ในวันรุ่งขึ้น พินดาราเดินมาหยุดหน้าตึกที่เขียนว่าบริษัทสกลเกียรติ หัวใจเธอเต้นตุบตับแทบจะหลุดออกจากอก ก่อนมาเธอไหว้พระขอพรให้ได้งานจากที่นี่ เพราะเงินที่เธอเหลืออยู่น่าจะประหยัดใช้ได้อีกหนึ่งเดือน ช่วงนี้อาหารหลักคงจะเป็นมาม่าไปก่อนก็แล้วกัน
เมื่อวานตอนเย็นเธอแวะไปร้านสะดวกซื้อ ซื้อไข่กับมาม่ามาต้มกิน อย่างน้อยก็ประทังความหิวไปได้บ้าง ชีวิตนี้เธอต้องสู้ เมื่อไม่มีวาดนภาที่คอยปกป้องเธอแล้ว เธอต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
“สวัสดีค่ะ คุณป้องภพนัดดิฉันมาสัมภาษณ์งานค่ะ” หญิงสาวแจ้งกับประชาสัมพันธ์ด้านล่าง เพื่อขอพบคนที่ติดต่อเธอมา
“สวัสดีค่ะ คุณพินดาราใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม
“เชิญขึ้นลิฟต์ฝั่งขวามือชั้นสิบเลยค่ะ” ประชาสัมพันธ์ได้รับการแจ้งจากประธานบริษัทเรียบร้อยแล้ว ว่าจะมีคนมาสัมภาษณ์งานกับเขา หวังว่าเธอคนนี้จะได้งานนะ เพราะใครก็เข้าหน้าไม่ติดเลยตั้งแต่เลขาคนเก่าลาออกไป
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวขึ้นไปตามที่ประชาสัมพันธ์บอก แล้วก็มีห้องที่เป็นห้องใหญ่ที่สุดอยู่เพียงห้องเดียว คิดว่าน่าจะเป็นห้องนี้
เธอเดินไปเคาะประตูก่อนเพื่อเป็นมารยาท แต่ทว่ามีแค่เสียงบอกว่าให้เข้ามาได้ ไม่ได้มีคนมาเปิดให้ เธอจึงถือวิสาสะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปเอง
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ ฉันมาสัมภาษณ์งานค่ะ” เธอมองไปยังโต๊ะของคนที่นัดเธอมาสัมภาษณ์แล้วก็ต้องตกใจกับเอกสารที่กองเต็มโต๊ะ เหมือนกองเอกสารนี้จะไม่เคยมีคนเคยจัดมาก่อน
“คุณนั่งรอก่อน ผมหาเอกสารไม่เจอ” ป้องภพกำลังหัวหมุนหาเอกสารที่จะใช้ประชุมตอนบ่าย แต่มันรกไปหมดจนต้องรื้อ ๆ หา
“เอ่อ...ให้ฉันช่วยไหมคะ” พินดาราเห็นสิ่งของไม่เป็นระเบียบก็รู้สึกขัดหูขัดตาจึงอยากจัดให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อน
“ได้สิ” ป้องภพอยากหาคนช่วยพอดี หากเธอช่วยจัดเอกสารให้เป็นระเบียบได้เขาจะรับเข้าทำงานทันทีเลย
แล้วป้องภพก็ต้องตกตะลึงกับการจัดเรียงเอกสารที่กองเท่าภูเขาของเขาได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใน 20 นาที จนเขาอดอึ้งและทึ่งในความสามารถของเธอไม่ได้
“คุณทำได้ไง” เขาหันมองเธออย่างต้องการหาคำตอบ นี่เป็นคนแรกที่ทำงานได้เร็วขนาดนี้
“เมื่อก่อนเคยอยู่บ้านคุณหญิงแล้วเคยช่วยจัดเอกสารค่ะ” เมื่อก่อนวาดนภาให้เธอช่วยเรียงเอกสารจัดเป็นระเบียบตามหมวดหมู่เรียงตามวันที่ ทำให้เธอรู้จักเอกสารในบริษัทตั้งแต่เด็ก และคอยตรวจเช็กว่าคุณวาดนภาเซ็นเอกสารครบหรือไม่
“ดีจริง ๆ งั้นเรามาสัมภาษณ์จริงจังกันเลยนะ”
“คุณอายุเท่าไหร่”
“22 ค่ะ”
“เพิ่งเรียนจบใหม่สินะ” เขาค่อนข้างแปลกใจ เด็กจบใหม่ทำไมดูไม่กริ่งเกรงเวลาคุยกับเขาเลยสักนิด เธอดูเป็นธรรมชาติมาก
“ใช่ค่ะ”
“คุณมีคนรักหรือยัง” เรื่องนี้ต้องถามไว้เผื่อ หากเกิดทำงานกลับดึกเดี๋ยวจะมีปัญหา เพราะงานเลขาเวลาไม่แน่ไม่นอนเลยสักนิด
“คนรักไม่มีค่ะ แต่เคยแต่งงานและก็หย่าแล้วด้วย” หญิงสาวก้มหน้าอย่างรู้สึกอายที่เป็นหม้ายยังสาวเช่นนี้
“คุณ...แต่งงานแล้วเหรอ” ป้องภพตกใจกับคำตอบที่ได้ยิน
“แต่งในนามน่ะค่ะ ทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ หลังแต่งใช้สถานะภรรยาได้ชั่วโมงเดียวก็หย่าเลย ฟังดูตลกใช่ไหมล่ะคะ แต่ว่ามันคือเรื่องจริง” พินดารายิ้มเศร้าส่งให้เขาเมื่อพูดถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด เหมือนแผลที่ยังสด
“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะครับ” ป้องภพสงสารเธอมากกว่า ต้องเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว
“ช่างมันเถอะค่ะ ชีวิตฉันเริ่มใหม่แล้ว หลังจากนี้ขอให้พบแต่คนดี ๆ ก็พอ” หญิงสาวยิ้มให้เขาอย่างสดใส แม้ข้างในจะหมองเศร้าแค่ไหนก็ตาม
“คุณสะดวกเริ่มงานกับผมวันนี้ไหม ผมมีประชุมช่วงบ่าย” ป้องภพอยากพาเธอไปประชุมด้วยเลย จะได้เรียนรู้งานไปด้วย
“นี่...คุณรับฉันเข้าทำงานแล้วเหรอคะ” จากที่คุยเหมือนปรับทุกข์กันเสียมากกว่า แต่ไม่คิดว่าเขาจะรับเธอทำงาน เพราะว่าเธอไม่อยากปิดบังเรื่องเคยแต่งงาน กลัวว่าหากบริษัทรู้ทีหลังเธอจะไม่ได้ทำงานนี้ต่อ
“ใช่สิครับ ผมรับคุณทำงานในเงินเดือนที่คุณอยากเรียกเลย คุณกรอกได้เลยครับ” เขาค่อนข้างใจป้ำนี่คือครั้งแรกที่ไม่รู้สึกว่าอยากเขี้ยวเรื่องเงินเดือนกับพนักงาน
“ขอบคุณมากค่ะ นี่เป็นข่าวดีที่สุดในรอบสองเดือนของฉันเลยค่ะ” หญิงสาวพนมมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เธอจะได้เริ่มต้นทำงาน และชีวิตใหม่ของเธอกำลังจะสดใสอีกครั้ง
หญิงสาวเดินตามป้องภพไปขึ้นรถอย่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะไม่เคยขึ้นรถหรูแบบนี้มาก่อน รถในบ้านเพียงภัทรามีรถหรูหลายคัน แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้มัน เพราะผู้เป็นเจ้าของอย่างตุลย์ภพสั่งห้ามเด็ดขาด มีครั้งหนึ่งเธอขึ้นรถไปเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลกับวาดนภา เมื่อเขากลับมาเห็นเธอลงรถก็สั่งให้คนเอารถไปล้างเสียใหญ่โต ทั้งยังมองเธอด้วยสายตาอย่างน่ารังเกียจ
เธอเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ และไม่คิดแตะต้องรถคันใดของบ้านเพียงภัทราอีก แม้ว่าวาดนภาจะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม เธอก็ไม่คิดติดตามวาดนภาไปอีกเลย
“เธอมันก็แค่คนรับใช้ อย่าผยอง” คำนี้มันผุดขึ้นในหัวตลอด เขาทำเหมือนเธอไม่ใช่คน เหมือนสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวชนิดหนึ่ง
“รีบขึ้นสิครับ” ป้องภพเห็นเธอลังเลไม่กล้าขึ้นจึงรีบเร่งเพราะเดี๋ยวจะไปประชุมสาย
หญิงสาวจึงรีบขึ้นรถไปทันที เธอนั่งตัวเกร็งเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้สัมผัสความหรูหรา
“ทำไมเกร็งแบบนั้นล่ะครับ” ป้องภพมองเธอแล้วก็อดขำไม่ได้
“ไม่เคยนั่งรถหรูขนาดนี้เลยค่ะ เกร็งนิดหนึ่ง” หญิงสาวตอบอย่างเก้อเขิน เธอไม่เคยนั่งจริง ๆ
“รถต่อให้ราคาแพงแค่ไหน หากมันนั่งไม่สบายแล้ว ก็ไม่มีความหมาย คุณยังต้องนั่งรถไปกับผมบ่อย ๆ เพราะต้องตามติดผมไปทำงานทุกที่” ป้องภพมองใบหน้าหญิงสาวที่ไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางใดให้ฉูดฉาด เพียงแต่ทาลิปบาง ๆ สีชมพูอ่อนก็ขับให้ริมฝีปากเธอน่าสัมผัสนัก นี่สินะเรียกว่าความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
“เวลาอยู่กับผมทำตัวตามสบายได้เลย คิดว่าผมเป็นหัวหน้าคุณก็พอ อย่าคิดว่าเป็นเจ้าของบริษัท เพราะทุกคนที่คิดอย่างนั้น มักตัวสั่นยามที่ผมเรียก ผมไม่ได้ดุขนาดนั้นเสียหน่อย” เขาอยากให้เธอทำตัวเหมือนตอนที่สัมภาษณ์กับเขา นั่นดูไม่น่าอึดอัดเลยสักนิด
“เขาไม่ได้เรียกน่ากลัวค่ะ เค้าเรียกว่าน่าเกรงขามต่างหาก” พินดาราแก้ให้ ที่จริงคนเป็นเจ้าของบริษัทต้องมีลุคน่าเกรงขามที่ลูกน้องเกรงกลัวซึ่งก็ถูกแล้ว จะได้คุมคนได้
“คุณทำอะไรเป็นบ้าง นอกจากทำงานได้ดีแล้ว” เขาชวนเธอคุยเพื่อสร้างความสนิทสนม
“ฉันทำอาหารเป็นค่ะ เมื่อก่อนอยู่บ้านคุณหญิงทำอาหารให้คนทั้งบ้านทานทุกวัน ฝีมือน่าจะพอไปวัดไปวาได้” นี่น่าจะเป็นอีกความสามารถหนึ่งของเธอที่พอจะอวดใครได้
“ผมอยากชิมจัง” ป้องภพพูดโดยที่มองใบหน้าหญิงสาวด้านข้างที่พูดด้วยแววตาเป็นประกาย ชีวิตเธอคงเจอเรื่องมาไม่น้อย อายุแค่นี้ผ่านทั้งการแต่งงานทั้งหย่าร้างในเวลาเดียวกัน เธออดทนมันได้อย่างไรกันนะ
“เอาไว้จะทำมาเผื่อนะคะ ถ้ามีเวลา” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม นับว่าเขาเป็นคนไม่ได้ถือตัวสักเท่าไหร่ เป็นเจ้านายที่น่ารักคนหนึ่ง
พินดารานั่งคุยเรื่องต่าง ๆ ไปกับป้องภพ จนเมื่อรถไปจอดที่หน้าอาคารเพียงภัทรา พินดาราจึงชะงักขึ้นมาในทันทีจนต้องหันมาถามเขาเพื่อความแน่ใจ
“คุณป้องภพคะ”
“ครับ เรียกผมภพสั้น ๆ ก็ได้เรียกยาวจัง” เขาเลี้ยวรถเข้าลานจอดไม่ได้สังเกตสีหน้าของหญิงสาวด้านข้างเลยสักนิด จนเมื่อรถจอดสนิทแล้วถึงเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเธอ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้ใบหน้าของเธอซีดเหมือนไก่ต้ม
“เอ่อ...นะ...นี่บริษัทของสามีเก่าฉันเองค่ะ” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด แล้วพูดสิ่งที่เขาอยากรู้ออกมา ความรู้สึกคับแน่นในอกผุดขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนคนกำลังจมน้ำ
“เอ่อ...คุณไหวไหมครับ” ป้องภพยื่นมือไปกุมมือของเธอไว้อย่างให้กำลังใจ
พินดาราคิดว่าตัวเองจะทำใจได้ แต่เมื่อต้องมาเกี่ยวข้องกับเขาอีกครั้ง แม้ว่าเป็นเรื่องงานมันก็สะกิดแผลของเธอที่กำลังสดให้มีเลือดออกมาจนรู้สึกแสบไปทั้งหัวใจ
เธอสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอดเพื่อทำใจให้เข้มแข็ง เธอต้องสลัดอดีตให้หลุดแล้วก็เดินไปข้างหน้า อย่าหันหลังกลับหรือวนอยู่ที่เดิมอีก
“มันผ่านมาแล้วค่ะ มันอาจจะเจ็บแปลบบ้าง แต่ว่าฉันเอาอยู่ค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้เขาด้วยความขมขื่น ต่อให้เธอจะสู้ชีวิตแค่ไหนก็ตาม แต่ชีวิตมักจะสู้เธอกลับเสมอ
“ไปครับ” เขาจับมือเธอกุมแน่นอีกครั้ง แล้วยิ้มให้กำลังใจ ไม่คิดว่าจะได้รู้เรื่องราวของลูกน้องสาวคนนี้ได้มากมายขนาดนี้ ปกติเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องของใคร แต่กับเธอเขารู้สึกสนใจทุกเรื่องเกี่ยวกับเธอ
พินดาราเดินเคียงข้างป้องภพเข้าไปในบริษัทเพียงภัทรา เพื่อเข้าร่วมประชุมกับประธานบริษัท ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นก็คือตุลย์ภพนั่นเอง
ตุลย์ภพนั่งรอประชุมอยู่ในห้องประชุมแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าใครที่เดินเคียงข้างคู่กับป้องภพเข้ามาด้วย ทำให้ตุลย์ภพเสียอาการ ฟันเขาขบแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน สายตาที่มองไปยังร่างที่เคยเป็นอดีตเมียของเขานั้นแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
“สวัสดีครับคุณตุลย์ภพ” ป้องภพทักทายเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ไม่คิดว่าคุณจะพาสาวมาด้วยนะครับ” ตุลย์ภพเปิดประเด็นเรื่องหญิงสาวที่ตามมาด้วยทันที เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก ไม่รู้ทำไม หรือว่าเพราะแม่นี่ไปร้องห่มร้องไห้จนป้องภพสงสารและเห็นใจ ถึงได้เกาะติดกันแจอย่างนี้หรือเปล่า
เมื่อก่อนตอนเธออยู่บ้าน เขาอยากผลักไส แต่เมื่อเห็นว่าเธอได้ที่หมายใหม่ เขากลับโกรธแค้นเธอ มันคืออะไรกันแน่ เขาไม่เข้าใจตัวเอง
“ไวไฟนัก” เขากระซิบเพียงให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว
“นี่เลขาคนใหม่ครับ พอดีผมพึ่งรับเธอเข้าทำงาน เลยให้มาทำงานด้วยเลย จะได้เรียนรู้งานด้วยครับ” ป้องภพรู้ดีว่าตุลย์ภพต้องการหาเรื่องพินดาราเป็นแน่ แต่ว่าอดีตก็ควรจะเป็นอดีต อีกอย่างเรื่องส่วนตัวไม่ควรเอามาปนกับเรื่องงาน
“อ้ออย่างนั้นเหรอครับ ผมนึกว่าคุณไปคว้าผู้หญิงที่ไหนมาเสียอีก” ตุลย์ภพพูดทำให้ที่ประชุมต่างมองหน้าเป็นตาเดียว คนในบริษัทนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าผู้หญิงตรงหน้านี้เป็นใคร เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยออกมาเท่านั้นเอง กลัวก็แต่คุณป้องภพเท่านั้นจะไม่พอใจคำพูดของประธานบริษัท หรือเปล่า
“อ้อไม่ใช่หรอกครับ มาประชุมกันเลยดีกว่า” ป้องภพตัดสินใจเข้าเรื่องประชุมทันที ไม่ให้เสียเวลา เขาส่งไอแพดให้เธอคอยจดรายละเอียดการประชุม เมื่อแอบมองก็นับว่าเธอทำได้ดีทีเดียว เขานึกทึ่งในความสามารถของเธออยู่ไม่น้อย
การประชุมผ่านไปอย่างราบรื่นและเลิกประชุมเอาตอนสี่โมงเย็นพอดี ก็เป็นเวลาเลิกงาน เขาจึงเดินคุยกับพินดาราไประหว่างทางที่จะเดินไปที่ลิฟต์
“เดี๋ยวครับ...ผมมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ตุลย์ภพที่รีบออกมาเพื่อให้ทันสองคนที่กำลังเดินออกไป
ป้องภพมองสบตากับพินดารา แต่เมื่อเธอพยักหน้าเขาจึงปล่อยให้ตุลย์ภพและเธอได้คุยกัน
พินดาราโดนลากมาห่างจากป้องภพพอสมควร เพื่อให้เรื่องที่คุยได้ยินเพียงสองคน
“ไม่ไวไฟไปหน่อยเหรอ เลิกจากผัวเก่าก็ควงผัวใหม่เลย หย่ากับผัวได้ไม่ถึงสองเดือนมีที่เกาะใหม่แล้วเหรอ” ตุลย์ภพพ่นคำพูดเสียดแทงหัวใจเธอจนเธอพูดไม่ออก แต่ท่าทางที่นิ่งสงบของเธอกลับทำให้เขาอยากจับเธอเขย่าให้สาแก่ใจ ทำไมเธอไม่กรีดร้องโวยวายที่เขาพูดจากับเธอแบบนี้นะ
“นี่จะไม่ตอบโต้เลยหรือไงฮะ...! หรือว่ามันคือเรื่องจริง”
“ฉันไม่รู้นี่คะ ว่าคุณพูดกับใคร” พินดาราไม่ยอมรับเสียอย่าง เธอจึงไม่รู้สึกเดือดร้อนในคำพูดของเขานัก
“อ้อ...นี่ออกจากบ้านฉันไปสองวันปีกกล้าขาแข็งบินได้เองแล้วงั้นสิ ไปอ่อยอีท่าไหนล่ะ ถึงได้เจ้าของบริษัทมาเกาะเลย แต่เกาะให้แน่นหน่อยนะ ระวังจะหลุด”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ แต่ฉันไม่เกี่ยวข้องกับคุณแล้ว ช่วยรบกวนอย่าตามรังควานด้วยค่ะ ไม่เช่นนั้นฉันคงคิดว่าคุณคงคิดถึงฉัน” พินดาราพูดจบก็เดินออกไปจากตรงนั้น ทิ้งให้เขากระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว
“ไปกันเถอะค่ะ คุณป้องภพ” พินดาราลอบยิ้มน้อย ๆ ที่รู้สึกว่าได้เอาคืนบ้างแม้เป็นเพียงความรู้สึกสะใจเล็ก ๆ ก็เถอะ
การที่เขาทำเหมือนสนใจเธอ ก็บอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าเขายังคิดถึงเธอ ไอ้คนที่รักศักดิ์ศรีแทบจะกลืนแทนข้าว กลัวจะเกลือกกลั้วกับผู้หญิงชั้นต่ำแบบเธอ ก็ต้องถูกเยาะเย้ยถากถางแบบนี้นั่นแหละ เหมาะสมดี
“ครับ..” ป้องภพยิ้มให้กับเลขาตัวเล็กที่เอาอยู่ นึกว่าจะตื่นกลัวไปเสียแล้ว นับว่าใจเธอก็สู้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว