เป็นอีกครั้งที่สามีเลือดเย็นตอกย้ำความเจ็บปวด ด้วยการสาดคำพูดที่เหมือนกับสาดน้ำเกลือราดลงบนหัวใจที่มีแผลเหวะหวะเลือดไหลนอง ความปวดแสบทุรนทุรายแผ่กระจายร้าวระทมลุกลามไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ มธุมาสกัดริมฝีปากแน่น อยากให้ตัวเองหยุดหายใจไปเสียเดี๋ยวนี้ หากมันจะช่วยให้เธอปวดใจน้อยลงกว่านี้อีกสักนิดหนึ่ง
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเป็นห่วง ทีหลังพริมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ พริมจะไม่ยอมให้ลูกของเราเป็นอะไรไปเด็ดขาด”
พิมพ์รวีซุกอยู่ในอกกว้างอย่างออดอ้อน เอื้อมมือกุมมือหนามาลูบหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ เพราะเริ่มตั้งครรภ์ได้เพียงหกสัปดาห์เท่านั้น
ภาพพ่อแม่ที่แสดงความห่วงหาอาทรลูกน้อยในท้องช่างบาดตาบาดใจคนมองเกินจะทนไหว มธุมาสเบือนหน้าหนี หัวตายิ่งปวดตุบๆ ลามร้าวไปถึงขมับ ยามเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของสามีมอบให้คนอื่น หัวใจของเธอก็เหมือนถูกเขาเด็ดขั้วเขวี้ยงลงมาที่พื้น แล้วบดขยี้ให้แหลกลาญคาฝ่าเท้า
ปวดได้อีก... แค่หายใจก็ยังรวดร้าวไปทั้งสรรพางค์กาย
ไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บไม่ปวด!
ที่เจ็บยิ่งกว่านั้นคือเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ได้เปรียบในเกมรักเกมนี้ แม้เธอจะเป็นเมียตบเมียแต่ง มีสิทธิ์เรียกร้องความชอบธรรมได้เต็มที่ ทำได้แม้กระทั่งสั่งให้คนโยนพิมพ์รวีออกไปจากคฤหาสน์เดี๋ยวนี้ แต่จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อหัวใจของกัญจน์เป็นของหล่อน ส่วนเธอเป็นภรรยาแสนชังที่เขาไม่เคยไยดี ได้แค่ครอบครองร่างกายที่เย็นชาไร้ความอบอุ่นไม่ต่างจากซากศพก็เท่านั้น
สิ่งที่ทำได้เสมอมาตลอดการแต่งงานเกือบสี่ปี จึงมีเพียงต้องทนยืนมองยืนช้ำอยู่ในมุมมมืดคนเดียว...
“คุณกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ ผมเสร็จจากงานทางนี้แล้วจะแวะไปหาคุณกับลูก”
“ค่ะ” พิมพ์รวียิ้มรับอย่างว่าง่าย
แม้ใจอยากจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงสำคัญ เพื่อประกาศตัวเป็นภรรยาและแม่ของลูกของผู้ชายเพียบพร้อมอย่างกัญจน์ วัสวัตธาดา ใจจะขาด แต่หล่อนรู้ดีว่าไม่ควรแข็งข้อเอาแต่ใจ กัญจน์ไม่ชอบผู้หญิงดื้อรั้นปกครองยาก เขาชอบคนที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง มอบความสบายใจให้เขาได้ยามที่อยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้หล่อนเอาชนะเมียตีทะเบียนของเขาได้ชนิดแตกกระเจิง
“พริมรักคุณมากนะคะ” หล่อนยื่นหน้าแตะริมฝีปากเข้ากับปากเขาแผ่วเบา แทนจูบร้อนแรงอย่างที่ชอบทำร่วมกันตอนอยู่บนเตียง ไม่อยากทำตัวประเจิดประเจ้อให้เขาไม่ชอบใจ แค่นี้ก็รู้ตัวดีว่าละเมิดข้อห้ามของเขามากพอแล้ว แต่ก็ไม่วายพูดแย็บ
“พริมจะรอวันที่คุณเป็นอิสระ พวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันพ่อแม่ลูกเสียทีนะคะ”
กัญจน์นิ่งเฉย สายตาลุ่มลึกเหมือนผิวน้ำไร้คลื่น ทำให้คนยากจะเดาใจ
“กลับเถอะ” เขาเอ่ยกับคนท้องเสียงนุ่ม จูงมือหล่อนเดินไปส่งถึงประตูรถพร้อมกับเปิดมันออกประคองร่างเพรียวงามอย่างระมัดระวัง ยกมือลูบศรีษะหล่อนแทนการประทับจูบกลางหน้าผากอย่างที่พิมพ์รวีคาดหวัง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับคนรถที่เขาส่งไปเป็นสารถีประจำตัวของคนรักว่า
“ดูแลคุณพริมให้ดีที่สุด” แล้วจึงหันมาเอ่ยย้ำกับคนข้างกายอีกครั้งว่า “ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกผมด้วยนะ”
“ค่ะ” พิมพ์รวีตอบเสียงอ่อย ทำตาละห้อยมีแววผิดหวัง แต่ไม่กล้าเรียกร้อง ได้แต่ปล่อยให้กัญจน์ขยับตัวออกห่างแล้วปิดประตูรถ พยักพเยิดให้คนขับเคลื่อนรถห่างออกไป
มธุมาสมองท้ายรถยุโรปสมรรถนะเยี่ยมแล่นหายลับไปในความสลัวของแสงตะวันพลบเพล้ แล้วหลุบตาลงต่ำ คนที่เขารักจากไป กัญจน์ยังอุตส่าห์มองตามจนลับสายตา เหลือเพียงคนที่อยู่ตรงนี้ข้างหลังเขา หากเขาจะปรายตามองกัน
แต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเลยแม้แต่หางตา...
การแต่งงานที่แลกมาด้วยหัวใจและศักดิ์ศรี ดูถูกตัวเอง ด้อยค่าตัวเอง เหยียบย่ำตัวเองเพื่อคนที่รัก สุดท้ายจบลงด้วยความเจ็บปวดอ้างว้างทรมานอยู่เพียงลำพัง มีแค่กระดาษแผ่นเดียวที่ตราหัวว่าทะเบียนสมรส
ส่วนสามีมีก็เหมือนไม่มี...
ชีวิตคู่ที่เหมือนเรือลำน้อยลอยคออยู่กลางทะเลและคลื่นมรสุม ความแปรปรวนผันผวนคอยสั่นคลอนจิตใจอยู่ทุกวันก็ว่าหนักหนาสาหัสแล้ว จิตใจที่ไม่มั่นคงก็ยิ่งหวาดหวั่นย่ำแย่ มีแต่ความหดหู่ซึมเศร้า แล้วยิ่งมีแค่เธอที่รักอยู่ฝ่ายเดียว ยอมอยู่ฝ่ายเดียว เฝ้าอดทนคอยประคับประคอง ในขณะที่คนร่วมทางคอยแต่หาทางพร้อมจะคว่ำเรือ ทำให้เธอตกน้ำตายจมหายลงไปใต้ก้นทะเลที่น่าสะพรึงได้ทุกเมื่อ
ถามตัวเองอีกครั้งว่า... เธอจะทนอยู่กับความหวาดระแวงและหวั่นกลัวได้อีกสักเท่าไหร่?
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ถึงเธอไม่ช้ำใจตาย ก็ไม่แคล้วได้กลายเป็นบ้าก่อนอยู่ดี!
ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นเจ้าสาวไม่กลัวฝน กล้ายืดอกเชิดหน้าท้าทายพายุฝน ตอนนี้ถึงแม้ทั้งตัวจะเปียกปอนเต็มไปด้วยห่าฝนโหมกระหน่ำและลมกระโชกพัดจนสั่นสะท้านและเจ็บปวดไปทั้งตัว เธอก็แค่ต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัยที่สายฝนจะสาดมาไม่ถึง หาวิธีทำให้ตัวเองอบอุ่นดับความเหน็บหนาวก็เท่านั้นเอง
ถ้า ‘เปียก’ ก็หาวิธีทำให้ ‘แห้ง’
ก็เหมือนกัน... ถ้ามี ‘รัก’ ก็ทำให้ ‘เลิก’ รักได้เช่นกัน
ตอนที่พิมพ์รวีทวงถามสถานะของความเป็นเมียและแม่จากเขา เธอสู้กลั้นใจรอฟังคำตอบจากสามี แม้หัวใจจะกระตุกหล่นวูบเหมือนถูกคนคว้านออกไป แอบทำใจไว้แล้วว่าเขาคงยอมตกลงรับปากจะหย่ากับเธอแล้วแต่งงานกับหล่อน คนไม่รักก็คือไม่รัก ต่อให้เธอทำตัวต่ำต้อยเป็นแค่ฝุ่นละอองใต้เท้าของเขา เธอก็ทำให้ผู้ชายใจหินคนนี้หวั่นไหวไม่ได้
บางที...ทั้งชาตินี้เธอคงไม่สามารถทำให้กัญจน์หันมารักกันดังเดิมได้อีกแล้ว ก็ดีเหมือนกัน จะได้จบๆ กันไปสักที
แต่จนแล้วจนรอด จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม... เขากลับไม่ตอบให้มันหายคาใจกันไปทุกฝ่ายเสียที!
เอาเถอะ...ตอนนี้มธุมาสรู้แล้วว่าสิ่งที่ถืออยู่นั้นหนักเกินไป เพียงแค่ถอยออกมาด้วยการปล่อยมือ เธอก็จะไม่ต้องพบกับความเจ็บปวดอีกแล้ว...
“พี่กัญจน์ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มาร์จะยอมให้พี่กับผู้หญิงคนนั้นทำร้ายกัน”
มธุมาสยิ้มจากดวงตาสู่ดวงใจแทนการล่ำลา ก่อนที่ดวงตาหม่นเศร้าจะแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว มองแผ่นหลังกว้างผ่าเผยของชายที่ครั้งหนึ่งเธอเคยโอบกอดเขาด้วยความรักหมดหัวใจอย่างเย็นชา แววตาหมดแล้วซึ่งความอาลัยอาวรรณ์
ในเมื่อกัญจน์ไม่เลือก... งั้นเธอจะเป็นฝ่ายเลือกเอง!