3
มือที่คว้าเธอไว้
อีกสิ่งที่ไม่ควรทำให้ใครสงสัย ตอนที่ญาติเส็งเคร็งมารับศพไปเขาจะไม่เข้าใกล้ละแวกนั้น ทำให้มันง่ายที่สุดให้เจ้าหน้าที่จัดการ ซึ่งก็เป็นไปตามที่หวัง ไม่มีใครเปิดหน้าศพดู แถมยังบอกให้ตอกฝาโลงให้แน่นที่สุดด้วย
เมื่อศพนั้นถูกรับไปก็เข้าสู่ขั้นตอนย้ายศพออก
“เจอกันระหว่างทางครับหมอ”
หมอปรินซ์พยักหน้าตอบเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ก่อนจะจับเธออ้าปากแล้วกดยาเม็ดแรกไว้ใต้ลิ้น เจ้าหน้าที่ที่ร่วมมือด้วยมองหน้ากันทันที ตกใจว่าเขาจะทำอะไร และสิ่งที่เขาบอกจากนั้นก็ทำให้ชวนงุนงงเข้าไปใหญ่
“พอขึ้นรถอย่าปิดฝาโลง เปิดหน้าต่างให้ลมโกรกอากาศถ่ายเท”
“หมอจะทำอะไรครับเนี่ย”
มีคนคิดว่าเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมา ยาเม็ดนี้ไม่ได้ทำให้ฟื้นหรอก แต่จะช่วยสะกิดให้เซลล์ต่างๆเริ่มตื่นตัวมีอายุยืนยาวขึ้น ทว่าหมอปรินซ์จ่ายเงินค่าปิดปากก้อนใหญ่ถูกคน เจ้าหน้าที่เงินล้านสะกิดแขนไม่ให้ถามอะไรอีก และพยักพเยิดหน้าให้ทำตามแผนต่อไป
จากนั้นนายแพทย์หนุ่มก็รีบออกจากโรงพยาบาลขับรถไปจอดไว้ที่ปั๊มน้ำมันไม่ไกล ย้ายตัวเองขึ้นรถพยาบาลที่บริษัทเครื่องมือแพทย์ตัวเองทำขาย และได้นัดแนะไว้ก่อนหน้า
แต่ขึ้นมาคนที่นั่งอยู่บนรถคือพี่สาวของเขา
พลอยลลิน หรือหมอพลอย พี่สาวที่เป็นลูกบุญธรรมของพ่อแม่เขาที่รับมาจากดอย ปัจจุบันเป็นแพทย์หญิงแสนสุภาพเรียบร้อย และเป็นที่รักของทุกคน
“เธอมาทำไม?” อายุห่างกันเกือบสองปี แต่ปรินซ์ไม่เคยเรียกเธอว่าพี่เลยสักครั้ง
“คุณพ่อบอกให้มาช่วย ตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่บ้านปรินซ์เตรียมเครื่องมือทุกอย่างให้แล้ว แน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้”
เขาบอกจะทำเรื่องนี้เงียบๆ สงสัยจะไม่เงียบซะแล้ว แต่พี่สาวเขาไม่ใช่คนพูดมากแถมเป็นหมอที่มีฝีมือเอาการ มาช่วยดูอีกคนก็ดี
“ศพกำลังมา ฉันจะฉีดยาเข้าเส้นเลือดส่วนเธอรอ CPR”
นอกจากไม่ได้คำตอบยังโดนออกคำสั่ง
สีหน้าหมอพลอยลำบากใจเล็กน้อย เพราะคนตายก็คือคนตาย ไม่มีทางกลับมาได้ แต่จะขัดใจน้องชายก็ไร้ประโยชน์ เธอได้โดนเขาไล่ลงจากรถแน่ๆ
พลอยรู้ดีว่าน้องชายเป็นยังไงจึงถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วยอมร่วมมือแต่โดยดี รถพยาบาลที่มีเครื่องมือครบครันขับนำออกไปในเขตไร้ผู้คน จอดในที่ที่หมอปรินซ์นัดกับรถมูลนิธิไว้
เมื่อย้ายศพขึ้นมานอนบนเตียงทิ้งโลงศพตบตาไปกับรถมูลนิธิ แพทย์ทั้งสองก็รีบทำการยื้อชีพใหม่ หมอปรินซ์ฉีดยาเข้าเส้นเลือดใหญ่ ครั้งนี้ก็เป็นยาชนิดเดียวกันแต่เป็นชนิดน้ำดูดซึมได้เร็วขึ้น เขากำหนดตัวยาที่จะให้เธอหนึ่งพันมิลลิกรัม ถ้าได้ผลสีผิวที่ซีดเผือดจะค่อยๆเปลี่ยนสีและอุณหภูมิร่างกายจะเพิ่มขึ้น
ทว่าชีพจรยังนิ่ง
ตัวยังเย็น...
สีผิวไม่เปลี่ยน...
รถพยาบาลยังขับมุ่งไปที่บ้านของหมอปรินซ์ เขาจึงจับมือเธอขึิ้นมาบีบเบาๆ โดยมีพี่สาวมองอยู่ด้วยสายตาตกใจ เขาจริงจังกับทุกเรื่องน่ะใช่ แต่น้องชายเธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ที่จะจับมือศพหรืออ่อนโยนกับคนไข้
สัมผัสนั้นไม่ได้ช่วยอะไร ร่างไร้วิญญาณไม่รู้สึก แต่ในจิตสำนึกลึกๆอยากให้เธอไว้ใจเขา
“กลับมา ฉันจะช่วยเธอทวงความยุติธรรมคืนเอง”
“ฉันทำให้เธอฟื้นได้ ฉันก็ทำให้พวกมันตายได้เหมือนกัน”
ตาหมอพลอยเบิกกว้าง
สาเหตุที่เรียนนิติเวชเพราะเขาชอบสอบสวน ทำงานร่วมกับตำรวจปิดคดี แต่ถ้าตำรวจมันเหี้ย... เขาก็มีวิธีที่มันเหนือกว่านั้น มั่นใจว่าตื่นขึ้นมาเขาจะช่วยเธอได้ แลกเปลี่ยนกับการใช้เธอทดลองโปรเจกต์ต่อไป
เหลือยาขวดสุดท้าย และมันก็คือความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ หมอปรินซ์มองจอ Vital Sign Monitor เครื่องวัดสัญญาณชีพผู้ป่วยที่ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก่อนจะตัดสินใจหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วดูดขึ้นมาใส่เข็มฉีดยา ฉีดเข้าเส้นเลือดใหญ่เธออีกครั้ง
เวลาผ่านไปสามนาที แพทย์หญิงที่ถืออุปกรณ์เตรียมปั๊มหัวใจมองไปที่จอสัญญาณชีพ ซึ่งในที่นี่จะบอกค่าต่างๆอย่างละเอียด ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (SpO2) ชีพจร (PR) ความดันเลือดภายนอกร่างกาย (NIBP) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) อุณหภูมิของร่างกาย (TEMP)
และในที่สุดค่าที่เธอจ้องมาตลอดตัวเลขก็ขยับขึ้น
“TEMP สูงขึ้นแล้ว!”
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนี่คือสัญญาณดี เพราะปกติอุณหภูมิของร่างกายจะเริ่มลดลงหนึ่งจุดห้าองศาฟาเรนไฮต์หรือประมาณศูนย์จุดแปดสามองศาเซลเซียสต่อชั่วโมงในช่วงเวลาสิบสองชั่วโมงแรก
หมอปรินซ์ไม่เคยใจเต้นแรงเท่านี้มาก่อน เขารีบตั้งสติเปิดเสื้อเธอ แล้วแนบแผ่นอิเล็กโทรดปั๊มหัวใจด้วยไฟฟ้าทันที
“เริ่มเลย”
»——————•♛•——————«
‘ใบชา...’
‘ใบชาจะไปเรียนสายแล้วนะลูก’
เธอค่อยๆเปิดตาตื่นแล้วหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นหยัดลุกขึ้นบิดขี้เกียจซ้ายขวาและก้าวลงจากเตียงไปเปิดประตูห้อง
แต่เปิดออกมากลับเจอพ่อและแม่ยืนยิ้มอยู่ทั้งสองคน ภายในบ้านปกคลุมไปด้วยหมอกควัน ฟุ้งจนคนยืนอยู่ในห้องขมวดคิ้วสงสัย
‘ทำไมควันในบ้านเยอะจัง...’
แม่เธอส่งมือมาลูบแขน ใบชาก้มมองเล็กน้อยแล้วมองหน้าผู้เป็นแม่
‘ลูกนอนเยอะไปแล้ว ตื่นแต่งตัวไปเรียนเถอะ พ่อกับแม่จะไปส่ง’
ใบชายิ้มกว้าง
‘ค่ะ แบบนี้ค่อยน่าไปเรียนหน่อย^___^’
แค่พริบตาเดียวภาพก็ตัดไป เธออยู่ในชุดนักศึกษาเดินไปคว้ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ใช้ประจำขึ้นสะพาย และคว้ามือถือที่ชาร์จอยู่ขึ้นมาหย่อนใส่ช่องกระเป๋า จากนั้นเปิดประตูห้องออกมาก็เจอกับพ่อแม่ยืนยิ้มอย่างเก่า รอยยิ้มที่ส่งมาให้ยังยิ้มกว้างเช่นเดิม ดวงตาเป็นประกายไปด้วยความสุข
ทุกอย่างเป็นปกติ... เหมือนที่เคยเป็นเมื่อสามปีก่อน สามคนพ่อแม่ลูกเดินคุยกันลงบันไดบ้าน ลูกสาวสุดที่รักควงแขนพ่อกับแม่สองข้างไม่ปล่อย
‘ไปส่งใบชาไปเรียนจนจบปริญญาเอกเลยนะคะ’
‘แหม จะไม่มีแฟนเลยรึไงลูกพ่อ’
‘ไม่เอาๆ ไม่มีใครรักใบชาเท่าพ่อกับแม่แล้ว จะอยู่กับพ่อแม่ตลอดไปเล้ยยยย’
มือใหญ่ยกขึ้นยีหัวลูกสาว
‘พ่อว่ามี เผลอๆอาจจะดูแลใบชาได้มากกว่าพ่ออีก’
‘ไม่น่าจะมีนะคะ ใบชาว่าพ่อกับแม่คือที่สุดแล้ว อยากอยู่ด้วยตลอดไปเลย^^’
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วมองมาที่ลูกสาว
‘เดี๋ยวพ่อกับแม่พาไปส่ง จะได้รู้ว่าใคร และมีจริงไหม^^’
เธอหันไปสบตาพ่อกับแม่ซ้ายขวาแล้วเผยยิ้มออกมา จากนั้นเดินออกจากบ้านเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งเบาะด้านหลังซึ่งเป็นที่ประจำ ในหัวแอบสงสัยเล็กน้อยว่าประเทศไทยหมอกลงหรือ PM2.5 หนาจัด ทำไมโดยรอบฟุ้งและมัวหมองแบบนี้ ที่เห็นชัดสุดก็มีแต่ใบหน้าพ่อแม่และรอยยิ้มท่าน ข้างนอกมองไม่เห็นอะไรเลย
และรถก็ค่อยๆชะลอจอด...
ใบชามองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าข้างนอกคืออะไร อยู่ๆประตูรถก็เปิดออกแล้ว แถมพ่อกับแม่ของเธอก็ออกไปยืนยิ้มอยู่ข้างนอก ใบชาจึงก้าวขาลงจากรถเดินผ่านกลุ่มควันขาว เธอพยายามมองว่ามันคือที่ไหน แต่มองไม่เห็นอะไรนอกจากควัน พ่อแม่ และแสงสีส้มอ่อนที่อยู่ไกลๆ
‘พ่อกับแม่พาใบชามาที่นี่ทำไมคะ’
‘พามาส่งให้คนที่ดูแลลูกสาวพ่อได้ไงลูก’
มีจริงเหรอ? ไม่เห็นจะมีใคร? เธอแค่คิดในหัวเท่านั้น แต่พ่อกับแม่ดันรับรู้ได้ ทั้งคู่ชี้ไปที่แสงสีส้มอ่อนพร้อมกันจนเธอมองตาม
‘ทางนั้น เดินไปสุดทางนะลูก’ พ่อเธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
‘ใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขนะใบชา’
แล้วแม่ของเธอก็ยกมือขึ้นบ้ายบายช้าๆ
‘เดี๋ยวค่ะ!’
ที่ต้องเรียกไว้เพราะสิ้นประโยคนั้นพ่อกับแม่เธอหายไปกับตาพร้อมกับรถที่นั่งมาด้วยกัน ตอนนี้รอบๆเธอว่างเปล่า เริ่มหนาวเย็น สิ่งเดียวที่เห็นคือแสงสีส้มนั้น สองเท้าจึงค่อยๆก้าวไปหา
ทว่ายิ่งก้าวไปใกล้... ยิ่งรู้สึกอุ่นใจและอุ่นกายอย่างประหลาด แสงสีส้มใหญ่ขึ้นเท่าขนาดตัวของเธอ
และทันใดนั้นก็มีมือหนึ่งเอื้อมมาคว้าแขนหมับ!
ตาใบชาเบิกกว้างมองมือนั้นที่มีแขนเสื้อเป็นเสื้อกาวน์สีขาว และมองเจ้าของมือที่เห็นใบหน้าเลือนรางสลับกัน
‘คะ คุณเป็นใคร?!’
‘เจ้าชายของเธอไงยัยโง่’
คำตอบนั้นเย็นชายิ่งกว่าอะไรดี ยังอึ้งไม่หาย ยังงงไม่เลิก แต่แล้วมือทรงพลังนั้นก็กระชากเธอไปหาอย่างรวดเร็วจนเสียศูนย์
‘มานี่’
‘กรี๊ดดดดดดดดดด’