EP.7
เหตุผล
“จัดการได้อยู่หมัดเลยนะ หลังจากนี้คงไม่กล้ามาวุ่นวายแล้วล่ะ”
น้ำทิพย์พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ใจจริงอยากหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่กลัวจะเสียมารยาทเลยอดทนไว้
“ให้มันทำได้เถอะ เบื่อจะตายชักอยู่แล้ว”
ลดารีบสวมนาฬิกาที่ใส่ประจำเพื่อปกปิดร่องรอยบางอย่างกลับเข้าที่ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งประจำที่ตัวเอง มาถึงก็มีเรื่องแต่เช้าหวังว่าเรื่องจะไม่ไปถึงหูอาจารย์นะ
“คงเข็ดแล้วล่ะ คนเห็นพอสมควรเลยนะ คงไม่กล้ามาเรียนไปอีกหลายวัน คิก คิก”
ลดาส่ายหัวให้กับเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปตั้งหน้าตั้งตาเรียน หลังจากนี้คงสงบไปได้อีกหลายวัน
พอตกบ่ายเธอกับเพื่อนก็แยกย้ายกันไป ลดาตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อพบหมอตามนัด พอมาถึงเลขาก็แจ้งให้เธอเข้าไปรอได้เลย ส่วนคนที่นัดเธอติดคนไข้เลยจะมาช้านิดหน่อย
ลดานั่งรอเขาที่โซฟาพักใหญ่ก่อจะผล็อยหลับไป ชาญวิทย์ที่เพิ่งกลับมาจากตรวจคนไข้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูอย่างเบามือ
“ไม่ระวังตัวเอาซะเลย”
เขาบ่นออกมาก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนเล็กมาคลุมให้ ดูท่าอีกฝ่ายคงอดนอนมาไม่น้อย รวมทั้งยังมีผลข้างเคียงของยารักษาอีก จะหลับก็ไม่แปลกอะไร
ลดาหลับไปเกือบชั่วโมงก่อนจะตื่นมาอย่างงุนงง เธอมองผ้าห่มด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบห้องจนไปเจอกับชาญวิทย์ที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่เงียบ ๆ
“ขอโทษค่ะ เผลอหลับ”
ลดาเอ่ยขึ้นมาเรียกความสนใจจากร่างสูง เขาวางปากกาลงพร้อมกับผายมือมาที่เก้าอี้ตรงหน้า ลดาลุกไปนั่งหน้าเขามองของบนโต๊ะด้วยความสนใจ
“คุณขยันดีนะ”
บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารมากมาย เขาเป็นทั้งหมอและผู้อำนวยการคงเหนื่อยไม่น้อยเลย
“ผมทำตามหน้าที่ เอาล่ะเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
เขาหยิบสมุดบันทึกมาเตรียมจดก่อนจะเริ่มถามคำถาม เป็นคำถามง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เว้นคำถามช่วงท้ายที่เธอไม่ค่อยอยากตอบเท่าไหร่นัก
“อาการนอนไม่หลับของคุณ เป็นมานานแค่ไหนแล้ว?”
“เป็นพัก ๆ ค่ะ บางทีก็นอนมากไป”
เธอตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม หลบสายตาเขาที่จ้องมองมาอย่างจับผิด
“คุณตอบไม่ตรงคำถามนะ ผมถามว่าเป็นมานานแค่ไหนแล้ว”
น้ำเสียงเขาติดจะดุนิด ๆ ลดาลอบถอนหายใจก่อนตัดสินใจบอกไปตามตรง
“เป็นมานานมากแล้วค่ะ แต่ไม่ได้เป็นตลอด เป็น ๆ หาย ๆ”
เขาจดอะไรลงสมุดบันทึกก่อนจะปิดมันลง เท้าแขนลงบนโต๊ะ ก่อนจะหรี่ตามองอย่างจับสังเกตคนตรงหน้า
“ถ้าคุณอยากหาย คุณต้องบอกผมทุกเรื่อง บางเรื่องมันอาจเป็นเรื่องที่คุณไม่อยากเล่าแต่คุณก็ต้องเล่า”
“....”
“ผมบอกแล้วว่าจะรักษาคุณเต็มที่ แต่ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้”
“ฉัน....ต้องการเวลา”
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเล่าถึงเรื่องในอดีตที่เป็นเหมือนแผลของเธอ การรื้อฟื้นเรื่องราวเหล่านั้นก็เหมือนกับการเอามีดมากรีดแผลซ้ำ ๆ นั่นล่ะ
“ผมรอได้ แต่คุณต้องรับปากว่าจะเล่าตามจริง”
“ค่ะ”
“แล้วตอนนี้มีอะไรอยากเล่าไหม เรื่องอะไรก็ได้”
เขาเอนหลังพิงกับเก้าอี้ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น ลดาลดการ์ดตัวเองลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องความฝันของตัวเอง
“ฉันนอนฝันร้าย ทุกครั้งที่หลับตาลงก็จะฝันตลอด มันเป็นสิ่งที่ฉันเกลียด....ที่สุด”
“ฝันหลายเรื่องหรือเรื่องเดิมซ้ำ ๆกัน?”
“เรื่องเดิมค่ะ ทุกรอบ.....”
ชาญวิทย์ประมวลผลในหัวอย่างรวดเร็ว เธอมีอาการซึมเศร้า นอนไม่หลับและฝันร้ายต่อเนื่องกัน เรื่องพวกนี้จะรีบไม่ได้ต้องคอยตะล่อมถามไปเรื่อย ๆ ถ้าเกิดเผลอเร่งรีบไปจากที่ลดกำแพงป้องกันลง เธออาจไม่ยอมเปิดใจให้เขาอีกเลยก็ได้
“อยากเล่าไหมว่าเรื่องอะไร ถ้าไม่ก็ไม่ต้องเล่า”
น้ำเสียงนุ่มหูถามขึ้นมาเบาๆ ลดานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เธออยากเล่าแต่ก็ไม่กล้าเล่า ทุกอย่างมันตีกันปนเปไปหมดในหัวของเธอ
“ฉันไม่รู้ ฉัน...”
“งั้นก็ยังไม่ต้องเล่า มีเรื่องอื่นอีกไหม?”
เธอส่ายหน้ารัว ๆ คุณหมอหนุ่มหันมองเวลา เห็นว่าเย็นมากแล้วเลยคิดว่าวันนี้ควรพอก่อน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า คุณจะได้ไม่เครียดจนเกินไป เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันกลับเองได้”
ชาญวิทย์ชะงักมือที่กำลังจะหยิบกุญแจขึ้นมา เขาหรี่ตามองเธอด้วยความสงสัย เธอทำราวกับสัตว์ที่หวงอาณาเขตและไม่อยากให้ใครเข้าไป
“จำสัญญาได้ไหม คุณรับปากแล้วนี่ว่าจะให้ผมไปดูที่พักคุณ”
เขาทวงสัญญาที่มัดมือชกเธอขึ้นมาดื้อ ๆ แถมยังได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายจากร่างบางด้วย
“แค่ชั่วโมงเดียวนะ ฉันไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายที่ห้องนอกจากคนสนิท”
ลดาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วก็ต้องทำตามที่พูดไป
“ไม่อยู่นานนักหรอก แค่อยากเห็นสภาพแวดล้อมเฉย ๆ”
เขาเดินนำไปเปิดประตูให้เธอ เลขาหน้าห้องลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ชาญวิทย์หันไปสั่งให้อีกฝ่ายกลับบ้านได้เลยเพราะเขาเองก็จะกลับเลยเช่นกัน
“คุณอรกลับได้เลยนะ ผมคงไม่เข้ามาแล้ว มีเรื่องด่วนค่อยติดต่อผมมานะ”
“ได้ค่ะผอ.”
ลดาเดินตามหลังเขาต้อย ๆ ไปที่อาคารจอดรถ เขาเป็นหมอที่สมถะพอสมควรเลย เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลชื่อดัง แต่กลับทำตัวติดดินใช้รถแค่คันล่ะไม่กี่สิบล้านเอง
“ขึ้นไปสิ”
ลดาหลุดจากห้วงความคิด เมื่อเขาเอ่ยเร่งเบา ๆ ก่อนจะรีบเดินไปขึ้นรถเบนซ์ที่เปิดประตูรออยู่แล้ว
“บอกทางด้วย”
เธอเอื้อมไปกดเนวิเกเตอร์ให้เขาก่อนจะทิ้งตัวพิงเบาะรถไว้ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ให้คนแปลกหน้าเข้ามาที่ห้องของเธอ น่าจะหลายปีพอสมควรเลย
“คุณพักอยู่กับใคร”
เขาถามทำลายความเงียบขึ้นมา สายตายังคงจับจ้องไปที่ถนน
“คนเดียวค่ะ อ้อ มีแมวอีกตัว”
เธอเพิ่งนึกขึ้นได้เลยบอกเพิ่มไป พอคิดถึงเจ้าก้อนส้มที่ชอบมาคลอเคลียเวลากลับมาจากข้างนอกก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ชาญวิทย์เหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะหันไปขับรถต่อ
ยิ้มสวย
ถ้ายิ้มบ่อย ๆ คงดีไม่น้อย...
เขาได้แต่คิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ไม่นานก็ฝ่ารถติดมาถึงที่พักเธอจนได้
“ห้องอาจรกหน่อยนะ ไม่คิดว่าจะมีแขกวันนี้”
เธอพูดพร้อมกับกดรหัสเข้าไปด้านใน เซชิลได้ยินเสียงประตูก็รีบลุกขึ้นเดินมาหาเธอ
“ว่าไงเซชิล เหงาไหม”
เธอย่อตัวลงไปเล่นกับเจ้าแมวน้อย มันมองหน้าคนที่มากับเธอด้วยความสงสัย
“หิวไหม เดี๋ยวเติมข้าวให้นะ”
พูดจบก็อุ้มแมวเดินหายไปเลย ทิ้งให้ร่างสูงสำรวจไป รอบ ๆ ห้องด้วยความสนใจ
ที่พักของเธอเป็นคอนโดหรูใจกลางเมือง ขนาดห้องกว้างพอสมควร มีห้องแยกต่างหากสองสามห้องแต่การตกแต่งกลับมืดมนจนน่ากลัว
นอกจากห้องน้ำแล้วทุกอย่างในคอนโดนี้ล้วนเป็นสีขาวและสีดำ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่สีดำมากกว่าด้วยซ้ำไป มันบ่งบอกได้ถึงรสนิยมของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดีรวมถึงสภาพจิตใจด้วย
“แบบนี่ท่าจะแย่”
เขาพูดออกมาเบา ๆ นอกจากจิตใจจะย่ำแย่แล้ว การอยู่ในที่แบบนี้ก็ไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่นัก สิ่งเดียวที่มีสีสันน่าจะเป็นแมวที่เธอเก็บมาเลี้ยงนั่นล่ะ
“เธอชอบสีดำเหรอ”
เขาเดินเข้ามาหาเธอที่ห้องนั่งเล่น ลดาที่กำลังนั่งมองแมวกินอาหารเงียบ ๆ ถึงกับตกใจสะดุ้งสุดตัว
ลืมไปเลยว่าเขามาด้วย
“ใช่ ทำไมเหรอ”
“เปล่า แต่น่าปรับให้มีสีสันสักนิด นอกจากแมวเแล้วยังไม่เห็นอะไรที่มีสีสันเลยนะ”
ก็จริงอย่างที่เขาพูดนั่นล่ะ เธอมักซื้อทุกอย่างเป็นสีดำไม่ก็สีโทนเข้มมากกว่าสีโทนสว่าง
“ไม่รู้สี ฉันว่าสีดำก็เหมาะกับฉันดีออก ไม่จริงหรือไง?”
ลดาพูดโดยไม่หันมองหน้าคนฟังสักนิด ดวงตาคู่สวยฉายประกายหม่นออกมา
“ไม่มีใครเหมาะกับสีอะไรหรอก ถ้าชอบก็แค่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”
เขาพูดออกมาโดยไม่สื่อความรู้สึกตัวเองเลยแม่แต่น้อย ลดาเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความสนใจก่อนจะถามบางอย่างออก
“คุณรักษาฉันเพราะอะไรกันแน่ สงสาร อยากรู้ หรือสมเพช?”
ระดับผู้อำนวยการของโรงพยาบาล ไม่จำเป็นต้องมารับเคสพวกนี้เองด้วยซ้ำไป เขามีหมอฝีมือดีตั้งหลายคน ย่อมเลือกได้ว่าจะรักษาเองหรือให้คนอื่นมาดูแลก็ทำได้ทั้งนั้น
“คุณอยากให้เป็นแบบไหนล่ะแต่ถ้าถามผม ผมไม่เคยทำเพราะความสงสารหรือสมเพช ผมทำเพราะผมเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาคนป่วย ก็แค่นั้น”
เธอยกยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก มือบางลูบหัวแมวที่ยังกินไม่หยุด ช้า ๆ
“ขอบคุณที่บอกนะ ฉันดีใจที่คุณไม่ได้รักษาเพราะสงสารหรือสมเพช”
“ไว้หายแล้วค่อยมาเลี้ยงข้าวแล้วกัน วันนี้ผมกลับก่อนล่ะ”
เธอลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินนำเขาไปส่งที่หน้าประตู
“ขอบคุณที่มาส่ง กลับดี ๆ ล่ะ”
ลดาบอกเขาก่อนจะปิดประตูห้องลง ชาญวิทย์เดินออกไปแล้ว ทว่าร่างบางยังคงไม่ขยับไปไหนเธอทิ้งตัวนั่งพิงประตูอย่างหมดแรง คำพูดของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหัว
‘ฉันไม่เคยรักษาใครเพราะสงสารหรือสมเพชหรอกนะ’
มันอาจดูเป็นแค่คำพูดธรรมดาแต่สำหรับเธอแล้วมันเป็นคำพูดที่ชวนให้ดีใจมาก
“นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยเจอคนแบบคุณกันนะ”