ตอนที่4:ขอโทษที่หน้าผมมันดันหล่อ

1927 คำ
“อือออ” เสียงงัวเงียไม่พร้อมตื่นของน้ำอิงดังขึ้น เจ้าของดวงตาที่เคยกลมโตบัดนี้ปรือจนจะหลับลงไปอีกรอบอยู่ในผ้าห่มหนานุ่ม วันนี้ตื่นก่อนนาฬิกาปลุกอีกแฮะ ไม่น่าเชื่อ... เธอเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่วางชาร์จไว้ที่โต๊ะหัวเตียงก่อนจะกดเปิดไปอย่างเคยชิน พรึ่บ ! ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อเห็นเวลาที่ปรากฏอยู่ที่หน้าจอ ตอนนี้เป็นเวลา 8.20 น. และวันนี้เธอมีรับน้องที่คณะตอน 09.00 น. ฉิบหายอีกแล้วไอ้อิงเอ้ยยยยย !! ร่างเล็กที่ยังอยู่ในชุดเมื่อคืนหน้ายังไม่ทันได้ล้างเพราะถึงห้องชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้เธอก็หลับเหมือนใหลตาย คว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที ไม่ใช่ว่าเธอตื่นก่อนนาฬิกา แต่เธอลืมตั้งนาฬิกาปลุกต่างหาก เกือบตื่นสายแล้วไงล่ะ! จะมีสักวันไหมเนี่ยที่เธอจะไม่ล่กแล้วใช้ชีวิตชิว ๆ ไม่รีบร้อนอย่างคนอื่นเขาบ้าง โชคดีแค่ไหนที่เตรียมชุดนิสิตไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เธอรีบแต่งตัวลวก ๆ ก่อนจะไดร์ผมให้แห้ง ตอนแรกก็ว่าจะไม่สระหรอก แต่ว่ากลิ่นเหล้าทำให้เธอต้องยอมแพ้แม้ว่าเวลาแทบจะไม่มี แต่มันคงไม่ดีนักถ้าจะไปกลิ่นหึ่งแบบนั้น จากจะได้สร้างความประทับใจกลายเป็นจะโดนมองเป็นคนขี้เหล้ามากกว่า ยืนโบกวินหน้าหอพักเธอก็บอกจุดหมายแล้วบอกให้พี่เขาแว้นเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากอีกแค่สิบนาทีจะถึงกำหนดการเริ่มกิจกรรมแล้ว “ยี่สิบครับ” หลังจากจ่ายเงินให้พี่วินมอเตอร์ไซต์ที่มาจอดอยู่หน้าตึกคณะ ก็สับตีนแตกวิ่งเข้าไปในซุ้มที่จัดตกแต่งอย่างอลังการ หูได้ยินเสียงกลองตีเป็นจังหวะดนตรีด้านในลานกว้าง ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่มีนิสิตที่อยู่ปีเดียวกับเธอนั่งกันอยู่ที่พื้นเรียงรายกันนับหลายร้อย เธอก็รีบวิ่งเข้าไปเพราะถึงเวลาพอดีก็โดนรุ่นพี่ผู้หญิงดึงไว้เสียก่อน “ลงทะเบียนก่อนค่ะน้อง” คนตัวเล็กที่หายใจแทบไม่ทันต้องวนไปเขียนชื่อลงทะเบียน และบรรยากาศในลานที่เคยสนุกสนานด้วยกลองก็เงียบลงทันที ความรู้สึกกดดันที่จู่ ๆ ก็ปกคลุมไปทั่วลานกว้างส่งผลให้น้ำอิงต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหลังโต๊ะลงทะเบียนในตอนที่เขียนชื่อของตัวเองเสร็จ อะไรกันละนั่น... ภาพที่เห็นคือสายตาทุกคู่ทั้งคนหลายร้อยที่นั่งอยู่รวมกับรุ่นพี่ซึ่งอยู่ในเสื้อช็อปมองกระจุกอยู่ที่เธออย่างกดดัน จนทำอะไรไม่ถูก... “อยู่สาขาอะไรคะ พี่ขอชื่อเล่นด้วย” เสียงหวานจากพี่ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ต่างกับทางด้านหลังที่สุดเลย “น้องหลบให้เพื่อนด้วย มีเพื่อนรอเขียนชื่ออยู่” เธอที่ทำตัวงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่ก็หลีกทางให้คนด้านหลัง รู้สึกดีไม่น้อยที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่คนเดียวที่สาย “เครื่องกล ชื่อน้ำอิงค่ะ” น้ำอิงตอบพี่คนสวยตรงหน้าไป เธอทำงานค่อนข้างช้า ยิ่งทำให้ด้านหลังมองกดดันเธอเข้าไปใหญ่ จนต้องก้มหน้าก้มตาหลีกหนีสายตานับร้อยนั่น พี่คนสวยก็ช้าจัง ยืนอยู่หน้าซุ้มแบบนี้เหมือนกับเป็นเป้านิ่งของทุกคนเลย อยากมุดแผ่นดินหนีอ่ะฮืออ “น้องสาขาอะไรคะ พี่ขอชื่อเล่นด้วย” น้ำอิงย่นคิ้วเพราะรุ่นพี่ไม่ยอมให้ป้ายชื่อเธอแล้วหันไปถามคนด้านหลังที่มาทีหลังเธอ ทั้งที่ป้ายเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากที่จะได้ไปนั่งแถวซักทีกลายเป็นต้องรอให้เขาเขียนให้อีกฝ่ายก่อน “เครื่องกลครับ นธี” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นตอบ ทั้งที่เราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแต่เขากลับไม่มีความทุกข์ร้อนในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเลย ทำให้เธอหันไปแอบมองก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อรับรู้ว่ามีคนแอบมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็เลื่อนนัยน์ตาคมภายใต้แว่นสายตาสบเข้ากับใบหน้าของเธอก่อนที่จะย่นคิ้วทำหน้าประหลาดใจไม่ต่างกัน ยังไม่ทันจะได้งงนาน ป้ายทั้งสองก็ถูกยื่นมาให้คนทั้งคู่ จนนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาตกใจหรือตื่นเต้นอะไรทั้งสิ้น เพราะสายตาทุกคู่มองเข้ามาที่คนมาสาย แววตากดดันทำให้รู้ว่านี่คือบทลงโทษของพวกเธอ กำลังจะเดินไปที่แถวทั้งน้ำอิงและนธีก็โดนเรียกให้ไปหน้าแถวทันที กลิ่นอายความซวยโชยเข้ามาอีกแล้ว เธอได้แต่ก้มมองปลายเท้าตัวเองไม่กล้ามองเพื่อน ๆ ที่นั่งเงยหน้ามองมาด้านหน้า แบบนี้ไม่ต่างอะไรจากโดนลากมาประจานเลย “นี่คือต้นเหตุที่ทำให้พวกเราสาย...ดูไว้นะครับ” เสียงของรุ่นพี่ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งดูน่าเกรงขามพอสมควรตะโกน ขนาดตอนนี้อยู่ที่โล่งยังก้องกังวานไปทั่ว “กำหนดการเริ่มสิบโมง แต่เพราะพวกคุณทำให้เพื่อน ๆ ที่เขาตั้งใจมาก่อนเวลาต้องรอและเสียเวลาไปหลายนาที เข้าใจหรือเปล่า?” “...” “ผมถามว่าเข้าใจหรือเปล่า !” “ขะ เข้าใจค่ะ” เธอสะดุ้งก้มหน้าเมื่อพี่ตัวใหญ่เดินมาถามเจาะจงเธอโดยเฉพาะ “ขอโทษค่ะ!” น้ำอิงตัวสั่นไหว จนคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกได้ ร่างสูงกลอกสายตาเซ็ง เมื่อยขา น่าเบื่อด้วย นี่มันลัทธิล่าแม่มดหรือยังไงถึงยังใช้วิธีลากมาด่าต่อหน้าทุกคนแบบนี้อีก ก็แค่สายไม่กี่นาที ปัญญาอ่อน นธีหันมองคนที่ก้มหน้างุดตัวสั่นอย่างผิดปกติ จึงมองไปที่รุ่นพี่ที่ยืนกดดันเธออยู่ “ผมว่าพี่ต่างหากที่ทำคนอื่นช้า” เขาพูดออกมาลอย ๆ หน้าตาเฉย ทำให้คนตัวเล็กที่ก้มอยู่ถึงกับเงยหน้าไปมองอย่างแทบไม่เชื่อหู เขากล้าเถียงรุ่นพี่ด้วย ! และเธอก็มั่นใจมากว่าไอ้คำพูดนั้นมันดังพอที่รุ่นพี่หน้าตาดีแต่โหดที่ยืนข้างเธอได้ยินจัดแจ๋ว “คุณ...มาสายยังต่อล้อต่อเถียงอีกเหรอ ไม่สำนึกเลยหรือไงครับ?” รุ่นพี่คนอื่นเริ่มเข้ามาพูดบ้าง นี่สถานการณ์มันย่ำแย่กว่าเดิมอีก “เพื่อนคุณรอคุณตั้งนานแล้วเนี่ย ไม่งั้นเราได้เริ่มกิจกรรมกันนานแล้ว คุณควรรู้สึกผิดต่อเพื่อนคุณนะครับ ไม่ใช่เวลาแอ็คหล่อโชว์สาว” “ครับ แต่ผมยังไม่ได้แอ็คเลยครับ ขอโทษด้วยที่ทำหน้าธรรมดาแต่มันดันดูหล่อไม่รู้จักเวล่ำเวลาในสายตาพี่” ฮะ ? น้ำอิงถึงกับอ้าปากค้างกับคำพูดที่คาดไม่ถึงของคนด้านข้าง เขาพูดออกมาด้วยใบหน้ามึน ๆ ตอนแรกเธอคิดว่าเรื่องราวน่าจะเลวร้ายกว่านี้แน่นอน แต่ดันไม่ใช่แบบนั้นเพราะหลังจากที่เขาพูดคำนั้นไปทุกคนในลานคณะกลับหัวเราะกันออกมา บรรยากาศที่เคยกดดันถูกแทนที่ด้วยเสียงขบขำ คนตัวเล็กหน้าเหลอหลาอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ หันไปมองพี่ที่เคยกดดันเธอก่อนหน้านี้เขาก็ขำจนหน้าดำหน้าแดง นี่ทุกคนขำแค่เขาบอกว่าตัวเองหล่อ แค่นี้น่ะนะ ? ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ด่าเธอเหมือนฆ่าใครตาย แต่พอเขาพูดบรรยากาศดันดีขึ้นมาดื้อ ๆ แบบนี้เลยเหรอ ขี้โกงมาก ! แต่เอาเถอะ ก็ถือว่าเขาช่วยเธอไว้อีกครั้งแล้ว น้ำอิงถูกปล่อยตัวให้กลับไปนั่งในแถวอย่างง่ายดาย เพราะแต่ละสาขาถูกแบ่งเป็นสี่แถวทำให้คนมาสายทั้งคู่นั่งข้างกัน เพื่อนผู้ชายหลายคนหันมาหัวเราะก่อนพูดล้อเลียนเหมือนกับว่าพวกเขารู้จักกันก่อนหน้านี้แล้ว “ไอ้ธีมั่นหน้าชิบหายเลยมึง” เพื่อนผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งอยู่หน้าพี่การ์ดเมื่อคืน...ซึ่งตอนนี้เขากลายเป็น ‘นธี’ เพื่อนร่วมสาขาเดียวกับเธอแบบงง ๆ คนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าหัวเราะคิกคักล้อเลียนนธีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนสายตาเลยมาที่เธอแล้วยิ้มให้ “หวัดดีนะ” “อื้ม” เธอผงกหัวทักทายเขากลับ “เราชื่อมาร์ชนะ เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับไอ้นธี” มาร์ชโชว์ป้ายชื่อพร้อมกับกระซิบ กิจกรรมด้านหน้ากำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนมากก็แนะนำชื่อรุ่นพี่สันทนาการกันมากกว่า ตาคมของมาร์ชหลุบมองป้ายชื่อเธอก่อนจะชวนคุยต่อ “น้ำอิงมาผิดคณะเปล่า บัญชีฯ อยู่อีกตึกนะ” “เราเรียนเครื่องกล” เมื่อเห็นเขาดูเป็นมิตรดี เธอก็ยิ้มให้อย่างน้อยเมคเฟรนด์ไว้ก็ไม่เสียหาย “ขอโทษนะเราทำเพื่อนรอนานเลย” “โอ๊ย ไม่ต้องคิดมากกก พี่พลเขาก็แกล้งเล่นไปงั้น ความจริงแกกวนตีนจะตาย เขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนพวกเราน่ะ” มาร์ชหัวเราะเหมือนกับไม่ซีเรียสอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นสักนิด ก็ว่าอยู่นธีกวนประสาทเขาแบบไม่กลัวอะไรเลย “ที่เพื่อนหันไปมองเพราะเขาสั่งให้มองอ่ะ ไม่มีใครอยากกดดันหรอก” “จริงเหรอ เรากลัวจนเกือบเป็นลม” “อ่อนแอแบบนี้ไงมันถึงได้อยากแกล้ง” เจ้าของเสียงเข้มพูดออกมาลอย ๆ ไม่ใช่มาร์ช แต่เป็นคนที่นั่งอยู่ข้างเธอตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่คิดจะทักทายอะไร เขาลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเราเคยเจอกันมาก่อน นธีเห็นว่าน้ำอิงมองเขาอย่างไม่ชอบใจ เขาก็มองกลับไปนิ่ง ๆ เขาพูดอะไรผิด? ก็เธอทำตัวน่าแกล้งจะโดนแกล้งก็ถูกแล้วหนิ “เฮ้ย...มึงก็เวอร์ ผู้หญิงอ่อนแอน่ารักออก” มาร์ชตอบกลับเสียงติดหัวเราะแก้สถานการณ์ให้ แต่นธีก็เค้นเสียงในลำคอ ทำหน้าตาแบบว่า ‘อ๋อเหรอ? ไม่เห็นจะคิดแบบนั้นซักนิด’ “ปวกเปียกแบบนี้แค่เวอร์เนียร์จะถือไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้” ดวงตาเฉี่ยวมองเย้ยดูถูกเธออย่างเปิดเผย น้ำอิงย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ เมื่อคืนคนตรงหน้าใจดีกว่านี้เยอะเลย ปากก็ไม่ร้ายเท่านี้ด้วย ไม่รู้วันนี้ไปกินรังแตนที่ไหนมาหน้าเขาถึงได้ไม่รับแขกขนาดนี้ “ใจร้าย ชอบแบบคนเมื่อคืนมากกว่า” เธอพูดเสียงเบาพลางทำหน้างอใส่ก่อนสะบัดหน้าหนี จนคนที่ได้รับคำพูดและการกระทำนั้นถึงกับอึ้ง แหม...ดูถูกกันได้นะ ! ซ่อม เปลี่ยนอะไหล่รถเป็นคัน ๆ เธอก็ทำมาแล้วเถอะ ไม่ได้อ่อนแอหรือปวกเปียกอย่างที่เขาว่าซักหน่อย เธอก็แค่ไม่ชอบโดนกดดันเท่านั้นใช่ว่าเธอจะทำอะไรไม่เป็นเสียที่ไหนกัน คนก็อุตส่าห์ดีใจที่ได้เจอกันอีก สงสัยต้องคิดใหม่… มาร์ชมองเพื่อนตัวเองสลับกับเพื่อนผู้หญิงที่เพิ่งได้รู้จักกันด้วยความงุนงง ท่าทางเหมือนจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่แล้วพอน้ำอิงสะบัดหน้าหนี เพื่อนของเขาเองก็สะบัดหน้าไปอีกทางเช่นกัน สองคนนี้งอนอะไรกันนะ ?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม