ซ่า! ซ่า!
ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผู้คนรอบข้างบางคนที่เตรียมร่มมาก็กางออก ขณะที่คนไม่มีร่มก็วิ่งหาที่หลบฝน พสิกาก็เช่นเดียวกัน หลังจากที่ประชุมในช่วงบ่ายเสร็จเรียบร้อยก็สิ้นสุดเวลาทำงาน เธอเก็บของแล้วเดินออกจากออฟฟิศด้วยความฉับไว เนื่องจากวันนี้ต้องแวะเข้าบ้านเพื่อไปเก็บของและดูอาการของ ‘นวลทอง’ ผู้เป็นมารดาที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมาหลายปีแล้ว
ติ๊ง!
[วันนี้ฉันกลับดึกไม่ต้องเตรียมอาหาร]
ข้อความจากณฟ้าถูกส่งมายังโทรศัพท์เครื่องบาง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาไปกับใคร ชายหนุ่มควงพัตนิตาออกไปหลังเสร็จสิ้นธุระทันที ไม่อยากคิดไม่ดี ทว่าก่อนลาจากเจ้าหล่อนหันมาส่งยิ้มหยันให้เธอแวบหนึ่ง
รอยยิ้มนั้นยังคงสลักฝังลึกอยู่ในเสี้ยวความทรงจำ ช่างเถอะ อย่าใส่ใจอะไรมากมาย เธออยู่กับเขาในฐานะผู้หญิงที่ถูกซื้อมาด้วยเงิน จะเจออะไรแบบนี้ก็ไม่เห็นแปลกไม่ใช่หรือ
พสิกาถอนหายใจระบายความเหนื่อยล้า ก่อนเลือกเดินฝ่าสายฝนไปขึ้นรถแท็กซี่ที่โบกเอาไว้ หญิงสาวทอดสายตามองออกไปนอกกระจก ทำไมเวลานี้ช่างรู้สึกเหน็บหนาวเหลือเกิน ยามเมื่อฝนโปรยลงมาทำให้คนตัวเล็กหวนนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตเธอในวันที่ฝนพรำ…
สัมผัสอ่อนโยนและความใจดีของเขาทำให้เธออุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ
แต่อยู่ในห้วงภวังค์ความคิดเพ้อฝันของตนเองได้ไม่นาน หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งลืมตาขึ้นมายอมรับความจริง เมื่อรถคันเล็กจอดสนิทหน้าบ้านตึกแถวหลังเก่าเรียบร้อยแล้ว พสิกายื่นเงินค่าโดยสารให้คนขับด้วยความว่องไว
ร่างเล็กซึ่งเปียกชื้นเพราะสายฝนก้าวลงมา และวิ่งหน้าตั้งเข้าไปในบ้านหลังน้อย มือบางเปิดประตูเก่าๆ สนิมเขรอะให้อ้าออก ก่อนเดินเข้าไปยังตัวบ้าน เสียงโหวกเหวกโวยวายซึ่งดังมาจากห้องนั่งเล่นเป็นของ ‘เกรียงศักดิ์’ สามีใหม่ของแม่และเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ ตั้งแต่ผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาในชีวิตของนวลทอง ความสงบสุขที่เคยมีพลันเลือนหายในชั่วพริบตา
ไม่ว่าจะการพนัน เหล้า ยา เกรียงศักดิ์เอาหมดทุกอย่าง ครั้งนี้พ่อเลี้ยงไปกู้เงินมา และสุดท้ายก็หมดเกลี้ยงเพียงชั่วข้ามคืน ไม่มีเงินจ่ายตั้งต้นตั้งดอก จนต้องส่งลูกเลี้ยงอย่างเธอไปขายในงานประมูลพรหมจรรย์!
คราแรกพสิกาปฏิเสธเสียงแข็ง ทว่าเกรียงศักดิ์กลับอ้างว่า ‘รวิษา’ ลูกสาวที่เกิดจากเมียคนก่อนของตนขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบ หล่อนสามารถทำงานนี้ตามคำสั่งของเขาไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ซ้ำยังได้เป็นเมียน้อยของเสี่ยใหญ่ จนป่านนี้อยู่สุขสบายสามารถแบ่งเงินมาจุนเจือครอบครัว
‘อีผึ้ง มึงไม่คิดจะทำประโยชน์อะไรให้บ้านหลังนี้บ้างเลยใช่มั้ย บ้านที่ให้มึงซุกหัวนอน ไหนจะแม่มึงที่ได้แต่นอนสำออยอยู่ข้างบน ต้องเป็นภาระของลูกกูอีก!’ พ่อเลี้ยงทวงบุญคุณยกเรื่องมารดามาอ้าง ลูกที่ท่านกล่าวถึงคือ ‘โรสสิตา’ น้องสาวคนเล็กซึ่งอายุเพียงสิบเจ็ดปี หล่อนคือน้องสาวแท้ๆ ของพสิกาเพราะมีมารดาให้กำเนิดคนเดียวกัน
‘เงินเดือนเลขาของมึงมันเท่าเศษขี้เล็บ กูใช้แป๊บเดียวก็หมดแล้ว ไหนจะค่าข้าวค่ายาแม่มึงอีก’
‘ถ้ามึงยังดื้อด้านกูจะส่งอีโรสไป มึงจะทนดูน้องมึงไปเป็นเมียน้อยตั้งแต่อายุแค่นี้ก็ตามใจ!’
ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งกระทบต่อจิตใจพสิกา คือการที่เกรียงศักดิ์จะส่งโรสสิตาไปสังเวยกามพวกผู้ชายมากหน้าหลายตา
ความรักน้องจึงผลักดันให้เธอยอมทำตามคำสั่งของคนใจร้าย ก้มหน้ารับกรรมจนบังเอิญไปเจอณฟ้าที่นั่น
“กลับมาแล้วเหรอ เป็นไงมึง ใครรับมึงไปเลี้ยง”
“บอกไปลุงก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
พสิกาไม่ได้กล่าวถึงเขา หญิงสาวเบี่ยงตัวหนีเตรียมเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารให้มารดา วันนี้โรสสิตาส่งข้อความมาบอกว่าจะกลับดึก เนื่องจากมีติวหนังสือกับเพื่อน จึงเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องมาดูแลท่าน ทั้งคู่ผลัดเปลี่ยนกันตามความจำเป็นของอีกฝ่าย โดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆ จากทั้งเกรียงศักดิ์และรวิษา
“หึ ถ้าเป็นไอ้พวกเสี่ยรวยๆ แถวนี้กูรู้จักหมดแหละ ใช่เสี่ยวัฒนาหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
ถามคำตอบคำเพราะไม่ต้องการสนทนากับพ่อเลี้ยงให้เสียเวลา มือตักข้าวต้มร้อนๆ ก่อนจะเริ่มทอดไข่เจียวหมูสับเพื่อเป็นเครื่องเคียง
“ไม่ใช่มึงโง่ไปคว้าพวกเศรษฐีใหม่มานะ”
“…” ไม่มีคำตอบจากคนตัวเล็ก
ท่าทีหมางเมินของลูกเลี้ยงส่งผลให้เกรียงศักดิ์โมโห คนชอบใช้กำลังคว้าแขนเรียวแล้วบิดสุดแรง ทำให้ข้าวต้มในถ้วยใบเล็กกระฉอกโดนผิวบางจนปวดแสบปวดร้อน
“โอ๊ย!” พสิกาอุทานขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ชายชราผู้เห็นแก่ตัวรู้สึกรู้สาอะไร
“สมน้ำหน้า”
โพล่งด่าด้วยวาจาทำร้ายจิตใจอีกครั้ง ซ้ำยังคลี่ยิ้มร้ายเย้ยหยันราวกับลูกเลี้ยงคนนี้เป็นแค่เด็กอวดดี
หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นใจอดทน เพราะยังจำได้ไม่ลืมว่าคนคนนี้คือผู้ชายที่แม่รัก และเขาก็เป็นบิดาของน้องสาวเธอ
…นิ่งไว้พสิกา อดทนเอาไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปแล้ว
กล้ำกลืนกลบเกลื่อนทุกความรู้สึกอีกครั้ง อย่างน้อยก็ยังดีอยู่บ้างที่วันนี้เธอไม่ต้องเจอรวิษา น้องสาวต่างแม่ชอบจิกกัด บางครั้งก็ด่าทอมารดาของเธอลับหลัง จนคนเป็นลูกแท้ๆ อย่างพสิการู้สึกแสลงหูทุกครั้งที่ได้ยิน ทว่าฉากหน้าหล่อนกลับทำตัวเป็นลูกเลี้ยงผู้น่ารักคอยถามไถ่ราวกับเป็นห่วงเป็นใยมารดาเธอนักหนา แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยการขอเงินอีกตามเคย
พสิกาแบ่งเงินเดือนของตนเองส่วนหนึ่งให้นวลทองไว้ใช้ และด้วยความที่ท่านเป็นคนใจดี ทำให้บางครั้งรวิษามักหาผลประโยชน์จากตรงนี้
…หล่อนใช้ความสงสารของท่านเป็นเครื่องมือ
อยากหลั่งน้ำตาให้กับโชคชะตาที่โหดร้ายกับเธอเหลือเกิน ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงผลักดันให้พสิกาพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อดูแลมารดาซึ่งเป็นเหมือนหัวใจดวงเดียวให้ดีที่สุด
อย่างน้อยเธอต้องตอบแทนบุญคุณอะไรท่านบ้าง ถ้านวลทองรู้ว่าเกรียง-ศักดิ์มีความคิดที่จะเอาโรสสิตาไปขาย ท่านต้องทุกข์ใจและเสียใจ อนาคตของเด็กสาวผู้สดใสไม่ควรจะต้องมาแปดเปื้อนมัวหมองเฉกเช่นเธอ
พสิกาถอนหายใจอีกครั้งก่อนมุ่งหน้าไปยังชั้นบนของบ้าน มือเล็กเปิดประตูเบาๆ เนื่องจากไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของมารดา บัดนี้ร่างกายที่เคยสวยงามทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซึ่งเคยผ่องใสกลับซีดเซียวด้วยโรคมากมายที่พากันมารุมเร้า
“กินข้าวนะคะแม่”
พสิกาบอกแล้วทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้เล็กๆ ข้างเตียง รอยยิ้มพิมพ์ใจปรากฏทุกครั้งเมื่ออยู่ตรงหน้าท่าน เธอต้องฝืนเข้มแข็งทั้งที่ข้างในอ่อนแอเหลือเกิน
“มาแล้วเหรอลูก ที่จริงแม่กินเองก็ได้ วันนี้โรสโทรมาบอกแม่แล้วว่ามีธุระเรื่องเรียน”
“ค่ะ ผึ้งเลยมาอยู่ป้อนข้าวแม่ไงคะ” มือบางตักอาหารคำเล็กๆ แล้วยื่นไปจ่อยังริมฝีปากแห้งแตกของมารดา
“ผึ้งไม่น่าเสียเวลาเลย กว่าจะเลิกงาน กว่าจะมาถึงบ้าน แทนที่จะได้พักผ่อนกลับต้องมาดูแลคนแก่อย่างแม่”
นวลทองบ่นตามประสามารดาซึ่งมีความห่วงใยเปี่ยมล้นให้ลูกสาว ท่านรู้ดีว่าพสิกาเหนื่อยล้าแค่ไหน ปัจจุบันเธอไม่ต่างอะไรกับเสาหลักของบ้าน
“ห้ามคิดแบบนั้นนะคะ การดูแลแม่มันไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
“แต่หนูดูผอมลงมากนะลูก” ท่านว่า ก่อนเอื้อมมือไปแตะวงหน้างามของลูกรัก “ได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่าลูก”
“ไม่ต้องห่วงนะคะผึ้งกินครบทุกมื้อค่ะ” พสิกายิ้มร่าเริง อย่างน้อยก็สุขใจที่นวลทองกินอาหารได้บ้าง แม้จะเจอหน้ามารดาอยู่ทุกวัน แต่ไม่บ่อยครั้งที่เธอจะมีเวลามานั่งป้อนข้าวและพูดคุยอะไรกับท่านตามประสาแม่ลูกเช่นนี้
“เหรอ แต่หนูดูผอมมากเลย”
“จริงๆ ค่ะ แต่สงสัยต้องกินให้เยอะขึ้นอีกหน่อย”
“ดีแล้วลูก” นวลทองยิ้มหวานดีใจที่ลูกสาวเชื่อฟัง
“อะ…เอ่อ แม่คะ ช่วงนี้ผึ้งมีความจำเป็นจะต้องย้ายไปอยู่ข้างนอก พอดีงานที่บริษัทค่อนข้างยุ่ง เลยคิดว่าเดินทางไปมาคงไม่สะดวก”
“เหรอลูก งานหนักมากหรือเปล่า หนูไหวมั้ย”
“นิดหน่อยค่ะแม่ แม่จะโอเคมั้ยคะถ้าผึ้งจะขอย้ายออกไปอยู่ข้างนอกชั่วคราว”
“แม่ตามใจหนู แต่เป็นห่วงเรื่องที่อยู่มากกว่า มันจะปลอดภัยเหมือนบ้านเรามั้ย” นวลทองถอนหายใจ ตั้งแต่เล็กจนโตพสิกาอยู่กับนางมาตลอด
หล่อนเลี้ยงลูกสาวคนนี้ให้อยู่ในสายตาเสมอมา พสิกาไม่เคยจากบ้านไปไหน ตั้งแต่ตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับพ่อแท้ๆ ของพสิกา นางและลูกต่างเป็นเหมือนเงาตามตัวของกันและกัน การที่ลูกสาวจะออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นคนเดียวแบบนี้ แน่นอนว่าย่อมสร้างความหนักใจให้มารดา
“เป็นหอใกล้ๆ กับที่ทำงาน รุ่นพี่ของผึ้งอยู่ที่นั่นหลายคน แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ปลอดภัยแน่นอน”
พสิกาจำต้องโกหกออกไป ทั้งที่ลึกๆ รู้สึกละอายใจเหลือเกิน จะบอกมารดาได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเธอจะไปเป็นผู้หญิงลับๆ ของณฟ้า เธอขายตัวแลกกับเงิน ท่านต้องไม่มีทางรับได้
“ก็ได้ แต่แม่คงอดคิดถึงหนูไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ผึ้งจะแวะมาหาแม่ทุกอาทิตย์”
พสิการับปาก ก่อนเอื้อมไปหยิบยาหลังอาหารให้นวลทอง สีหน้าคนป่วยคล้ายกับเบื่อหน่ายที่ต้องกินยาหลังอาหารทุกมื้อ ทว่ากลับปฏิเสธไม่ได้เมื่อลูกสาวสุดที่รักมานั่งเฝ้ารอให้ท่านกินข้าวกินยาเสร็จ
หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็พูดคุยกันต่ออีกกว่าสามชั่วโมง พสิการอกระทั่ง โรสสิตากลับมา เธอจึงรีบเข้าไปเก็บข้าวของเครื่องใช้บางส่วนเพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดของณฟ้า หญิงสาวไม่ได้เอาอะไรใส่กระเป๋าไปมากมายนัก เธอเลือกเฉพาะของจำเป็นเท่านั้น
แล้วเสียงเปิดประตูบานเล็กก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการเก็บของของเธอเสียก่อน พสิกาเงยหน้าขึ้นไปมอง ภาพน้องสาวนัยน์ตาเศร้าโศกเดินเข้ามาหาแล้วโผกอดพี่สาวคนโตสุดแรง โรสสิตาสะอื้นด้วยความรู้สึกผิด ที่พสิกาต้องเป็นเช่นนี้เพราะต้องการปกป้องเธอ
“ฮะ…ฮือ โรสขอโทษนะพี่ผึ้ง”
พสิกาโอบกอดน้องเอาไว้ มือบางลูบแผ่นหลังเล็กคล้ายจะบอกว่าเธอไม่เป็นไร…
…ไม่ต้องห่วงพี่คนนี้
“ไม่เอาไม่ร้องนะ” ดันร่างของโรสสิตาออกห่าง ก่อนเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเพื่อปลอบโยน
“ฮึก…เพราะโรสแท้ๆ พี่ผึ้งต้องมาทำอะไรแบบนี้”
“ไม่คิดมากนะ โรสยังมีอนาคตอีกไกล ตั้งใจเรียน อย่ามัวคิดมากจนเสียสมาธินะ พี่รู้ว่าโรสเก่ง” พสิกายิ้มหวานเพราะต้องการคลายความกังวลใจให้กับโรสสิตา เธอไม่อยากให้น้องเล็กรู้สึกแย่ และเอาแต่มานั่งโทษตัวเองแบบนี้
ไม่มีใครเลือกเกิดได้สักหน่อย ทุกสิ่งที่เธอทำล้วนเพื่อครอบครัวทั้งนั้น
“เขาดีกับพี่ผึ้งมั้ย” โรสสิตาตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้ เธอคงทุกข์ใจไปจนตายถ้าหากผู้ชายคนนั้นโหดร้ายทารุณกับพสิกาไม่ต่างจากที่บิดาทำกับมารดา
ภาพที่บิดาทุบตีมารดายามเมามาย พร้อมบังคับขู่เข็ญเอาเงินทอง ยังคงติดตาเธอตั้งแต่เล็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
“ดีนะ โรสไม่ต้องห่วง ไม่ต้องคิดเรื่องพี่แล้ว”
“จริงเหรอ พี่ผึ้งโอเคใช่มั้ย”
ถามย้ำอีกรอบเพราะยังไม่คลายความกังวลใจ ลึกๆ แล้วโรสสิตารู้ดีว่า พสิกาก็เสียใจที่ต้องเลือกทางเดินให้กับชีวิตตนเองเช่นนี้
“อืม โอเค ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียวเอง”
“พี่ผึ้งดูแลตัวเองดีๆ นะ ถ้ามีอะไรโทรหาโรสได้ตลอด ส่วนเรื่องแม่ไม่ต้องกังวลเลย โรสจะดูแลท่านให้ดีที่สุด”
โรสสิตารู้ว่าเรื่องเดียวที่พสิกาห่วงคืออะไร และหล่อนรับปากว่าจะไม่ให้คนที่เสียสละต้องพะวักพะวนอะไรอีกแล้ว พสิกาเหนื่อยมามากพอแล้ว
อะไรที่พอจะแบ่งเบาภาระของพสิกาได้ โรสสิตาก็ยินดีทำ
พสิกาก้มดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะสามทุ่มแล้ว เดินทางจากที่นี่กว่าจะไปถึงคอนโดของณฟ้าคงเกือบสี่ทุ่มครึ่ง
“เดี๋ยวพี่เก็บของเสร็จแล้วคงต้องไปก่อนนะ นี่ดึกแล้ว กว่าจะถึงที่นู่นคงอีกสักพัก”
“ค่ะ ถึงแล้วอย่าลืมส่งข้อความมาหาโรสนะ”
โรสสิตากำชับพี่สาว ก่อนนั่งรอพสิกาที่เก็บข้าวของด้วยความเร่งรีบ เสร็จแล้วก็เดินลงมาพร้อมกันและยืนส่งพี่สาวจนพสิกาโบกมือลา ยืนมองจนคนเป็นพี่ลับสายตาไป โรสสิตาได้แต่หวังว่า ผู้ชายที่พสิกาต้องไปอยู่ด้วยนั้นจะพอมีเมตตาบ้าง หล่อนภาวนาขออย่าให้เขาเป็นเหมือนบิดาเลย