12. เย็นชา

2390 คำ
แต่เจ้าของเรื่องในยามนี้กลับกำลังสืบข่าวผู้สูญหายโดยมิกลับเข้าเรือนจนผ่านมาสามวันแล้ว ทำให้ผู้ที่ฟื้นตื่นขึ้นมานั้นใจเสียมิน้อย คิดว่าอีกฝ่ายคงจะอยู่กับสตรีนางนั้นเป็นแน่ “ฮูหยินพึ่งหายดีจะออกไปอีกแล้วหรือเจ้าคะ” “พี่ถงเหยาข้ามิใช่ฮูหยินของที่นี่แล้วจำมิได้หรือ” “แต่นายน้อยก็ยังมิได้เขียนจดหมายหย่านะเจ้าคะ” ถงเหยายังคงแย้งเพื่อให้อีกฝ่ายได้ใจเย็น “มิเขียนวันนี้ แต่อย่างไรเขาก็ตั้งใจจะเขียนมิใช่หรือ แล้วมันจะต่างกันอย่างไร” จิวซูเอ่ยพร้อมกับตบลงที่บ่าของคนแก่กว่า นางยิ้มบางๆ ส่งให้ก่อนจะเดินออกจากจวน แต่ก็เจอกับคนที่ในใจเฝ้ารอกลับมาพอดี แต่! เขามิได้มาผู้เดียว ยังมีสตรีงามตามมาด้วย ซึ่งจิวซูยังจำได้ดีว่าเป็นผู้ใด “เจ้า! จะไปไหน” เสิ่นอวี้เอ่ยถามในทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังก้าวขึ้นรถม้า ด้วยท่าทีมิใส่ใจตนเลยสักนิด “เอ่อ คุณหนูจิวซูจะไปซื้อของให้นายหญิงเจ้าค่ะ” เป็นถงเหยาที่เอ่ยตอบเอง เพราะจิวซูไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีกฝ่าย นางนั่งเงียบอยู่ในรถม้าราวกับมิได้ยินเสียงตำหนิจากสามี “ออกไปเดี๋ยวก็เจ็บป่วยอีก สิ่งที่สั่งเอาไว้ไยถึงมิจำเลย” “ออกรถได้แล้วพี่ถงเหยา” เสียงหวานเอ่ยออกมาสั่งราวกับเสียงที่ได้ยินเป็นเพียงลมที่พัดมาเท่านั้น เสิ่นอวี้ขบกรามแน่นแต่ทำสิ่งใดมิได้ เพราะยามนี้เขามีซินลี่ยืนเกาะแขนเอาไว้ “น้องสาวของพี่ผู้นี้ดูมิค่อยชอบข้าเลย เป็นน้องแน่หรือเจ้าคะ มิใช่ว่าเป็นฮูหยินของพี่หรอกนะ” ซินลี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย นางฉลาดมากพอที่จะมองออกว่าจิวซูคงมิใช่แค่ญาติผู้น้องเป็นแน่ เพียงแต่มิมั่นใจว่านางคือผู้ใด ไยเขาถึงดูเป็นห่วงมากถึงเพียงนี้ แต่คงมิใช่ฮูหยินหรอก เพราะท่าทางเฉยชาเสียเหลือเกิน สตรีใดก็มิอาจทำใจได้หากสามีตนปันใจ “นางบอกเองมิใช่หรือว่าเป็นใคร” เสิ่นอวี้ตอบเพียงเท่านั้นก็เดินเข้าจวน โดยที่มีหญิงสาวเดินเกาะแขนเอาไว้ จนกระทั่งเข้ามาถึงห้องโถง ซึ่งมีเพียงราชครูจางเท่านั้นที่นั่งอยู่ “ท่านพ่อนี่ซินลี่คนรักของลูกขอรับ” “อืม นั่งสิ” ประมุขของจวนเอ่ยเพียงเท่านั้น เขามองสตรีงามตรงหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้ตามปกติ “แล้วท่านแม่ล่ะขอรับ” “นายหญิงพึ่งกลับเข้าห้องไปเจ้าค่ะ” แม่นมหลินผู้ได้รับหน้าที่รอดูหน้าคนรักของนายน้อยเอ่ยรายงานสิ่งที่นายหญิงได้กำชับตนเอาไว้ เสิ่นอวี้ถอนใจออกมาทันทีและมองไปยังบิดาของตน “จะให้นางอยู่ที่นี่เลยหรือ แต่ช่างเถอะแล้วแต่เจ้า อย่างไรก็อย่าให้มายุ่มย่ามกับคนของข้าก็พอ” ราชครูเอ่ยทิ้งท้ายเพียงเท่านั้น ก็เดินออกไปโดยมิใส่ใจผู้ที่มาใหม่เลยสักนิด ทำเอาซินลี่หน้าเสียอยู่เหมือนกัน “ดูเหมือนคนที่เรือนนี้จะมิชอบหน้าข้านะเจ้าคะ” “อย่าคิดมาก ท่านพ่อพึ่งกลับมาจากเข้าเฝ้า คงจะเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น พี่จะพาไปห้องพักแล้วกันนะ” เสิ่นอวี้จูงมือคนรักลุกขึ้น แต่เสียงจากด้านหลังก็ดังขึ้นเสียก่อน เมื่อเขาได้ยินก็เงียบไปทันที “นายหญิงบอกว่าให้นายน้อยพาคนรักพักที่ห้องติดกันเจ้าค่ะ ห้องนี้ว่างเพราะฮูหยินคนก่อนมิอยู่แล้ว หากต้องการก็พักได้เลยมิต้องเกรงใจ” เสิ่นอวี้เงียบไปแต่คนที่ตอบกลับเป็นคนที่มาใหม่ “ดีเลย เช่นนั้นน้องพักห้องติดกับพี่เสิ่นอวี้นะเจ้าคะ กลางคืนจะได้มิต้องเดินไกล” ซินลี่เอ่ยออกมาอย่างมิอาย แต่ทั้งหมดนี้มันมิได้อยู่ในหัวเขาเลย เพราะสิ่งที่คิดตอนนี้คือ “แล้วจิวซูพักที่ใด หรือท่านพ่ออนุญาตให้นางออกจากจวน ไม่นะ ไม่ได้เด็ดขาด” เพียงแค่คิดในใจเท้าของเขามันก็ก้าวออกไปแล้ว เขายืนสั่งลูกน้องอยู่เพียงครู่ ก็หมายจะเดินไปหาบิดาที่ห้อง “หยุดนะพี่เสิ่นอวี้ พี่จะไปไหนจะทิ้งข้าเช่นนี้หรือ” “แม่นมหลินไปส่งซินลี่ที่ห้องที ให้นางอยู่ห้องถัดไปก่อน ข้ามิอยากใช้ห้องเก่าที่ฮูหยินอยู่เข้าใจหรือไม่ พี่มีธุระต้องคุยกับท่านพ่อ เจ้ากลับไปรอที่ห้องนะ” เสิ่นอวี้เอ่ยจบก็เดินตรงไปยังเรือนใหญ่ ทิ้งให้ซินลี่มองตามด้วยรอยยิ้ม นางก็แสร้งทำเป็นเกาะติดเขาไปอย่างนั้นเอง ได้เข้าเรือนหนิงเหอโดยมิมีคนสงสัยถือเป็นการดี “พาข้าไปสิ อ่อ ข้าอยากอ่านตำราเสียหน่อย ข้ามิชอบอยู่เฉยช่วยพาข้าไปที่นั่นที” “ห้องตำราเป็นส่วนทำงานของท่านราชครูและนายน้อย มิอาจให้ผู้ใดเข้าไปได้ แม่นางคงต้องรอนายท่านอนุญาต” “ข้าเป็นคนรักของคุณชายเจ้า ไยถึงพูดจามิมีหางเสียงกับข้าเช่นนี้ หรืออยากถูกโบย” ซินลี่เอ่ยราวกับว่ายามนี้นางยังอยู่ในวัง แต่พอนึกขึ้นได้ก็เงียบเสียงลง ก่อนจะทำทีสำนึกผิด และแสดงท่าทีอ่อนโยนออกมา “ขออภัยแม่นมเจ้าค่ะ ข้าแค่กังวลที่จะต้องมาอยู่ต่างเรือนเช่นนี้ อีกทั้งคนในจวนดูจะไม่ชอบข้าเลย” “มิเป็นไรเจ้าค่ะ แต่คนที่นี่ต่างก็เป็นมิตร จะเป็นศัตรูกับคนที่คิดร้ายเท่านั้น หากแม่นางมิได้ทำสิ่งใดผิดต่อเรา ก็มิมีผู้ใดรังเกียจหรือมิชอบหรอกนะเจ้าคะ” ซินลี่ยิ้มแห้งใส่ราวกับรู้สึกผิดในการกระทำ แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองจนแน่นอก “หึ! หากมิใช่เพราะตำแหน่งฮองเฮา ข้ามิยอมก้มหัวให้คนสกุลนี้เด็ดขาด ไร้ซึ่งอำนาจเช่นนี้หรือจะให้ข้ามาทนเป็นสะใภ้ มิมีทางหรอก” เสิ่นอวี้เดินตรงมาหาบิดา ซึ่งนั่งอยู่ที่ศาลาหลังเรือนใหญ่พร้อมกับมารดาของตน “ท่านแม่ให้จิวูพักที่ใดกันขอรับ” “ท่านพี่น้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ รู้สึกอากาศแถวนี้อุดอู้เหลือเกิน น้องหายใจมิสะดวกเลยสักนิด” เสิ่นอวี้หน้าถอดสีทันที มิคิดว่ามารดาจะเป็นได้มากถึงเพียงนี้ ไยถึงทำราวกับเขามิมีตัวตน “ท่านแม่!” เขาส่งเสียงดังราวกับว่าเสียงที่มีก่อนนั้นมิทำให้มารดาได้ยิน ฮูหยินจางเพียงแค่ชายตามองเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังคงมิตอบอันใดออกไปเช่นเดิม “นั่งสิ แล้วคนรักเจ้าล่ะ” ราชครูจางเอ่ยเรียกบุตรชายที่หันมองตามมารดาด้วยสายตาละห้อยจนปิดไม่มิด “ท่านพ่อจิวซูพักอยู่ที่ใด หรือว่าพวกท่านให้นางออกจากจวนไปแล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าพานางออกไป” “ก็ถ้าเจ้ามิได้คิดจะรั้งนางไว้แต่แรก จะมาถามหาเพื่อสิ่งใดกัน จากนี้ก็ต่างคนต่างอยู่อย่างที่เจ้าต้องการสิ” เสิ่นอวี้ยืนนิ่งมิไหวติง มองร่างสูงของบิดาเดินกลับเข้าเรือนไป แต่เขายังอยู่ที่เดิมจนคนสนิทเดินมา “เฟยหยางกลับมาหรือยัง” เมื่อถูกคนของตนสะกิดเขาจึงรีบเอ่ยถามถึงผู้ที่ให้ตามจิวซูไป แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองเช่นเดิม “นายน้อยมิคิดจะไปดูว่าที่ฮูหยินคนใหม่หน่อยหรือขอรับ ปล่อยนางทิ้งไว้นานเพียงนี้คงมิดีนัก” ห้าวเฉิงเอ่ยบอกออกไป เสิ่นอวี้จึงหันกลับมามองหน้าคนของตน ราวกับอีกฝ่ายกำลังเตือนสติตนอยู่ เขาพยักหน้าก่อนจะเดินไปทางเรือนของตน แต่ดูเหมือนในห้องจะไร้เงาของคนรักอย่างที่ควรจะเป็น “พี่เสิ่นอวี้มาแล้วหรือ ข้ารอท่านเสียตั้งนานมิเห็นพี่มาหาเสียทีจึงออกไปเดินเล่นในสวน” “งั้นหรือ อย่างไรเจ้าก็อย่าเดินไปทั่วล่ะ คนที่นี่ยังมิรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด อาจจะเข้าใจผิดเอาได้” “ข้ามิได้ไปไหนไกลเสียหน่อย” ซินลี่เดินตรงเข้ามาเกาะแขนออดอ้อนอีกฝ่าย พร้อมกับรั้งเข้ามาจูบและดันคนโตกว่าไปติดกับขอบโต๊ะ ก่อนจะนั่งคร่อมเอาไว้ทั้งที่ประตูก็ยังมิได้ปิดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เสิ่นอวี้นึกกังวลใจขึ้นมาอย่างมิรู้สาเหตุ เขากลัวผู้อื่นมาเห็นทั้งที่ปกติก็มิเคยใส่ใจ “พอก่อนนะซินลี่มิใช่ยามนี้” “จะยามใดก็เหมือนกันนี่เจ้าคะ ในเมื่อเรารักกันมิใช่หรือ อีกหน่อยพี่ก็รับข้าเป็นฮูหยินแล้ว ไยต้องรออีก” “เจ้าเป็นหญิงแค่มาอยู่ที่เรือนพี่โดยมิทันได้แต่งก็มิงามแล้ว บิดามารดาเจ้าคงได้ร้องเรียนพี่เป็นแน่” “พี่กลัวสิ่งใดกันแน่ ฮูหยินคนก่อนก็อยู่ที่นี่ก่อนจะแต่งงานมิใช่หรือ แต่พอเป็นข้าไยท่านเอ่ยเช่นนี้” เสิ่นอวี้นิ่งไปเพียงครู่ แต่คนเช่นเขาอย่างไรก็หาทางออกได้อยู่แล้ว ความเจ้าเล่ห์ที่มีมากนี้ยังใช้ได้เป็นประโยชน์เสมอ “มันต่างกันรู้หรือไม่ เจ้าก็รู้ว่าพี่แค่หลอกใช้นาง สตรีผู้ นั้นก็เป็นเพียงฮูหยินอุ่นเตียง มิมีความหมายใดกับพี่แม้เพียงนิด ยามนี้นางก็ถูกปลดมิได้อยู่ในจวนแล้ว เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงให้พี่ระคายหูเลยนะ” เสิ่นอวี้เอ่ยโดยมิรู้ว่าคนที่ตนหมายถึงนั้นยืนอยู่หน้าประตู จิวซูยืนนิ่งและกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกในใจ จนลืมตัวกัดริมฝีปากตนเองแน่นทำให้เกิดเป็นรอยแดงขึ้น “เอ่อ! นายน้อยนายท่านให้คุณหนูจิวซูมาตามไปทานอาหารขอรับ” ห้าวเฉิงมิรู้จะเตือนผู้เป็นนายเช่นไรจึงได้แต่เอ่ยเสียงดัง เพื่อบ่งบอกให้เสิ่นอวี้รู้ แต่มันก็ช้าไปแล้วเมื่อคนตัวเล็กได้ยินทุกอย่าง และการกระทำของทั้งคู่ทั้งหมด “พี่เฉินห้าวอยู่กันแค่นี้ไยต้องตะโกน พี่เสิ่นอวี้อาจจะยังทำธุระกับพี่สะใภ้มิเสร็จก็ได้ หากพี่สองคนจะทำสิ่งใดต่อก็เชิญเลยนะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะแจ้งท่านพ่อกับท่านแม่ให้” เสียงหวานที่เคยเอ่ยออกมาให้ฟังและมันก็รื่นหูในทุกครา ยามนี้มันกลับเย็นเฉียบราวเกล็ดน้ำค้างที่เกาะตามยอดบุปผาในฤดูเหมันต์ คนฟังถึงกับหัวใจวูบโหวงราวกับว่ามันถูกควักออกมาเสียอย่างนั้น ร่างเล็กย่อคำนับผู้ซึ่งยามนี้เข้ามาแทนที่ตนในทุกส่วน รอยยิ้มราวกับเป็นมิตรเผยออกมาจนคนมองถึงกับนั่งนิ่งจนแทบลืมหายใจ เสิ่นอวี้รู้สึกจุกที่คนตัวเล็กทำเหมือนมิได้เดือดร้อนอันใด เมื่อเห็นและได้ยินเช่นนี้ สายตาว่างเปล่าที่จิวซูมองเขา มันทำให้ใจแกร่งสั่นคลอนอย่างที่มิเคยเป็น แต่ที่ทำให้หงุดหงิดก็คนที่ลุกขึ้นเดินไปหาจิวซูนี่แหละ “แหม! น้องจิวซูนี่ช่างน่ารักเสียจริง พี่กับพี่เสิ่นอวี้มิได้เจอกันนาน ก็เลยทำเรื่องเช่นนี้จนลืมว่ายังมิทันได้ปิดประตู แต่มิคิดว่าน้องจะมิถือ อย่างไรก็อย่าเก็บเอาภาพพวกนี้ไปใส่ใจเชียวล่ะ เอาไว้ให้ออกเรือนก่อนค่อยว่ากันนะ” “อย่ากังวลเรื่องนั้นเลยเจ้าค่ะ ข้าคงมิได้อยู่ที่นี่นานนัก เพราะยามนี้พี่ชายข้ากลับมาเมืองหลวงแล้ว คงมิได้อยู่ขัดจังหวะพี่สองคนเช่นนี้อีก ขอตัวนะเจ้าคะ” จิวซูคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป เสิ่นอวี้ขบกรามแน่น ยามนี้เขาอยากดึงคนตัวเล็กเข้ามาเพื่อจับตีก้นเสียให้หนำใจ ที่กล้าเอ่ยถ้อยคำว่าจะออกจากจวน เขามิได้สั่งนางก็มิมีสิทธิ์ไปที่ใดทั้งนั้น นัยต์ตาคมหันไปหาคนของตนซึ่งยินก้อมหน้าอยู่สองสหายมิรู้จะเอ่ยเช่นใด เพราะตอนที่จิวซูเดินมาพวกตนก็เดินหลบออก เพราะผู้เป็นนายกำลังคลอเคลียกับสตรี จะให้พวกตนเสนอหน้าอยู่ได้เช่นไรกัน จิวซูก็เดินตรงมาราวกับอยากมาให้เห็นกับตาเสียอย่างนั้น แต่ที่น่าแปลกก็คือนางมิร้องไห้ฟูมฟายหรือโวยวายอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมันมิน่าเป็นเช่นนี้ในเมื่อก่อนนี้จิวซูไร้เดียงสาถึงเพียงนั้น ไยจึงดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวจนเสิ่นอวี้กลัวใจนางขึ้นมา “เราไปทานอาหารกับท่านพ่อท่านแม่เถอะเจ้าค่ะ” ซินลี่เอ่ยบอกเมื่อเห็นชายหนุ่มยังยืนนิ่ง เสิ่นอวี้เพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าที่คนตัวเล็กเอ่ยหมายถึงสิ่งใด แล้วพี่ชายที่ว่านั้นผู้ใดกันมีตัวตนจริงหรือไม่ พอมาถึงเขาก็เห็นว่ามีบุรุษรูปงามนั่งอยู่ข้างฮูหยินตนอยู่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม