ตอนที่ 4
ผู้พยากรณ์
....เรือนใหญ่ของพ่อครูช่างร้อนยิ่งนัก
“วิไลกินอะไรมารึยังจ้ะ กินมื้อเช้าก่อนมั้ยวันนี้มีแกงปลาช่อนมะรุมเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ซดร้อนๆคล่องคอมากเลย” จำปา เอ่ยถามเบาๆ เมื่อเห็นว่า วิไล เอาแต่ชะเง้อคอมองไปยังเรือนใหญ่ด้วยความกระวนกระวาย
“ไม่ต้องห่วงคุณภพหรอกจ้ะ พ่อครูกำลังดูแลอยู่”
“ไม่กิน! กูไม่หิว”
วิไล หันมาตะคอกเสียงแข็งเมื่อเห็น หน้าสวยยกชามมาวางใกล้ๆ แค่ได้กลิ่นมะรุมก็สะอิดสะเอียนจนจะอาเจียนแล้ว ผักอะไรเหม็นฉุนไม่เห็นจะน่ากินตรงไหน
“เออ มันไม่กินก็ไม่ต้องยกไปดอกจำปา”
เสียง สร้อย ตะโกนมาแต่ไกล ขณะกำลังอยู่หน้าเขียงและแล่ปลากับเนื้อวัวสด เพื่อเตรียมจะทำเนื้อแดดเดียวไว้กินในมื้อต่อไปอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมของเนื้อสดนั้นโชยมาแตะจมูกของ วิไล จนหล่อนต้องหันกลับไปมอง และกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก
“เอาเนื้อวัวสดมาจากไหนรึ?”
วิไล สาวเท้าเข้าไปใกล้มองก้อนเนื้อใหญ่ในถังไม้ด้วยสายตาวาววับ นั่นทำให้ สร้อย ชะงักมือที่จับมีดและหันมามองหน้าของหล่อนอย่างฉงน
รึว่า! จะจริงอย่างที่ กล้ากับเข่ง พูดคุยกัน
“วัวพ่อครูนี่แหละมันตายเมื่อวาน แบ่งพูด(แบ่งเนื้อเป็นกองด้วยไม้ไผ่) กันเรียบร้อยแล้วข้าจะเอามาทำเนื้อแดดเดียว”
กระนั้น สร้อย ก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ
“เนื้อแดงน่ากินเหลือเกิน ฉันหิวอยากกิน”
“ถ้าอยากกินเดี๋ยวข้าตักให้ พี่กล้าต้มไว้ตั้งแต่เช้าแต่ยังไม่เปื่อย เอ็งรออีกหน่อยสักสองชั่วโมงคงได้กิน แต่ส่วนนี้ข้าจะเอามาทำแดดเดียวเอ็งกินไม่ได้”
สร้อยรีบลุกขึ้นแล้วยกถังออกห่าง ก่อนจะเอากระด้งมาปิดทับตามด้วยครกใบใหญ่ด้วยเกรงว่าชิ้นเนื้อจะอันตราธานหายไป นั่นทำให้หน้าของ วิไล เจื่อนลงเล็กน้อย
“ทำไมต้องต้มมันจะอร่อยเช่นไร ทำไมไม่ก้อยดิบ”
วิไลแย้งอย่างหัวเสีย มองตามถังที่ปิดไว้มิดชิดด้วยความหงุดหงิดใจ แต่รู้ว่าจะมาทำอะไรยุ่มย่ามที่เรือนพ่อครูไม่ได้เด็ดขาด เพราะทั้งคาถาอาคมที่วางไว้โดยรอบ และไหนจะสารพัดผี ที่รายล้อมหล่อนจึงพยายามสะกดกั้นความอยากไว้อย่างเต็มที่
“พวกข้าไม่ชอบกินก้อยดิบ เห็นทางอนามัยอำเภอเขาบอกมันมีพยาธิจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ามึงอยากกินรอรอบหน้า เพราะตอนนี้ต้มไปหมดแล้ว เหลือแค่ไว้พอทำแดดเดียวแค่นี้”
สร้อย ลุกขึ้นถอยห่างเตรียมยกปลาวางเรียงในกระด้ง
คล้ายไม่สนใจท่าทีของ วิไล เท่าใดนัก เขาว่ากันว่าปอบนั้น หากเราแข็งใส่และไม่เปิดทางให้มัน ไม่สบตาไม่แสดงท่าทีอ่อนใส่ มันจะไม่มีทางทำอะไรเราได้ อีกอย่างทุกคนในเรือนล้วนมีตะกรุดว่านกันปอบที่พ่อครูให้ใส่บูชาทุกคน และยังไม่มีใครในเรือนโดนปอบเข้าสิงเลยสักครั้ง
วิไล จึงถอยห่างจากสร้อย อย่างหัวเสีย
ก่อนจะหันหน้ามามองจำปา สลับกับมองไปยังเรือนชั้นสองที่พิธีการยังไม่เสร็จสิ้น หล่อนกำมือเข้าหากันแน่น ริมผีปากเหยียดเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง
“ฝากไว้ก่อนเถอะ กูไม่ยอมปล่อยพี่ภพง่ายๆแน่”
เอ่ยเสร็จหล่อนก็เดินกระทืบเท้าออกจากลานครัวไปอย่างรวดเร็ว จำปาได้แต่มองตามร่างระหงของวิไล ด้วยความกังวล ใจครุ่นคิดว่าสิ่งที่ได้ทำไปก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีผลต่อเหตุการณ์หลังจากนี้เลยแม้แต่น้อย
บางเรื่อง ...เราไม่อาจฝืนชะตาได้จริงๆ
“อย่ากังวลเลยพี่จำปา”
เสียงบอกจากด้านหลัง ทำให้หญิงสาวหันหลังกลับไป แล้วพบกับร่างบางของเด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสวยผุดผาด ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ไม่ต่างจากเธอนัก
หล่อนคือ จำปี หลานสาวของจำปา
เด็กสาวอายุสิบแปดปีที่อาศัยอยู่บ้านโนนแฮก ว่ากันว่าตอนเด็กนั้น จำปี เป็นเด็กประหลาด เกิดมาไม่พูดคุยกับใครแม้แต่พ่อแม่ของตนจนอายุเกือบสิบห้าจึงได้พูดออกมาประโยคเดียว ว่าพ่อกับแม่ของตนจะตายภายในสองวันนี้
และหลังจากนั้นพ่อกับแม่ของจำปี ก็ตายเพราะฟ้าผ่า ขณะออกไปทำนาในวันฝนตก
นั่นทำให้ญาติๆและคนในหมู่บ้านไม่ชอบเด็กคนนี้นัก
จำปี เก็บตัวเงียบหลังพ่อแม่ตาย เธอใช้ชีวิตในกระท่อมหลังเล็กเพียงลำพัง และชอบพูดจาแปลกๆ กับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น และสิ่งนั้นจะเป็นจริงเสมอ
ตาสอนเองก็ได้แต่ดูแลหลานอยู่ห่างๆ
จำปา เองนั้นรับรู้ถึงความน่าสงสารของ เด็กสาวคนนี้ดีและเกรงว่าเธอจะมีจุดจบที่ไม่ดีดั่งเช่นลูกสาวคนโตของวิไล กับผัวเก่า จึงพาจำปี มาอยู่ในเรือนเล็กที่นี่
อย่างน้อยนี่ก็คือตัวละคร ที่สำคัญคนหนึ่งในเรื่อง
“จำปีตื่นแล้วรึ เห็นว่าเมื่อคืนไม่สบายพี่เลยไม่อยากกวน”
หน้าขาวนั้นพยักเล็กน้อย ก่อนจะย่อกายลงนั่งยังแคร่ไม้ไผ่ หลังเดินไปตักข้าวสวยใส่จานเรียบร้อยแล้ว
“ฉันจะไปช่วยพี่สร้อยตากปลานะจ้ะอย่าไปตากทางทิศใต้นะ ไม่งั้นหมาจะมาคาบไปกินหมด เดี๋ยวฉันจะเอาไปตากให้เอง”
คำบอกของ จำปี ทำให้สร้อยชะงักเล็กน้อย
“มึงรู้ได้ยังไงวะจำปี”
ทำไมนะ แต่ละคนที่เข้ามาในเรือนต้องมีกริยาแปลกๆ ชวนขนหัวลุกกันแทบทุกคน ...สร้อยคิดในใจ
“วันนี้ไม่ไปต้องไปเก็บสายบัวนะพี่ เตรียมทำคอกวัวล้อมกันให้ดี เพราะไอ้ตู้อาจจะแหกคอกหายได้ ระวังมันจะเดินไปทางทิศเหนือ”
จำปี ยังคงเอ่ยต่อ ขณะที่ก้มหน้าจัดการกับข้าวอย่างตั้งใจด้วยความเอร็ดอร่อย
สร้อย ได้แต่หันหน้ามามองจำปา ด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่เด็กสาวคนนี้มาอยู่ที่เรือนนี้ เป็นครั้งแรกที่เธอพูดประโยคยาวๆเช่นนี้
“ไอ้ตู้จะหายรึ?”
“ใช่แต่เย็นๆ มันจะไปอยู่นาทางทิศเหนือข้างสระบัวแดง ...และก็ผู้ชายที่อยู่บนเรือนน่ะ เขาไม่มีทางหายง่ายๆหรอกนะ”
จำปา หันไปมองบนเรือนอีกครั้ง
ผู้ชายบนเรือน ...หมายถึงคุณภพ อย่างงั้นรึ?
*********************