EP. 2 LADA | หมอคนใหม่?

1799 คำ
EP. 2 LADA | หมอคนใหม่? ฉันลากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงกลับมาคอนโด การเรียนมันดูดพลังชีวิตขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย กริ๊งงงง ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดหรือทำอะไรเลย มือถือเจ้ากรรมก็แผดเสียงดังลั่น จนฉันต้องหยิบออกมาดู แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา “สวัสดีค่ะ ลุงหมอ” (หนูลดา ลุงหมอมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบครับ) “ค่ะ ลุงหมอ” (คือลุงหมอจะโทรมาแจ้งเรื่องการเปลี่ยนหมอที่ทำการรักษาหนูลดานะ พอดีมีเรื่องด่วนต้องไปทำ เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนหมอที่รักษา หนูลดาโอเคไหม) หมอพัฒน์ เป็นหมอที่ทำการรักษาฉันตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เขาเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 44 ปี และแม้ว่าการรักษาจะไม่คืบหน้าเท่าไหร่นัก แต่เขามักจะคอยรับฟังปัญหาฉันอยู่เสมอๆ เขาเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ จู่ ๆ มาเปลี่ยนกะทันหันแบบนี้ มันก็แอบตกใจอยู่บ้าง “ไม่มีปัญหาค่ะ” (งั้นพรุ่งนี้ช่วงบ่าย ไม่มีเรียนใช่ไหม เดี๋ยวเข้ามาเจอหมอคนใหม่ด้วยนะ) “ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันกดวางสายแล้วหันไปเล่นกับเจ้าเซชิล ดีที่ไปซื้อของเล่นแมวตามคำแนะนำของทิพย์มา เจ้านี่ดูท่าจะชอบมากเลยเล่นกับไม้ล่อแมวไม่หยุดเลย “ไง เจ้าเซชิล ชอบไหม” ‘เมี๊ยวววว’ ฉันเล่นกับมันพร้อมคิดถึงหมอคนใหม่ไปด้วย จะเป็นคนแบบไหนกันนะ แล้วหมอพัฒน์มีเรื่องอะไรถึงต้องส่งต่อคนไข้ให้กับหมอคนอื่น? วันรุ่งขึ้น ลดาในสภาพอิดโรยลุกมาโทรหาเพื่อนสนิทอย่าง ทิชา เพื่อขอให้เธอไปหาหมอคนใหม่เป็นเพื่อน เธอนอนไม่หลับทั้งคืน พอหลับก็ฝันเหมือนเดิม จะออกไปขี่รถก็ไม่ได้เพราะฝนตกหนัก ใช้เวลาไม่นานปลายสายก็รับ ทิชาส่งเสียงหวาน ๆ มาตามสาย (ฮัลโหล ว่าไงลดา) “ว่างไหม ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหน่อย” (อ้าว! ไหนว่าอาทิตย์หน้า) “พอดีเลื่อนน่ะ” (มีอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงแกไม่ดีเลย) “ก็นิดหน่อย สรุปแกว่างไหม” (ว่างสิ อีกครึ่งชม. เดี๋ยวฉันไปรับ) “โอเค” ลดารีบแต่งตัวลงมารอที่ด้านล่างคอนโด เธอเห็นทิชาขับรถสุดหรูมาจอดเทียบช้า ๆ หน้าคอนโด ร่างบางรีบก้าวขึ้นรถไป พอขึ้นมาก็โดนเจ้าของรถที่ตาไวถามทันที "แกได้นอนบ้างไหม ลดา” ทิชาสังเกตได้ถึงความผิดปกติเพราะสภาพลดาแย่มากจนทิชาอดห่วงไม่ได้ "ไม่อ่ะ ฉันนอนไม่หลับ" ลดาตัดสินใจที่จะบอกไปตามตรง ยังไงซะก็ปิดไม่มิดอยู่แล้ว "แกต้องนอนบ้างนะ โทรมหมดแล้วเนี่ย” "อืม จะพยายามนะ รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทัน" เธอรับปากแบบปัด ๆ ไปเพื่อให้เพื่อนรักไม่เซ้าซี้ไปมากกว่านี้ กว่าจะฝ่าดงรถติดมาถึงโรงพยาบาลได้ก็สายไปเกือบชั่วโมง ทิชาแยกไปนั่งรอที่คาเฟ่ใกล้ ๆ ส่วนลดาก็รีบเข้าไปพบหมอตามนัด “เธอเป็นคนประเภทไหนถึงได้มาสายขนาดนี้? ถ้าจะสายแบบนี้ไม่มาชาติหน้าเลยล่ะ?” ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าหรือทักทายอะไร เสียงเย็นเฉียบก็ถามขึ้นมาแบบห้วน ๆ ลดาข่มใจไว้ เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด “ขอโทษค่ะ รถติดเลยช้า” “เชิญนั่ง” ลดานั่งลงตรงข้ามกับหมอหนุ่ม เธอแอบสำรวจคนตรงหน้าเงียบๆ เขาเป็นคนหล่อเลยทีเดียว อายุก็คงไม่ได้ห่างกันมากนัก “มองจนพอใจหรือยัง” ลดาสะดุ้งเมื่อถูกจับได้ว่ามองเขา เธอยืดตัวตรงก่อนจะสงวนท่าทีไว้ “หมอพัฒน์คงบอกแล้วใช่ไหม ว่าผมจะเข้ามาดูแลคุณแทน?” “บอกแล้วคะคุณ....” “ผมชื่อชาญวิทย์ เรียกว่าหมอชาญก็ได้” “ค่ะ หมอชาญ” “จากประวัติของคุณ คุณเข้ารับการรักษาด้วยอาการซึมเศร้า ถูกไหม?” “ใช่ค่ะ” “หมอประจำตัวคุณได้บอกหรือเปล่า? ว่าความรุนแรงของอาการมันระดับไหน?” “ไม่ค่ะ....คิดว่าไม่ได้บอก” ลดาทำท่าลังเลก่อนจะตอบออกไป จริง ๆ เธอก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะที่ผ่านมาถึงจะเข้ารับการรักษาแต่ตัวเธอก็ไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นัก “คิดว่า? นี่คุณสนใจตัวเองมากน้อยแค่ไหน ถึงได้ไม่รู้อาการตัวเอง ถ้าไม่ใส่ใจจะมารักษาทำไม?” จึก เจ็บ ไอ้หมอคนใหม่นี่พูดแรงชะมัด ไม่ถนอมน้ำใจคนไข้เลย ลดานั่งฟังพร้อมข่มอารมณ์ไว้ด้วย มือสองข้างกำหมัดแน่น ‘ใจเย็น ๆ ลดา ใจเย็น ๆ’ “โรคซึมเศร้าของคุณอยู่ในระดับ Severe Depression ซึ่งเป็นระดับที่รุนแรงมาก” “ค่ะ” ลดาตอบรับด้วยท่าทีที่นิ่งเฉยจนหมอหนุ่มอดแปลกใจไม่ได้ “คุณ.....เคยฆ่าตัวตายใช่ไหม....” ดวงตาคู่สวยไหววูบ มือเรียวกำข้อมืออีกข้างไว้แน่น ชาญวิทย์มองปฏิกิริยานั้นเงียบ ๆ เหลือบมองข้อมือที่อีกฝ่ายกำไว้จนแอบเห็นรอยแผลเป็นจาง ๆ “ฉันขอไม่ตอบนะคะ” “คุณกลัวผมหรอ” “เหอะ คุณก็แค่หมอคนหนึ่ง มีอะไรให้ต้องกลัว” “นั่นสิ ไม่กลัว แล้วทำไมไม่ตอบ?” “....” “ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา คุณจะหายไหม หรือไม่อยากหาย?” “พูดบ้าอะไรของคุณ! ใครมันจะอยากป่วยด้วยโรคบ้า ๆ นี่กัน! คุณเป็นหมอที่ปากหมาที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย!” ลดาทนไม่ไหวแล้ว เธอระเบิดคำด่าใส่คุณหมอหนุ่มก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปจากห้อง ทว่าก่อนจะพ้นประตูออกไปก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน “ไม่ว่ายังไง คุณก็หนีไม่ได้ตลอดหรอกนะ สักวัน ยังไงก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน” “.....” “หวังว่าอาทิตย์หน้าคุณจะมาให้ตรงเวลากว่านี้นะ คุณณัฐลดา” ‘ปัง!!!!’ ลดากระแทกประตูปิดเต็มแรงจนเลขาที่นั่งหน้าห้องสะดุ้งโหยง เธอไม่ได้โกรธใครแบบนี้มานานมากแล้ว “ไอ้หมอบ้า! ไอ้หมอปากหมา!” เธอออกจากห้องมาด้วยอาการหงุดหงิด ไอ้หมอบ้านั่นรู้ได้ยังไงกันว่าเธอ ‘เคยฆ่าตัวตาย?!’ ««««»»»» Chanwit Talk ผมมองร่างบางกระแทกประตูออกไป จากที่ได้พูดคุยและลองยั่วยุดู เธอเป็นคนหัวแข็งเลยทีเดียวแถมยังใจร้อนอีกด้วย ดูจากประวัติการรักษาเธอเข้ามาพบจิตแพทย์ได้สองปีกว่าแล้ว แต่อาการกลับไม่ดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงกับทรงตัวเท่านั้น มันทำให้เขาแปลกใจเพราะพ่อของเขาเป็นคนเสนอเคสนี้มาให้เขาเองกับมือ จริง ๆ เคสโรคซึมเศร้าไม่แปลกที่จะกินเวลานานต่อเนื่องเป็นปี ๆแบบนี้ ตามปกติหมอจะวินิจฉัยอาการแล้วจ่ายยาตามระดับที่ผู้ป่วยเป็น ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าจะแบ่งเป็นสามระดับหลัก ๆคือ Mild Depression ระดับเล็กน้อย Moderate Depression ระดับปานกลาง Severe Depression ระดับรุนแรง ซึ่งอาการของเธอมันคือระดับ Severe Depression ถือว่าอันตรายมาก เพราะคนที่ป่วยระดับนี้ สามารถคิดอะไรตื้น ๆ ได้และจากการสังเกตของผม รวมทั้งสีหน้าท่าทางของเธอที่แสดงออกมาเธอคงมีภาวะนอนไม่หลับแทรกซ้อนด้วย นั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงกว่าเดิม สิ่งที่แปลกคือ นอกจากช่วงแรกที่จ่ายยาต้านเศร้า(antidepressants) หลังจากนั้นประมาณสองเดือน ก็ไม่มีการจ่ายยาตัวนี้อีก ทั้งที่ยาตัวนี้ควรจะทานต่อเนื่องกันด้วยซ้ำอาการเธอเองก็เลยไม่ดีขึ้น มันมีอะไรแปลก ๆ ในเคสนี้หลายอย่าง..... ครืดด ครืดดด ผมเหลือบดูชื่อตรงหน้าจอ โทรมาได้จังหวะจริง ๆ คนต้นเรื่องนี้ “ครับพ่อ” (เป็นไงบ้าง คนที่พ่อบอก พอจะรักษาได้ไหม) “เธอเป็นใครกันแน่ครับ พ่อถึงได้ใส่ใจเธอแบบนี้” (นั่นสิ ไว้ลูกรักษาเธอจนดีขึ้นเมื่อไหร่ พ่อจะบอกนะ) ปลายสายกดวางไปแล้ว ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความสงสัย อีกอย่างที่ชวนให้สนใจคือ ผมจำได้ว่าเธอเป็นคนที่อุ้มเจ้าลูกแมวกลับไป.... ผมกดโทรศัพท์ภายใน เรียกเลขาเข้ามาพบ “คุณอร เอาเอกสารที่ผมขอไว้เข้ามาพบผมที” “ได้ค่ะผอ.” “ก๊อก ๆ ” “เชิญ” เลขาวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องพร้อมแฟ้มประวัติที่เขาต้องการ “นี่ค่ะ ผอ. เอกสารที่ให้ดิฉันหามาให้” “ขอบคุณครับ” “แล้วสรุปเคสคุณณัฐลดา คุณหมอจะดูแลเองใช่ไหมคะ ดิฉันจะได้จัดตารางให้” “ใช่ครับ รบกวนด้วย” ผมเตรียมจะไปดูเคสอื่น ๆ ที่แผนกจิตเวช ถึงผมจะเป็นผู้อำนวยการแต่ผมก็ชอบทำงานด้านจิตเวชมากกว่า ระหว่างทาง ผมก็ได้ยินเสียงคนไข้ตัวแสบของผมดังมาจากคาเฟ่ “เอาอเมริกาโน่เย็นค่ะ ขอแบบเข้ม ๆ ” ผมขมวดคิ้ว นอนก็ไม่หลับอยู่แล้วยังจะสั่งกาแฟเข้ม ๆ แบบนั้นมาอีก ผมถอนหายใจเบา ๆ ตอนแรกว่าจะไม่ยุ่งแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ทำไมขาสองข้างถึงได้ก้าวไปขวางพร้อมคว้ากาแฟแก้วนั้นมาเอง "นี่คุณ เอาคืนมานะ" เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนแย่งกาแฟไป ร่างบางก็หันมาแว้ดใส่ผมทันที "คุณไม่ควรดื่มกาแฟนะครับ" "เรื่องของฉัน" ปากดีจริง คนไข้ผม..... "ไม่ได้ครับ ในฐานะเจ้าของไข้ผมมีสิทธิห้ามคุณ" เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมแน่ ๆเธอก็ถอยไปนั่งกระฟัดกระเฟียดแทน ให้ตายเถอะ แค่นี้ยังตีกันหวังว่าตอนรักษาคงไม่ต้องล่ามขา ล่ามแขนนะ “สวัสดีครับ คุณทิชา แขนหายดีแล้วใช่ไหมครับ” "ใช่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยไว้" "ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว" ผมหันไปทักอีกคนที่นั่งอยู่ เธอเป็นเมียเพื่อนผมเอง ซึ่งผมก็เคยไปรักษาอาการไหล่หลุดให้เธอมาก่อนเลยจำได้ ยังไม่ทันได้คุยอะไรกัน คนที่ท่าทางหงุดหงิดสุดในโต๊ะก็ลุกคว้ากระเป๋าเดินลิ่วออกไปจนเพื่อนเธอต้องวิ่งตาม ผมนั่งมองเธอเดินไปจนสุดสายตาก่อนจะลุกไปทำหน้าที่ตัวเองบ้าง คนไข้รายนี้คงทำให้ผมสนุกได้ไม่น้อยเลยล่ะ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม