บทที่ 12

2589 คำ
เป็นประจำทุกเช้าที่เนตรทรายต้องตื่นเช้า เพื่อมาทำอาหารเช้ารอคิมหันต์ จัดเตรียมเสื้อผ้าทั้งของเธอและของเขา ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อย ถึงจะมาปลุกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงให้ตื่น “พี่คิมคะ ตื่นได้แล้วค่ะ” จับไปที่แขนออกแรงเขย่าเบาๆ เป็นเชิงปลุก คนที่นอนนิ่งเริ่มขยับตัวไปมาก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “ลุกไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ เดี๋ยวไปทำงานสายเนตรไม่รู้ด้วยนะ” พูดเตือนอีกครั้งเมื่อคนที่นั่งสะลึมสะลือบนเตียงไม่ยอมลุกสักที “ครับๆ รู้แล้วครับ” พูดจบก็ลุกเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เนตรทรายจึงหันมาสนใจผ้าห่มที่วางม้วนอยู่บนเตียงแทน จัดการพับเก็บให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเดินออกไปตั้งโต๊ะอาหารรอคิมหันต์ ส่วนคนที่เข้าไปอาบน้ำ พอจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาใส่เสื้อกับกางเกงที่เนตรทรายเตรียมเอาไว้ให้ ยอมรับเลยว่าเนตรทรายเป็นคนที่รสนิยมดีเยี่ยม จับเสื้อผ้าของเขาเข้าชุดกันได้ดีทีเดียว ร่างสูงนั่งลงที่ปลายเตียง หยิบเนกไทที่วางอยู่ขึ้นมาผูก แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อมีมือบางดึงเนกไทที่ถืออยู่ในมือออกไป “เนตรผูกให้นะคะ” ว่าแล้วก็จัดการผูกเนกไทให้คิมหันต์อย่างคล่องแคล่ว จนชายหนุ่มอดจะแปลกใจไม่ได้ พลางคิดว่าเนตรทรายอาจจะเคยผูกเนกไทให้แฟนบ่อยๆ พอคิดได้แบบนี้ก็พลันอารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ “ทำไมผูกคล่องจัง เคยทำให้แฟนหรือไง” มือบางชะงักลงทันที มองคนตรงหน้านิ่งรู้สึกน้อยใจคนตรงหน้าขึ้นมานิดๆ นี่เขาไม่เคยสนใจและใส่ใจเธอเลยจริงๆ ใช่มั้ย ถึงไม่รู้ว่าเธอมีหรือไม่มีแฟน “ไม่เคยมีแฟนค่ะ... และที่ทำคล่อง เพราะตอนอยู่ที่ต่างประเทศเนตรใช้บ่อยก็เลยผูกเป็นค่ะ” ได้ยินแบบนี้อารมณ์ที่ขุ่นมัวในตอนแรกก็หายเป็นปลิดทิ้งเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว "อย่างนั้นหรอกเหรอ ก็ไม่รู้ นึกว่าผูกให้แฟนบ่อย" หวังจะพูดแหย่แต่พอเห็นหน้านิ่งๆ ของคนตรงหน้าก็เริ่มใจไม่ได้ นี่เราพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าวะ “ก็ไม่เคยสนใจแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ... เสร็จแล้วค่ะ ไปทานข้าวกันเถอะเดี๋ยวกับข้าวเย็นจะไม่อร่อย” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พร้อมกับจัดการคอเสื้อให้เรียบร้อยเข้าที่ ก่อนจะผละเดินออกมา “เดี๋ยวเนตร” หันกลับมามองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย “คะ?” “ขอบใจนะ” “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าพี่คิมชอบเนตรทำให้พี่คิมไปตลอดชีวิตเลยก็ได้นะคะ แต่ถ้าพี่คิมไม่ชอบเนตรก็คงมีโอกาสทำให้พี่คิมแค่ปีเดียว” พูดจบก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ทิ้งคนตัวสูงไว้กับคำพูดของเนตรทรายเมื่อสักครู่ ก่อนที่จะเดินตามเนตรทรายออกไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ทั้งสองคนใช้เวลาในการทานอาหารเช้าไม่นาน ก็ได้เวลาที่ต้องออกไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง “เดี๋ยวค่ะ ลืมอะไรหรือเปล่าคะ” พูดท้วงออกมา เมื่อเห็นคิมหันต์ทำท่าจะเปิดประตูห้องออกไป คนถูกท้วงหันกลับมามองคนที่ยืนรออยู่ด้านหลัง ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มเนียนทั้งสองข้าง เช่นเดียวกับเนตรทรายที่ก็เขย่งปลายเท้าขึ้นไปหอมแก้มสากทั้งสองข้างเหมือนกัน “พอใจหรือยังเด็กขี้ขอ” พูดออกมายิ้มๆ เมื่อเห็นภรรยาสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ชอบอกชอบใ จที่เขายอมทำตามข้อตกลงที่หญิงสาวตั้งไว้ นั่นก็คือทั้งก่อนนอนและก่อนออกไปทำงาน ต้องหอมแก้มกันทุกวัน โดยให้เหตุผลว่าจะได้นอนหลับฝันดีและมีแรงทำงาน หึ! ฟังดูเหตุผลที่ภรรยาเขาตั้งมาสิมันฟังขึ้นที่ไหน “ก็เนตรชอบนี่น่าหรือพี่คิมไม่ชอบคะ” เอียงคอถามด้วยความสงสัย “อืม” “อืม ก็แปลว่าชอบ ถ้าชอบก็ต้องทำบ่อยๆ นะคะ” “มั่วเหอะ... ไปกันได้แล้วมัวแต่พูดเดี๋ยวก็สาย” พูดพร้อมกับเปิดประตูห้องเป็นการตัดบท ทำเอาเนตรทรายเดินยิ้มตามหลังไปอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่แต่งงานกัน เนตรทรายก็ได้เข้ามาดูแลกิจการร้านเพชรที่เปิดหน้าร้านอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ใจกลางเมืองหลวงแทนผู้จัดการร้านคนเก่า ที่กำลังจะลาออกไปอยู่กับครอบครัวที่ต่างประเทศ โดยมีคิมหันต์ทำหน้าที่ขับรถมารับมาส่งทุกวัน ไม่ใช่ด้วยความเต็มใจแต่อย่างใด แต่เพราะหญิงสาวเป็นคนอ้อนให้เขามาส่งต่างหาก “เจ้านายครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ” นพดลเอ่ยเรียกผู้เป็นนายด้วยความร้อนรน จนคนที่นั่งทำงานเพลินๆ ต้องถามออกมาด้วยสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมลูกน้องของเขาถึงได้ดูตกอกตกใจขนาดนี้ “มีอะไร” คิมหันต์เงยหน้าจากกองเอกสารถามเลขาคนสนิท “เลขาของคุณแมทธิว โทรมาขอยกเลิกสัญญาซื้อขายเครื่องประดับทุกอย่างกับทางบริษัทเราครับ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของนพดล “มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงเข้มเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ระคนสงสัย ว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงทำไมบริษัทคู่ค้าที่ทำธุรกิจด้วยกันมานานนับสิบปีอยู่ดีๆ ถึงจะขอยกเลิกสัญญาการค้ากันแบบนี้ “เลขาของคุณแมทธิวแจ้งว่า สินค้าที่เราส่งไปไม่ตรงสเปคและต่ำกว่ามาตรฐานมากครับ และที่สำคัญ ยังมีของปลอมที่ทำเลียนแบบจนแทบจะแยกไม่ออก ถ้าไม่ใช้เครื่องมือชนิดพิเศษตรวจสอบก็ดูไม่ออก ปนไปกับงานของเราครับ ทำให้คุณแมทธิวไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราส่งงานผิดพลาดแบบนี้ไปให้คุณแมทธิว และครั้งนี้มันหนักเกินไป คุณแมทธิวโกรธมากจนถึงขั้นให้เลขาโทรมายกเลิกสัญญาซื้อขายกับทางเรา” “โธ่โว้ย!! มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงวะ... ดลแกเรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพบฉันที่ห้องประชุมเดี๋ยวนี้” คิมหันต์สบถออกมาอย่างหัวเสีย ใบหน้าคมแดงก่ำอย่างโมโห สองมือหนากำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธ ใครกันนะ ที่มันกล้าทำกับบริษัทของเขาแบบนี้ ใครกันที่มันกล้าเล่นงานเขาโดยการใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้ อย่าให้เขาจับได้นะรับรองเขาไม่ปล่อยให้มันได้ตายดีแน่ การประชุมดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดยาวนานนับชั่วโมง แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อมูลหรือตัวคนผิดได้เลย คิมหันต์กวาดสายตาคม มองผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนอย่างเอาเรื่องและจับพิรุธ ทำเอาผู้เข้าร่วมประชุมแต่ละคนเสียวสันหลังไปตามๆ กัน เมื่อสบกับสายตาคมราวเหยี่ยวคู่นั้น รู้ดีว่าเวลาที่ท่านประธานหนุ่มคนนี้โกรธหรือโมโหนั้น มันน่ากลัวขนาดไหน อานุภาพรังสีอำมหิตมันร้ายแรงเพียงใด “ผมให้เวลาพวกคุณหนึ่งชั่วโมง งานที่ผมสั่งต้องวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม... เชิญทุกคนกลับไปทำงานต่อได้แล้วครับ” สิ้นเสียงทรงอำนาจ ทุกคนต่างก็รีบพากันออกจากห้องประชุมเดือดทันที พร้อมกับเสียงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่วันนี้ทุกคนยังไม่มีใครถูกเชือด “ใจเย็นๆ นะคิม ลุงเชื่อว่าเราจะต้องหาตัวคนผิดมารับโทษได้แน่ๆ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย” กำพลพูดพร้อมกับตบบ่าคิมหันต์เบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจ “ขอบคุณมากนะครับคุณลุง” “จำเอาไว้ว่าลุงอยู่ข้างเราเสมอ มีเรื่องอะไรปรึกษาลุงได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ” พูดจบกำพลก็เดินออกจากห้องประชุมไป คิมหันต์กลับมาทำงานในห้องของตัวเองอีกครั้ง ร่างสูงยืนทอดสายตามองออกไปนอกห้องทำงานผ่านกระจกใสอย่างไม่มีจุดหมาย ใบหน้าหล่อนิ่งขรึม ดวงตาคมฉายแววความเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียด "พี่คิมครับ" เสียงเรียกของวาคินดึงความคิดของชายหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง ร่างสูงหมุนตัวกลับมาหาเจ้าของเสียงเรียก เอ่ยถามออกไปด้วยความร้อนใจ “เป็นยังไงบ้างคิว ทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย” “เรียบร้อยครับ คุณแมทธิวยอมที่จะไม่ยกเลิกสัญญากับเราและยอมให้เราเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้ทั้งล้อตพร้อมทั้งรับเงินชดเชยค่าเสียหายตามที่เราเสนอไปด้วยครับ” ฟังคำบอกเล่าจากวาคินแล้วคิมหันต์ก็ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ อย่างโล่งอก ที่เขาสามารถรักษาลูกค้าคนสำคัญอย่างคุณแมทธิวไว้ได้ ยอมเสียเงินค่าชดเชยหลักสิบล้าน เพื่อแลกกับการรักษาลูกค้าที่ค้าขายกันมานาน มันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม “ดล แกช่วยจัดการงานที่อยู่ในนี้ให้ฉันที ฉันต้องการด่วนที่สุด” คิมหันต์พูดพร้อมกับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้นพดล “ครับเจ้านาย” พูดจบนพดลก็เดินออกจากห้องทำงานนั้นไปทันที และเมื่อประตูปิดลงวาคินก็เอ่ยถามคิมหันต์ด้วยความร้อนใจ “แล้วทางนี้เป็นยังไงบ้างครับพี่คิม ได้เรื่องอะไรบ้างมั้ยครับ” คิมหันต์ส่ายหน้าไปมาช้าๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมาเสียงเครียดๆ “ยัง แต่ฉันกำลังตรวจสอบข้อมูลการส่งออกของสินค้าย้อนหลังของปีนี้อยู่ มันต้องพิรุธอะไรให้เราจับได้บ้างล่ะ... มันจะเป็นไปได้ยังไงสินค้าที่ทำการตรวจสอบอย่างดีไม่รู้กี่ขั้นตอนกว่าจะส่งถึงมือลูกค้ามันจะมีของปลอมปนเข้าไปได้ ตลกสิ้นดีเลยว่ะ” “เรื่องนี้คนในต้องมีเอี่ยวด้วยแน่ๆ ... แล้วพี่คิมจะทำยังไงต่อไปดีครับ” คนถูกถามไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ แต่แววตาที่เปลี่ยนไปนั้น มันทำให้วาคินนึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาไม่ได้ สายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ และวาคินก็เชื่อเหลือเกินว่าถ้าคิมหันต์รู้ตัวคนทำเรื่องนี้ คงไม่ปล่อยคนคนนั้นเอาไว้อย่างแน่นอน นาฬิกาบนฝาผนังห้องนอนบอกเวลาห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด นอนพลิกตัวไปมาเป็นสิบๆ ครั้ง จนในที่สุดก็ต้องลุกขึ้นมานั่ง มือบางคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงกดโทรหาอีกคน ที่บอกเธอว่าจะออกไปทำธุระเดี๋ยวกลับมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับ แต่ยังไม่ทันที่จะมีสัญญาณอะไรดังขึ้น ก็ต้องกดตัดสายทิ้งไปอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าเธอจะโทรไปกวนเขา และไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอโทรจิกโทรตามเหมือนคนไม่มีเหตุผล "เมื่อไหร่จะกลับสักทีนะ ดึกแล้วนะพี่คิม" บ่นออกมากับตัวเองเบาๆ และล้มตัวลงไปนอนเหมือนเดิม ส่วนคนต้นเหตุตอนนี้กำลังนั่งดื่มแก้เครียดอยู่ที่ผับกับภาสกร เหล้าแก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งเข้าไปในปาก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความเครียดที่มีอยู่ลดลงไปได้เลย "ไงไอ้เสือ ยังไม่หายเครียดอีกเหรอวะ ดึกแล้วนะเว้ยกลับบ้านได้แล้ว ป่านนี้น้องเนตรรอแกแย่แล้ว" ภาสกรพูดเตือนขึ้น เมื่อเวลาเริ่มจะล่วงเลยดึกเข้าไปทุกที "ขออีกนิดไม่ได้เหรอวะ... ฉันเครียดว่ะไอ้กร ฉันไม่คิดเลยนะเว้ยว่าจะมีคนมาเล่นสกปรกแบบนี้กับฉัน ทำได้ไงวะ ทำไมไม่สู้กันซึ่งๆ หน้าด้วยผลงานวะ" "มันก็คงจะหมั่นไส้แกนั่นแหละ สู้ด้วยผลงานไม่ได้มันก็เลยใช้วิธีหมาลอบกัดแบบนี้ไง ยังไงแกก็ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะเผื่อมันเล่นแรงไปกว่านี้" "อืม ขอบใจ" "แล้วนี่แกทิ้งน้องเนตรออกมาเขาไม่โทรตามเหรอวะนี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้วนะเว้ย" คิมหันต์มองโทรศัพท์ที่หน้าจอดำสนิทอยู่ตรงหน้าก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้า "โทรมาทำไมวะ ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย" "ไอ้คิม! แกพูดออกมาได้ยังไงวะ ว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน นี่แกแต่งงานกันแล้วนะเว้ย... นี่อย่าบอกนะ! ว่าแกกับน้องเนตรยังไม่ได้ ยังไม่ได้..." "เออ" คิมหันต์ชิงตอบออกมาก่อน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนจะพูดคืออะไร นั่นยิ่งทำให้ภาสกรตกใจหนักเข้าไปอีก "ไอ้คิม!! นี่แกทนไปได้ยังไงวะ อยู่กับผู้หญิงสวยๆ อย่างนั้นแล้วปล่อยให้เขานอนหลับไปเฉยๆ โดยที่แกไม่ทำอะไรเลย... ปกติแกไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงขนาดนั้นนี่หว่า" ภาสกรพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ซึ่งคิมหันต์ก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน ว่าทนไปได้ยังไง ทั้งๆ คนที่นอนกอดทุกคืนน่าฟัดขนาดไหนถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เนตรทรายนะ เขาคงฟัดเช้าฟัดเย็นจนลุกจากเตียงไม่ได้เลยล่ะ "ไม่รู้โว้ย" "หรือว่าแกรังเกียจน้องเนตร ก็เลยไม่อยากแตะต้องเธอ" "ไม่ใช่โว้ย ไม่ได้รังเกียจ" จะรังเกียจได้ไงในเมื่อเขานอนกอดเธอทุกคืนแถมยังหอมแก้มกันทุกวัน "เอ้า! ไอ้นี่ แล้วมันยังไงวะ ไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ยอมแตะต้องเขา... หรือเป็นเพราะกำแพงที่แกสร้างขึ้นในใจแกใช่มั้ยวะ แกกลัวว่าน้องเนตรจะมาทำลายกำแพงที่สร้างขึ้นใช่มั้ย อะ! เอ้าอย่างนี้ ถ้าแกไม่กล้าหรือกลัวเดี๋ยวฉันจะช่วยแกเอง... น้อง" ภาสกรหันไปเรียกบาร์เทนเดอร์ให้เข้ามาหา ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน ไม่นานบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็กลับมาพร้อมกับแก้วเหล้าหนึ่งแก้ว "อะ กินซะ จะได้กลับบ้านไปหาเมีย ป่านนี้นั่งชะเง้อคอมองประตูห้องแล้วมั้ง" คิมหันต์หยิบแก้วเหล้ามาจากภาสกรอย่างไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะกระดกเข้าไปรวดเดียวจนหมดแก้ว "กูกลับล่ะ มึงก็อย่ากลับดึก หัดเข้าไปดูงานที่โรงพยาบาลบ้างเดี๋ยวคนไข้ก็หนีไปเข้าโรงพยาบาลอื่นหมดหรอก" "เออ รู้แล้วน่า ไปๆ กลับได้แล้วอย่าไปแวะที่ไหนต่อล่ะ กลับไปหาน้องเนตรเลยนะ" "เออ เป็นไรมากมั้ยเนี่ยห่วงเมียกูจัง" "เปล่า ไปๆ ๆ กลับๆ ๆ ... มีความสุขมากๆ นะไอ้คิม" ตะโกนตามหลังคิมหันต์ออกไปยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ แต่คิมหันต์กลับไม่ได้สนใจในคำพูดและรอยยิ้มแปลกๆ ของเพื่อนเลยสักนิด เดินออกไปหารถคู่ใจขับออกจากร้านมุ่งหน้าสู่คอนโดหรูของตัวเองทัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม