ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเข้าพิธีวิวาห์...
อาคารสำนักงานใหญ่ เสิ่นกรุ๊ป ชั้น 28 ห้องทำงานส่วนตัว
ร่างบางนั่งตัวตรงบนโซฟาหนังแท้สีเทาเข้ม ที่เย็นจัดไม่ต่างจากบรรยากาศในห้องประชุมส่วนตัวของตึกพื้นไม้โอ๊คขัดมันสะท้อนเงาขาเรียวในกระโปรงทรงสอบสีสุภาพ เธอกระชับกระเป๋าไว้บนตักแน่นอย่างคนที่รู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจจะปฏิเสธ
ตรงหน้า...เสิ่นจวิ้นนั่งพิงพนักเก้าอี้ผู้บริหาร มือเรียวเรียบนิ่งของเขาเปิดแฟ้มสัญญาหน้าแล้วหน้าเล่าโดยไม่พูดอะไรสักคำ เสียงคลิกปากกาดังชัดเกินไปในความเงียบ
“เซ็นตรงนี้” เขาพูดในจังหวะที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
ลี่เหม่ยรับแฟ้มมา สีหน้าไม่หวั่นไหวแม้ใจจะเต้นผิดจังหวะ ดวงตากลมไล่อ่านข้อตกลงแต่งงานระยะเวลา 6 เดือนที่ถูกจัดวางราวกับเป็นเอกสารซื้อขายหุ้น...ไม่ใช่ชีวิตคู่
‘ไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งหากอีกฝ่ายไม่ยินยอม’
‘ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงงานของกันและกัน’
‘สิ้นสุดสัญญา ต้องหย่าโดยไม่มีเงื่อนไข’
สัญญาที่เย็นชาพอๆกับคนตรงหน้า
มือหนาวางปากกาลงบนโต๊ะกระจก เอ่ยเสียงเรียบแต่หนักแน่นในความเย็นชา
“ฉันไม่ต้องการภรรยา แต่ต้องการคนในตำแหน่งภรรยา...เธอเข้าใจ?”
เขาเงยหน้าขึ้นในจังหวะนั้น สายตาคมเข้มใต้กรอบแว่นตาสีเงินจ้องตรงมาอย่างดุดันและแน่นอนเกินกว่าจะเป็นคำถาม
ลี่เหม่ยยิ้มบางๆ แววตาไม่อ่อนโยนแต่ก็ไม่แข็งกร้าว เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มีหนามแหลมซ่อนอยู่
“เข้าใจค่ะ...ฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นเมียใครจริงๆเหมือนกัน”
มือเรียวเล็กจรดปลายปากกาเซ็นชื่อด้วยลายมือมั่นคงแม้หัวใจจะสั่น
คนตัวโตรับแฟ้มกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีกเสี้ยววินาทีที่เขาเหลือบตามองชื่อ “ลี่หาน” ใต้ลายเซ็น เสิ่นจวิ้นรู้ดีว่า...นี่ไม่ใช่ชื่อที่ควรปรากฏบนเอกสารนี้ตั้งแต่แรก
เขาเพียงลุกขึ้นเต็มความสูง เดินอ้อมโต๊ะมา วางซองสีเงินทึบลงบนโต๊ะด้านหน้าเธอ
“กุญแจห้อง เธอจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ฉัน”
ลี่เหม่ยเงยหน้ามองเขา สีหน้าเหมือนอยากถามอะไร ทว่าสุดท้ายกลับยิ้มแห้งๆ
“รับทราบค่ะ...คุณเสิ่น”
ชื่อที่เธอเรียกเขา ไม่มีคำว่า ‘สามี’ ปะปนและเขาก็ไม่ได้ต้องการมันอยู่แล้ว...ใช่ไหม?
.
.
.
ไฟในห้องทำงานชั้นบนสุดของตึกต้าเหริน กรุ๊ป ยังสว่างในเวลาที่สำนักงานอื่นปิดหมดแล้ว กระจกสูงจากพื้นจรดฝ้าเปิดรับแสงจากเมืองด้านล่าง เผยให้เห็นเงาสะท้อนของชายคนหนึ่งที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
เสิ่นจวิ้นเหวิน
ชายผู้ครองทุกพื้นที่ด้วยความเงียบและข่มอารมณ์ด้วยความนิ่ง
ร่างสูงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้โอ๊คแท้ บนโต๊ะมีแฟ้มเอกสารเปิดค้างไว้ หน้าแฟ้มเขียนด้วยลายมือผู้ช่วยว่า... ข้อมูลส่วนตัว : ลี่หาน
ดวงตาคมกริบไล่อ่านทุกบรรทัด ตั้งแต่คะแนนสอบ,โปรไฟล์ครอบครัว,เส้นทางการเรียน,สไตล์การแต่งตัว,รสนิยมอาหาร
เสิ่นจวิ้นปิดแฟ้มโยนมันลงถังขยะข้างโต๊ะ
“เธอไม่ใช่คนในแฟ้มนี้แน่”
.
.
ไม่กี่วินาที เสียงประตูเปิดพร้อมร่างสูงของผู้ชายอีกคนที่เดินเข้ามา สูทดำสนิท ทรงผมเรียบ สีหน้าเยือกเย็นแบบเดียวกับเจ้านายของเขา
จางเหวย บอดี้การ์ดส่วนตัวที่ไม่เคยถามเกินจำเป็น
เสิ่นจวิ้นพูดโดยไม่หันมอง ดวงตาคมจับจ้องที่วิวกรุงเทพฯ ยามค่ำคืน
“ฉันไม่สนว่าเธอชื่ออะไร...แต่เธอไม่ใช่ลี่หานแน่นอน”
จางเหวยไม่ได้ถามแค่รอฟังคำสั่งถัดไป
“จากนี้ไป...จับตาดูเธอ”
“ไม่ต้องเข้าใกล้มาก แค่ให้รู้ว่าเธอมีพิรุธอะไรบ้าง”
“เวลาเธอหลุด...ฉันอยากเป็นคนเห็นก่อนคนอื่น”
“รับทราบครับ นายท่าน” จางเหวยพยักหน้ารับคำสั่ง พลางหันหลังจะออกจากห้อง
เวลาปัจจุบัน...
ต้าเหรินเพนต์เฮ้าส์
เสียงประตูลิฟต์ส่วนตัวเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบงัน ลี่เหม่ยก้าวเท้าออกมาช้าๆ สัมผัสแรกของบ้านใหม่ชั่วคราว คือความหรูหราที่แทบจะสะท้อนหน้าตัวเองกลับมาจากทุกมุมผนัง
เพนต์เฮ้าส์บนชั้นสูงสุดของตึกต้าเหริน กรุ๊ป ใหญ่พอจะจัดงานเลี้ยงย่อมๆได้ภายในห้องนั่งเล่นเดียว พื้นไม้แท้สีเข้มตัดกับผนังหินอ่อนและเฟอร์นิเจอร์สีครีมสะอาดที่ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างเป็นระเบียบ เนี้ยบ และเย็นชาราวกับเจ้าของไม่เคยมีหัวใจ
หรือ...แค่ไม่เคยใช้
กระเป๋าเดินทางของเธอถูกวางไว้เรียบร้อยโดยคนของเสิ่นจวิ้น คนตัวเล็กมองไปรอบๆห้อง พลางถอนหายใจเบาๆเดินเข้าไปในห้องนอนที่ถูกจัดไว้
ภายในห้องที่ทุกอย่างดูถูกออกแบบไว้อย่างสมบูรณ์ ทว่าเธอกลับรู้สึกตัวเองเล็กลงเรื่อยๆ...เล็กจนน่าขัน
ร่างบางลุกขึ้นจากขอบเตียงอย่างฝืนๆ เดินไปหยุดหน้ากระจก มองเงาสะท้อนของตัวเอง ผมถูกรวบหลวมๆหลังการอาบน้ำ ใบหน้าสดดูซีดกว่าปกติ ดวงตาบวมแดงเล็กน้อยแม้จะไม่ได้ปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเปิดเผย แต่เพราะเธอกำลังจะทำในสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเงื่อนไขของข้อตกลง
'สารภาพความจริง'
เสียงเปิดประตูดังขึ้นในห้องที่เงียบเกินไป
ใบหน้าหมวยหันขวับไปตามสัญชาตญาณและพบว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น
เสิ่นจวิ้นยังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ร่างสูงโปร่งทอดเงาทาบเข้ามาในห้อง เดินตรงเข้ามาอย่างเงียบงัน ดวงตาคมกริบจ้องตรงมาชวนให้อึดอัดเหมือนมองทะลุเข้าไปถึงใจกลางความคิดของเธอ
ลี่เหม่ยยืนนิ่งอยู่หน้ากระจก มือเล็กกำมือแน่น สูดหายใจลึกจนอกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“คุณเสิ่นจวิ้น...ฉันมีเรื่องจะบอก”
ร่างสูงเดินเข้ามา หยุดยืนห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว ดวงตาคมจ้องตรงมาดุดัน จับผิดและนิ่งเกินกว่าที่ควรเป็น
คนตัวเล็กกลั้นหายใจไปชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจเริ่มพูดต่อ
“ฉัน...ไม่ใช่ลี่หาน ฉันคือ...”
“พอแล้ว!!!” เสียงทุ้มต่ำของเขาตัดบททันที ราบเรียบ แต่หนักแน่นจนแทบสะท้าน ดวงตาคู่นั้นกดลึกลงอย่างเยือกเย็นเหมือนเขาเลือกแล้วว่าจะไม่ฟัง
เสิ่นจวิ้นก้าวเข้ามาช้าๆ อย่างไม่ละสายตาจนกระทั่งเขายืนอยู่ใกล้พอให้ลี่เหม่ยรู้สึกถึงแรงลมหายใจที่แตะผิวแก้มเบาๆ
“อย่าเพิ่งคิด...ว่าฉันจะไล่เธอไปไหน” เขาเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงเย็นเฉียบแต่พอจะฝังลึกลงในกระดูก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากไม่ใช่เพราะอารมณ์ดี แต่เพราะเขารู้ว่าใครเป็นฝ่ายควบคุมเกม
ลี่เหม่ยยืนนิ่ง หัวใจเต้นแรงจนแทบกลบเสียงรอบตัว เงยหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างดื้อรั้น ทั้งที่รู้ดีว่าในเกมนี้ เธอคือคนที่อ่อนแอกว่าโดยสิ้นเชิง
'คุณรู้อยู่แล้ว...แต่คุณยังยอมแต่งงานกับฉันงั้นเหรอ?' เสียงนั้นก้องอยู่ในหัว แต่ไม่หลุดออกจากริมฝีปาก
"..."
เขาไม่ได้พูดอะไรอีกไม่แม้แต่ปรายตามามอง ก่อนหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำ
ทิ้งให้เจ้าสาวตัวปลอมนั่งอยู่กลางเตียงหรูคนเดียวกับความจริงที่ไม่อาจหลอกใครได้อีก...แม้แต่ตัวเอง
"นี่...ฉันเป็นนักแสดงที่แย่ขนาดนั้นเลยหรอ!?" เสียงหวานพึมพำอย่างท้อใจ
ดวงตากลมโตจ้องมอง เตียงขนาดคิงไซซ์ ผ้าปูสีเทาเข้มเรียบตึงเหมือนโรงแรมระดับห้าดาว เธอล้วงเข้าไปหยิบ ‘สมุดเล่มเล็ก’ ที่ซ่อนมาจากบ้านแม่
มือเล็กเปิดหน้าว่างแผ่นใหม่ ใช้ปากกาสีแดงวงกลมเลข "1" แล้วเขียนบรรทัดล่างสุด
'180 วัน ต้องรอดให้ได้...ไม่ใจอ่อน ไม่หวั่นไหว ไม่สนใจเขา'
เสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ร่างเล็กสะดุ้งวาบ
เสิ่นจวิ้นเดินออกมาช้าๆ ในชุดคลุมอาบน้ำผ้าฝ้ายสีเข้ม ร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างพาดผ้าเช็ดผมบนคอ ท่าทางไม่ได้ตั้งใจจะยั่วใคร แต่กลับทำให้ห้องทั้งห้องร้อนขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มอุณหภูมิ
ชุดคลุมหลุดจากบ่าเล็กน้อย ผิวขาวซีดตัดกับเนื้อผ้า เส้นผมเปียกชื้นแนบหน้าผากข้างหนึ่ง
แก้เนียนใสขึ้นสีระเรื่อ เธอหลุบตาลงทันทีรีบเดินไปที่กระจกหน้าต่างข้างเตียง
“ไม่ร้อนเลยจริงๆ” เธอบ่นกับตัวเอง มือเรียวเล็กกลับยกแตะแก้มที่เห่อร้อน พลางแอบแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ
เขาเหลือบตามองเธอผ่านเงากระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่สะท้อนอีกด้าน แววตาเรียบเฉย ริมฝีปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าหนาว ก็บอก ฉันจะปรับอุณหภูมิให้” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ขณะเช็ดผมต่อ
“ฉันไม่ได้หนาว!” ลี่เหม่ยหันขวับ
“งั้นก็ร้อน...” เขาวางผ้าเช็ดผมลงบนเก้าอี้พนักพิง ก่อนเดินเข้ามาใกล้โน้มหน้าเล็กน้อย “ร้อนเพราะฉันเหรอ?”
ร่างบางถอยกรูด กำมือแน่นตอบเร็วอย่างเสียจังหวะ
“คุณเสิ่น! อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ฉันแค่...แค่...กำลังเช็กว่ากระจกสะอาดพอรึยัง!”
ใบหน้าหล่อยกยิ้มมุมปากแล้วเดินผ่านเธอไปเงียบๆ ทิ้งกลิ่นสบู่สะอาดเจือจางไว้ในอากาศ
ค่ำคืนแรกในฐานะสามีภรรยา...ที่ไม่มีคำว่า 'ข้าวใหม่ปลามัน' มีเพียงความเงียบที่แน่นขนัด แรงกดดันที่คล้ายอากาศหนาแน่นเกินจะหายใจ
แสงไฟหัวเตียงสลัวสร้างเงาอ่อนบนผนังสีขาวครีม คนตัวเล็กลากหมอนข้างมายาวหนึ่งเมตรเต็มแล้ววางพาดกั้นกลางเตียงแบบไม่มีความเกรงใจแม้แต่นิดเดียว เธอจัดหมอนใบเล็กสามใบไว้ฝั่งตัวเองเรียบร้อย แล้วกระโดดขึ้นเตียงด้วยท่าทางเหมือนจะตั้งแคมป์ในป่า
ร่างสูงที่เพิ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ปลายเตียง มองความอลังการของแนวป้องกันหมอนที่เธอสร้างขึ้น
“เธอใช้หมอนเยอะกว่าฉันอีก แบบนี้ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าบ้าน?” เขาพูดเสียงเรียบ สายตาหยุดอยู่ตรงหมอนข้างอย่างดูเอาเรื่อง
“ฉันไม่ได้เป็นเจ้าบ้านค่ะ ฉันเป็นแค่เมียตัวปลอม...ที่รอวันเกษียณ” ลี่เหม่ยยักไหล่แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงจมูก
เสิ่นจวิ้นเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนโยนหมอนข้างที่ตัวเองใช้กอดลงข้างเตียงแล้วขึ้นเตียงนอนฝั่งของเขา ท่าทางเรียบเฉยเหมือนคนไม่มีความรู้สึก แต่ตาคู่นั้นยังไม่หลุดจากเธอแม้แต่นิด
“เธอคิดว่าเกษียณง่ายๆงั้นเหรอ?”
“แล้วคุณคิดว่าแต่งงานปลอมๆ มันโรแมนติกเหรอคะ?” เธอถามกลับแบบไม่กลัว “อย่าหวังว่าฉันจะเขิน เพราะฉันจำวันหย่าได้แม่นกว่าวันครบรอบแต่งงานซะอีก”
“ดี” เสียงทุ้มต่ำตอบกลับ “จะได้ไม่มีใครหลงผิดคิดไปเองว่าเรากำลังมีชีวิตรัก”
บรรยากาศบนเตียงเริ่มตึงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนที่เธอจะหลับตาตัดบท เขากลับพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงโคตรจะเย็นชาแต่กลับชัดเจน
“แม้จะปลอม แต่เธอยังเป็นเมียฉัน...ใครก็ห้ามแตะ เข้าใจไหม ลี่เหม่ย”
คราวนี้เธอหันไปสบตาเขาตรงๆ ดวงตาเป็นประกายวาววับเหมือนแมวจะข่วน 'ในเมื่อเขารู้...ฉันก็ไม่จำเป็นต้องปิด'
“งั้นคุณก็อย่าแตะเหมือนกันนะคะ โดยเฉพาะตอนละเมอ”
“ฉันไม่ละเมอ”
“ไม่แน่หรอกค่ะ...คนที่ดูเงียบมักชอบเผลอพูดความรู้สึกตอนนอน”
ใบหน้าหมวยยิ้มเยาะแบบคนได้เปรียบ
ทั้งสองนอนหันหลังให้กันคนละฝั่งของเตียง โดยมีแนวหมอนข้างกั้นกลางไว้