หือ? ทำธุรกิจ? PRIM Pimapsorn : ทำธุรกิจอะไรคะ? Katsarin : ก็ขายพวกสกินแคร์เครื่องสำอางที่พริ้มขายนั่นแหละ แค่เปลี่ยนจากขายปลีกมาเป็นขายส่ง พี่เป็นคนหาสินค้าส่วนพริ้มเป็นคนขาย PRIM Pimapsorn : พริ้มไม่มีทุนหรอกพี่เกล ที่สั่งมาขายแต่ละครั้งก็สั่งมาไม่เยอะ กำไรไม่กี่บาท เพราะมีทุนไม่มากก็เลยอาศัยสั่งบ่อย แน่นอนว่ากำไรมันไม่ได้เยอะเหมือนการสั่งล็อคใหญ่ๆ ยิ่งไม่ต้องผ่านร้านค้าตัวกลางหักต้นทุนก็คือกำไรล้วนๆ ข้อเสนอของเกศรินทำให้เธอคิดหนัก อยากทำ...แต่ติดปัญหาเรื่องเงินทุน Katsarin : แต่พี่มี ขายหมดพริ้มก็ค่อยหักทุนคืนพี่ กำไรเราก็มาแบ่งกัน PRIM Pimapsorn : แบบนั้นพริ้มก็เอาเปรียบพี่เกลสิ Katsarin : เอาเปรียบยังไง พี่แค่หาของ ออกจากบ้านไม่ถึงสามชั่วโมงก็มีของให้พริ้มขายแล้ว พริ้มสิทั้งหาลูกค้าทั้งส่งของงานหนักกว่าพี่อีก อีกอย่างอยู่ที่นี่พี่ก็ว่างไม่ได้ทำอะไร ถ้าได้ทำธุรกิจกับพริ้มพี่ก็คงไม่เหงา PRIM Pimapsorn : พี่เกลพูดจริงใช่มั้ยคะ? PRIM Pimapsorn : แน่ใจใช่มั้ยว่าอยากจะทำจริงๆ Katsarin : พี่พูดจริงๆ Katsarin : ถ้าพริ้มโอเคเราก็เริ่มกันได้เลย Katsarin : ก็อย่างที่พี่บอกว่าอยู่ที่นี่พี่ว่าง ถ้าได้ทำธุรกิจกับพริ้มพี่ก็คงไม่เหงา PRIM Pimapsorn : ขอพริ้มคิดดูก่อนได้มั้ยคะ Katsarin : ได้สิ พริ้มตัดสินใจยังไงก็บอกพี่ พิมพ์อัปสรใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน ก่อนตัดสินใจเข้าไปคุยกับคุณย่า ขอยืมเงินท่านมาเป็นทุน... และการลงทุนก้อนโตในครั้งนั้นก็ไม่สูญเปล่า ธุรกิจของเธอไปได้ดี ทำให้เธอมีเงินเก็บสามารถซื้อของต่างๆ รวมทั้งจ่ายค่าเช่าคอนโดได้โดยไม่เดือดร้อนเงินรายเดือนที่ได้จากทางบ้าน ถามว่าทำไมไม่ซื้อคอนโดเป็นของตัวเอง ใจหนึ่งก็อยากได้ แต่คิดดูแล้วก็ยังไม่มีความจำเป็น เธอเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปี เรียนจบก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ทำงานที่ไหน เกิดงานที่ได้อยู่ไกลจากคอนโดที่ซื้อ หรืออยู่ต่างจังหวัดก็ต้องเสียเงินสำหรับที่อยู่ใหม่เพิ่ม ต่อให้ประกาศขายคอนโดเก่าเพื่อซื้อคอนโดใหม่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะหาคนซื้อได้ หรือบางทีอาจจะขายไม่ได้... เอาไว้ให้เธอมีรายได้มากกว่านี้ถึงตอนนั้นค่อยซื้อคอนโดเป็นของตัวเองก็ยังไม่สาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม