รุ่งเช้ามาถึงจางลี่ซือจึงได้สติ หมอเข้ามาตรวจตามหน้าที่ เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอันใดเนื่องจาการเสียเลือดมากเกินไปนางก็ลุกขึ้นเก็บของกลับ
“เอ่อ หากคุณหนูจางยังต้องการพักผ่อน ข้าจะไปกราบทูลหยางอ๋องให้ขอรับ”
“ไม่เป็นไร ข้ารู้ตัวเองดี ขืนให้เจ้าไปพูดให้ก็คงมิวายทำให้ข้าดูน่าสมเพชไปมากกว่านี้ อีกอย่างข้าจะให้หยางอ๋องพูดกลับคำได้เยี่ยงไร? หยางอ๋องพูดต่อหน้าทหารที่บาดเจ็บรวมถึงพวกเจ้าว่าอย่างไรคงจำได้ หากข้ายังอยู่ต่อรังแต่จะทำให้ชื่อเสียงหยางอ๋องแปดเปื้อน”
“กระนั้นก็ตามใจท่าน คุณหนูจาง”
สตรีตัวน้อยถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่อยากกลับคืนสู่ตระกูล แม้การอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้สตรีเลยสักนางจะค่อนข้างลำบาก แต่บุรุษที่นี่ก็คือคนของอันตงหยาง และตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ไม่มีแม้สายตาที่จะมองจากงลี่ซือในเชิงชู่สาว ทำให้นางสะดวกใจหากได้อยู่ที่นี่ต่อแม้จะไร้สตรีมิตรสหาย
จางลี่ซือเดินมาถึงรถม้าที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ คนมาส่งนางมีเพียงเจียวลู่และเจียวจิ้นเท่านั้น เจียวจิ้นผู้ที่ใกล้ชิดกับอันตงหยางที่สุดมาในตัวแทนของอันตงหยาง นางก้าวขึ้นรถม้าโดยไม่อำลาผู้ใดมีเพียงเสียงของเจียวลู่บอกลาให้นางกลับสู่เมืองกลวงอย่างปลอดภัยเพียงเท่านั้น
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากดินแดนทางเหนือ หัวใจของนางหวาดหวั่นยิ่งนักเมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องพบเมื่อกลับคืนสู่ตระกูล นางร่ำไห้ออกมาด้วยความสิ้นหวังตลอดทั้งการเดินทาง
ในตอนนั้นเองที่นางคิดขึ้นได้ว่า…
…กลับไปก็มิต่างอะไรกับตายทั้งเป็น เช่นนั้นข้ายอมเสี่ยงอยู่ท่ามกลางปีศาจยังดีเสียกว่า!...
รถม้าเคลื่อนมาจนถึงเมืองแห่งหนึ่ง กว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงใช้เวลาค่อนข้างนานจึงต้องพักที่นี่หนึ่งคืน นางประทับใจกับการดูแลของเหล่าองครักษ์ เพราะตอนมานางเดินทางยาวไม่ได้หยุดพักสักนิดพาให้เหนื่อยล้า
เมื่อขึ้นห้องมาได้นางก็ตัดสินใจปีนหน้าต่างออกไป แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางหากทว่าในยามนี้เป็นการดีที่จะหนี ช่วงเวลาที่องครักษ์กำลังจัดเวรกันอยู่นั้นคงไม่มันสังเกตเห็นนาง แต่แล้วนางก็ก้าวพลาดทำให้ตกลงมากองอยู่กับพื้น โชคดีที่โรงเตี๊ยมแค่สองชั้นไม่ได้สูงมากมายแต่ก็สร้างความปวดร้าวให้นางได้
จางลี่ซือดึงปิ่นปักผมออกปล่อยผมปลิวไสวไปตามลม เอาดินกลบเนื้อผ้าให้ดูซอมซ่อเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยในฐานะระหว่างทาง แล้วรีบหลบหนีไปทันทีก่อนที่จะโดนจับได้
…อิสระ! ข้าเป็นอิสระแล้ว!!...
นางใช้เงินที่นำติดตัวมาซื้อซาลาเปากินรองท้องแล้วรีบเดินทางออกจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุดด้วยกลัวว่าคนของอันตงหยางจะไหวตัวทันแล้วออกตามหานาง
แต่แล้วความสุขและอิสระก็อยู่กับนางได้ไม่นานราวกับพระผู้เป็นเจ้ากลั่นแกล้ง เสียงตะโกนร้องลั่นพร้อมกับเสียงตีระฆังเตือนภัยดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ
“ปีศาจโจมตี!!”
สายตาของนางเหลือบไปเห็นลูกแมวตัวน้อยบาดเจ็บแถมยังขดตัวสั่น ช่างน่าสงสารเสียจริง นางไม่อาจปล่อยผ่านไปได้จึงเตรียมจะวิ่งไปอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา ทว่าวินาทีต่อมาปีศาจปีศาจในร่างของเสือขาวก็ปรากฏกายขึ้น มันกระโดดเข้ามาในหมู่บ้านสร้างความชุลมุนวุ่นวาย ผู้คนต่างวิ่งเพื่อหนีตายชนเข้ากับสตรีตัวน้อยจนนางล้มลงกับพื้น ที่น่าเจ็บใจที่สุดคือซาลาเปาที่นางเพิ่งซื้อเมื่อครู่และกัดกินไปได้เพียงหนึ่งคำหลุดออกจากมือนางกลิ้งไกลออกไป โดนเหยียบจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม
แม้จะรู้ว่านี้หาใช่สถานการณ์ที่จะมาเสียใจกับซาลาเปาหนึ่งลูกไม่ แต่นางก็น้ำตาคลอด้วยความเสียดาย
…เงินข้ามีจำกัดแล้วของกินยังจะหล่นอีก…
“ตามหาคุณหนูจาง!!”เสียงที่ได้ยินมาแต่ใกลทำให้นางสะดุ้งและลืมสิ้นซึ่งความเสียใจที่มีให้แก่ซาลาเปาลูกนั้น ก่อนจะรีบวิ่งไปในฝูงคนเพื่อแฝงตัวพร้อมทั้งหลบหนีจากปีศาจไปในตัวด้วย
นางวิ่งหนีเบียดเสียดกับผู้คนและคิดว่ารอดูแล้ว ทว่าเมื่อกันกลับไปมองด้านหลังกลับพบสิ่งผิดปกติ
…ปีศาจตัวนั้น…
ยืนนิ่งท่ามกลางผู้คนก่อนจะตัดสินใจเดินสวนกับชาวบ้านไปอีกทิศทางหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะอยู่แถว ๆ นี้ นางใช้สายตามองหาทั่วบริเวณจนกระทั่งพบกับลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่า…
…ข้าว่าแล้วเชียว มันไม่ใช่เจ้าแมวแต่เป็นเจ้าเสือต่างหาก…
รู้ได้ทันทีว่าปีศาจที่อาละวาดอยู่ในตอนนี้จะต้องกำลังตาหาลูกของมันอยู่แน่ ๆ นางถอนหายใจก่อนจะเตรียมปักปิ่นลงบนฝ่ามือเพื่อใช้เลือดรักษาอาการบาดเจ็บให้ลูกเสือตัวนี้ ทว่าในตอนนั้นเองร่างของนางกลับถูกตะปบกระเด็นไปไกลแล้วนางก็หมดสติไปทันที
อันตงหยางพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเมื่อรับรู้ว่ามีปีศาจโจมตีก็รีบบุกเข้ามาช่วยทันที กองกำลังโอบล้อมปีศาจเสือขาวเพื่อจัดการให้มันสิ้นฤทธิ์ ดวงตาเรียวตวัดมองไปที่ร่างบอบบางซึ่งถูกปีศาจเสือเมื่อครู่ตะปบแล้วรีบเข้าไปช่วยนางทันที
โอบช้อนตัวนางขึ้นมาแนบอกพร้อมกับสำรวจบาดแผล
แผ่นหลังของนางเป็นรอยกรงเล็บปีศาจเสือขาวขนาดใหญ่ แผลเหวอะหวะยากต่อการรักษา แถมกลิ่นพิษยังรุนแรงมากเสียจนอันตงหยางคิดว่านางคงไม่รอดแล้ว หากทว่าบาดแผลนั้นกลับกำลังค่อย ๆ สมานเข้าหากัน แม้มันจะช้ามากแต่บาดแผลของนางก็เล็กลงเรื่อย ๆ อันตงหยางขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะใช้ผ้าคลุมตวัดรัดตัวนางแล้วช้อนขึ้นมาในวงแขนแกร่ง
อันที่จริงอันตงหยางอยากเรียกหมอให้มาดูอาการของนางทันที แต่ไม่เป็นการดีแน่หากใครมาเห็นในตอนที่ร่างกายนางกำลังรักษาตัวเอง
การปราบปรามปีศาจเสร็จสิ้นพอดีเพราะเมื่อปีศาจเสือตัวนั้นเจอลูกของมันก็ใช้ปากคาบแล้ววิ่งเข้าป่าไปทันที หากเป็นปีศาจทั่วไปก็อาจจะต้องตามไปปราบ ทว่าดูเหมือนเจตนาของมันเพียงแค่มาตามหาลูกที่พลัดหลงเท่านั้น
“กลับตำหนัก”
สิ้นประโยคนั้นทหารส่วนหนึ่งก็เตรียมขบวนกลับทันที ทหารจำนวนหนึ่งและหมออยู่คอยช่วยชาวบ้าน
เมื่อเดินทางมาถึงตำหนักก็รีบพาจางลี่ซือขึ้นไปบนห้องทันทีพร้อมทั้งให้หมอตรวจดูอาการ จับร่างนางให้นอนคว่ำเพื่อให้สะดวกในการตรวจดูบาดแผล
“แม้ภายนอกกำลังรักษาตัวเอง แต่ภายในยังคงมีพิษของสัตว์ปีศาจอยู่พะยะค่ะ”
หมอรายงานอาการของจางลี่ซือตามความจริง อันตงหยางนิ่งไปครู่หนึ่ง ทอดสายตามองร่างบางที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตีียงก่อนจะกล่าวว่า…
“จัดเตรียมตามสมควร ติดตามอาการนางด้วย”
“กระหม่อมจะเตรียมยาแก้พิษให้นางพะยะค่ะ”
ยกมือขึ้นโบกไล่ ทำให้ตอนนี้ภายในห้องเหลือแค่อันตงหยางและจางลี่ซือเพียงสองคนเท่านั้น สายตาที่มองนางนั้นยากที่จะคาดเดาความรู้สึก
อันตงหยางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งคำสั่งให้เจียวลู่คอยดูแลนาง
วันต่อมาจางลี่ซือลืมตาตื่นขึ้น ความทรงจำล่าสุดนางยังจำได้ แต่เมื่อผุดลุกขึ้นก็ต้องแปลกใจกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย อีกทั้งยังสภาพแวดล้อมที่คุ้นตานี่อีกด้วย
เจียวลู่ที่อารักขาอยู่ด้านนอกเมื่อรับรู้ว่าคนด้านในตื่นแล้วจึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับโค้งตัวให้เล็กน้อย
“ตื่นแล้วหรือคุณหนูจาง ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่?”
“…”จางลี่ซือนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะขยับริมฝีปากเป็นคำถามออกมา”ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ข้าจำได้ว่าข้า…”
“หลบหนีจากองครักษ์ของหยางอ๋อง ไปช่วยปีศาจเสือจนโดนแม่ของมันตะปบตัวปลิวน่ะหรือขอรับ”
“…”
จางลี่ซือถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าอันตงหยางคงรู้เห็นทุกอย่าง
“ละ แล้วลูกเสือตัวนั้น”
“ได้พบเจอกับแม่ของมันแล้วกลับเข้าป่าไปแล้วขอรับ”
ได้ยินดังนั้นนางก็โล่งใจ อาการบาดเจ็บไม่ได้ดูรุนแรงมากหากได้อยู่กับแม่ของมันก็น่าจะเป็นยาใจที่ช่วยให้อาการดีขึ้น
“คุณหนูจางรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ?”
นางมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย ที่ว่ารู้สึกนี่หมายถึงเรื่องใดกัน เจียวลู่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายต่อว่า
“แม้บาดแผลภายนอกจะหายดีแล้ว แต่ภายในร่างกายของคุณหนูจางยังคงมีพิษอยู่ หยางอ๋องจึงอนุญาตให้คุณหนูจางพักฟื้นที่นี่สักระยะขอรับ”
…มิน่าล่ะข้าถึงได้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่แผ่นหลังเช่นนี้…
“ก็รู้สึกปวด ๆ แสบ ๆ นิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะขอรับ เดี๋ยวข้าจะเตรียมสำรับมาให้”
“เดี๋ยวก่อน คะ คือว่า…ข้าขอเข้าเฝ้าหยางอ๋องได้หรือไม่?”
“ข้าจะทูลหยางอ๋องให้ขอรับ”
จางลี่ซือพยักหน้ารับ มองเจียวลู่เดินออกไป หันกลับมาจดจ่ออยู่กับตัวเอง เมื่อแผลสมานหายดีแล้วก็ไร้ซึ่งความเจ็บปวดเพียงแต่ต้องรักษาอาการภายในให้ดี แต่นางไม่เคยรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษมาก่อนจึงไม่รู้ว่าบาดแผลที่ติดพิษจะยังคงมีพิษอยู่ภายในด้วย ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองหายดีแล้วและไม่อยากรบกวนอันตงหยางไปมากกว่านี้ นางไม่อยากกลายเป็นสตรีเห็นแก่ตัวในสายตาอันตงหยางไปมากกว่านี้
ไม่นานนักเจียวลู่ก็นำข่าวดีมาบอกนางว่าอันตงหยางอนุญาตให้นางเข้าเฝ้า
เจียวลู่นำทางมาถึงสระนำที่อยู่หลังตำหนักของอันตงหยาง เป็นสระน้ำที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ จางลี่ซือมองอย่างเพลิดเพลิน หากนางได้อาบน้ำในที่แห่งนี้คงจะมีความสุขไม่น้อย
เมื่อมาถึง จางลี่ซือก็ค่อย ๆ เดินไปย่อกายคำนับก่อนจะคุกเข่านั่งลงเยื้องด้านหลังของอันตงหยาง พร้อมทั้งกล่าวว่า…
“ถวายบังคมเพคะหยางอ๋อง หม่อมฉันขอบพระทัยในน้ำใจของหยางอ๋องที่ให้หม่อมฉันพักที่นี่ แต่ว่าหม่อมฉันมิอาจรบกวนหยางอ๋องไปมากกว่านี้แล้วเพคะ”
“ลงมาสิ”
“เพคะ?”
“ถูหลังให้ข้า…หรือเจ้าจะปฏิเสธ?”
“หะ หามิได้เพคะ”รีบกุลีกุจอลุกขึ้นแล้วหย่อนกายลงสระน้ำ
เพราะเป็นสระน้ำธรรมชาติพื้นจึงเป็นดินธรรมชาติที่ค่อนข้างลื่น จางลี่ซือก้าวพลาดหน้าคว่ำลงน้ำ ด้วยความตกใจทำให้สูดหายใจแต่เพราะตกลงมาในน้ำจึงกลายเป็นสูดน้ำเข้าไปแทน
เวลาต่อมาเอวบางก็ถูกแขนแกร่งเกี่ยวขึ้นโผล่พ้นน้ำ โอบกอดนางแนบชิดกาย จางลี่ซือตวัดแขนโอบกอบลำคอแกร่งด้วยความหวาดกลัวแล้วสำลักน้ำอยู่พักใหญ่ ขาของนางไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำทำให้นางยิ่งโอบกอดบุรุษตรงหน้าแน่นด้วยความรักตัวกลัวตาย
อันตงหยางก้มลงมองสตรีในอ้อมกอดนิ่ง ไม่อาจคาดเดาสายตาได้เลยว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แขนแกร่งโอบกระชับเอวบางแล้วพาเคลื่อนตัวไปยังฝั่งที่มีเจียวลู่คอยรอรับอยู่ ทว่าสายตากลับจดจ้องมองเนินอกคู่สวยที่แม้อาภรณ์จะแนบเนื้อแทบไม่โผล่พ้นออกมาแต่ก็เห็นว่าเป็นเต้าอวบชัดเจน อีกทั้งสตรีผู้นี้ยังโอบกอดจนร่างแนบชิดบดเบียดทรวงอกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว และนั่นทำให้เขาชะงัก
ยกมือขึ้นโบกไล่องครักษ์ทั้งหมด จึงเหลืออันตงหยางและจางลี่ซือเพียงลำพัง…