ตอนที่ 10 เพราะเราเป็นคู่กัน
การเลือกแอมบาสเดอร์ในรอบนี้จะมีการตัดสินจากคะแนนการโหวตของนักศึกษาที่อยู่ภายในหอประชุม ซึ่งจะคัดเข้ารอบมา 5 คนแต่ 2 คนสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบจะได้รับการตัดสินจากคณะกรรมการตามที่ทางมหาวิทยาลัยเลือกเอาไว้ โดยคณะกรรมการหนึ่งในนั้นมีวาตะอยู่ด้วย อีกทั้งคนที่ผ่านเข้ารอบจะต้องโชว์ความสามารถตามที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้ให้
แต่ในขณะที่แสดงความสามารถหนูยิ้มก็แสดงออกมาได้ดีไม่ต่างจากเอมี่ แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้เปรียบหนูยิ้มในหลายเรื่อง แต่หญิงสาวกลับเตรียมตัวมาอย่างดี จนทำให้คนที่เข้ามาดูการคัดเลือกในครั้งนี้ต่างพากันชื่นชม
“ตอนนี้ได้คะแนนการโหวตมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ เราจะมาประกาศคะแนนกันเลย” พิธีกรที่รับหน้าที่ดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้เอ่ยขึ้น ท่ามกลางความตื่นเต้นของเหล่านักศึกษาที่กำลังดูการประกวดและเหล่าผู้เข้าประกวด
หนูยิ้มก้มหน้าลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างของเธอประสานเข้าหากันพร้อมมีการบีบกันไปมาราวกับต้องการลดความรู้สึกตื่นเต้น
“น้องเอมี่และน้องหนูยิ้ม ได้เข้ารอบค่ะ” สิ้นเสียงประการของพิธีกรทำให้เสียงฮือฮาดังขึ้นทันที เพราะครั้งนี้เหมือนเป็นดั่งใจของคนที่มารอดู
“คราวนี้เรามาตัดสินกันดีกว่าว่าใครจะได้เป็นแอมบาสเดอร์คู่กับพี่วาตะ…เชิญคณะกรรมการลงชื่อเลยค่ะ”
ความตื่นเต้นไม่ได้ลดน้อยลงแต่เหมือนทุกอย่างจะเริ่มเป็นเท่าทวี
“ดูเหมือนการเลือกแอมบาสเดอร์ในครั้งนี้จะดุเดือดกว่าที่คิดนะคะ พี่วาตะว่าไหมคะ” พิธีกรรุ่นน้องเอ่ยขึ้นเมื่อคะแนนของทั้งสองเท่ากัน ซึ่งนั้นเท่ากับว่าการเลือกครั้งนี้วาตะต้องเป็นคนเลือก
“ดุเดือดกว่าที่คิดจริง ๆ แหละครับ” วาตะพูดขึ้นในขณะที่สายตาของเขาเอาแต่มองไปยังหนูยิ้ม ซึ่งหนูยิ้มก็ยิ้มตอบกลับมาให้อีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นพี่วาตะเลือกใครค่ะ ระหว่างหนูยิ้มกับเอมี่” เสียงเชียร์หนูยิ้มดังขึ้นสนั่นไปทั่วทั้งหอประชุมแต่เหมือนเสียงเชียร์เหล่านั้นจะไม่มีความหมาย
“เอมี่” เสียงวาตะเปล่งชื่อเอมี่ออกมาอย่างชัดเจน
หนูยิ้มหุบยิ้มลงทันที ต่างจากใบหน้าของวาตะที่ผุดยิ้มขึ้นมาทันที เขายังคงมองหนูยิ้มอย่างไม่ละสายตา ทั้ง ๆ ที่หนูยิ้มคู่ควรกับตำแหน่ง แต่วาตะก็ไม่คิดจะเลือกหนูยิ้มมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หลังจากการคัดเลือกจบแล้ว ทั้งเอมี่และหนูยิ้มร่วมถ่ายรูปบนเวทีกับคณะกรรมการและรุ่นพี่ จากนั้นก็แยกย้ายจาหอประชุมกันไป
“ดูก็รู้ว่าโคตรจงใจเลย จะคัดเลือกกันทำไมในเมื่อล็อกมงไว้แล้ว ” น้อยหน่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์หลังจากงานประกวดจบลงแล้ว
“ช่างเถอะ ไปหาอะไรกินดีกว่า” หนูยิ้มพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความน้อยใจและผิดหวังที่วาตะไม่แม้แต่สนใจเธอ
“งั้นเราเลี้ยงเอง” เจเจพุ่งตัวเข้าตรงกลางระหว่างสองสาวและยกแขนเข้ามากอดคอของสองสาวโดยที่ทั้งคู่ไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งนิสัยถึงเนื้อถึงตัวของเจเจมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
“มาได้ไงเนี่ย” แต่ยังไม่ทันที่เจเจจะได้ตอบอะไรน้อยหน่า วาตะก็เดินมาทางทั้งสามคน
“โทษที ที่ทำให้ผิดหวัง” วาตะเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินผ่านหนูยิ้ม ใบหน้าคมของเขากลับยกยิ้มเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขาจงใจ
“นั่นไง เป็นอย่างที่คิดเลย” น้อยหน่าที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ชอบใจ
10 วันต่อมา
หลังจากการประกวดคัดเลือกแอมบาสเดอร์ผ่านมา วันนี้เป็นวันนัดถ่ายทำลงสถานที่จริง ซึ่งทุกคนต่างดูยุ่ง ๆ ในการเตรียมตัว
“เอมี่ล่ะ มาหรือยัง” พี่เลี้ยงในทีมเอ่ยถามขึ้นเมื่อยังไม่เห็นเอมี่ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ได้เวลานัดแล้ว แถมวาตะก็มานั่งรอแล้วด้วย
“ให้คนไปตามแล้วค่ะ”
“ไปตาม หมายความว่ายังไง ไม่รู้หน้าที่ตัวเองหรือไง ทำไมยังไม่มา” รุ่นพี่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย
“เอ่อคือว่าพยายามโทรหาน้องเอมี่หลายสายแล้วค่ะ แต่ไม่มีคนรับเลยค่ะ”
“แน่แล้วค่ะ…น้องเอมี่ไปเติมฟิลเลอร์มาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ตอนนี้ปากบวมใหญ่มากเลยค่ะมาถ่ายให้ไม่ได้แล้ว” หนึ่งในพี่เลี้ยงวิ่งเข้ามารายงานรุ่นพี่ที่รับผิดชอบงานด้วยหน้าตาตื่นตกใจ หลังจากได้รับข้อความตอบกลับของเอมี่กลับมา
“ไปตามหนูยิ้มมา”
“บ้าจริง อย่าบอกนะว่าสุดท้ายเป็นยัยนั่น เฮ้อ ” วาตะที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดก็กรอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาคิดแต่ว่าตัวเองจะรอดพ้นจากการหาทางอยู่ใกล้ๆจากหนูยิ้มแล้วแท้ ๆ แต่กลับดันมาเกิดเรื่องซะได้
หลังจากให้คนไปตามหนูยิ้มเพียงไม่นานหญิงสาวกับเพื่อนสนิทของเธออย่างน้อยหน่าก็มายังกองถ่าย
“พี่ต้องรบกวนให้เราถ่ายงานแทนเอมี่ด้วยนะ” รุ่นพี่เอ่ยขึ้น เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของหนูยิ้มแต่แรกแล้วต้องมาบอกหนูยิ้มโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่รุ่นพี่ก็ไม่มีทางเลือกงานที่ทำมันต้องเดินต่อ
“ได้ค่ะ หนูยิ้มพร้อมค่ะ ” หนูยิ้มเอ่ยตอบทั้ง ๆ ที่สายตามองไปยังวาตะ ซึ่งอีกฝ่ายทำเหมือนไม่เห็นหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ
หนูยิ้มถูกนำเข้ามายังห้องแต่งตัว มีทีมช่างแต่งหน้าและทีมงานเสื้อผ้ามาช่วยดูแลหนูยิ้ม ทุกอย่างถูกดูแลอย่างมืออาชีพ จนหนูยิ้มแต่งหน้าทำผมเรียบร้อย ใส่ชุดนักศึกษาที่เตรียมไว้ ออกมาสวยหวาน น่ารัก
“สวยหวาน น่ารักมากๆค่ะน้องหนูยิ้ม” ทีมรุ่นพี่ต่างชื่นชมหนูยิ้ม จนวาตะอดมองอย่างตกตะลึงไม่ได้และก็ได้แต่มองไปทางอื่น
ตลอดการถ่ายทำวาตะเป็นคนนำทางให้กับหนูยิ้มตลอด แม้ว่าเขาไม่อยากเข้าใกล้อีกฝ่าย แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ทำให้ไม่มีทางเลือก ซึ่งต่างจากหนูยิ้มที่รู้สึกดีทุกครั้งที่วาตะคุยกับตัวเองหรือการแตะตัวจัดท่าทางต่างๆ วาตะเวลาทำงานตั้งใจมาก หนูยิ้มมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้วาตะแม้จะเป็นเรื่องงานก็ตามที
“หนูยิ้มขึ้นกล้องกว่าที่คิดนะ” รุ่นพี่เอ่ยอย่างชื่นชม พร้อมมองไปยังวิดีโอที่หนูยิ้มกับวาตะเพิ่งถ่ายทำเสร็จ
“ก็งั้น ๆ และครับ” วาตะเอ่ยด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง
“วาตะไม่ชอบเหรอ ถ่ายใหม่ไหม” รุ่นพี่ปี 4 เอ่ยออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของวาตะ
“ไม่ต้องหรอก อันนี้ก็โอเคแล้ว” วาตะพูดจบก็เดินไปหยิบของก่อนเดินออกไป ซึ่งหนูยิ้มที่เห็นแบบนั้นได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเศร้า ๆ
“วันนี้หนูยิ้มไปพักเถอะ”
“ค่ะ งั้นหนูยิ้มไปก่อนนะคะ” หนูยิ้มเอ่ยลารุ่นพี่ก่อนเดินออกไป แต่ก่อนเดินออกไป หนูยิ้มแวะหยุดที่วาตะก่อนนะบอกเขาในระดับเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
“เพราะเราเป็นคู่กัน ยังไงก็ต้องคู่กันนะคะพี่วาตะของหนูยิ้ม พี่เห็นด้ายแดงที่ผูกนิ้วก้อยข้างซ้ายของเราเชื่อมกันไหมคะ ” หนูยิ้มชูนิ้วก้อยข้างซ้ายขึ้นมาบอกไปพร้อมยิ้มด้วยสายตาเป็นประกายอย่างผู้ชนะ
“อย่าหวังให้มากนะยัยแสบ”
“โน โน ค่ะ พี่วาตะต้องบอกว่ายัยแซ่บ ลองชิมหนูยิ้มไหมคะ” หนูยิ้มพูดยียวนพร้อมทำท่าส่งปากจูบให้วาตะและยกมือทำมินิฮาร์ทส่งให้รุ่นพี่หนุ่มก่อนเดินออกไป
วาตะได้แต่ยืนมองอย่างทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้ผู้คนยังมากอยู่และตัวเขาเองนึกไม่ออกเลยว่าจะตอบโต้หนูยิ้มอย่างไรดีจนหนูยิ้มเดินไกลออกไป
“ถ้าเธอยังไม่ถอยก็รอรับแรงกระแทกได้เลย”