EP.9
สะกดจิต
“ผมอยากลองรักษาคุณด้วยวิธีใหม่ คุณสนใจไหม”
เขาบอกขึ้นหลังจากที่เธอมานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่มาส่งเธอเมื่อวานเขาก็ลองกลับไปค้นคว้าบันทึกการรักษาโรคซึมเศร้าอีกรอบและได้ข้อสรุปมาว่า
การรักษาด้วยการสะกดจิตอาจจะได้ผลมากที่สุด....
“ยังไงคะ คุณจะไม่ทำอะไรแปลก ๆ กับฉันใช่ไหม?”
เธอมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง คุณหมอหนุ่มยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาจะเอาเธอไปทำอะไรกัน
“ผมว่าคุณดูหนังมากไปนะ”
ลดาทำหน้างอ ก็เขาเล่นพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยใครมันจะไม่คิดมากกัน
“ผมอยากลองรักษาคุณด้วยการสะกดจิต แน่นอนว่าถ้าคุณยอมล่ะนะ”
เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแต่ยังไม่เคยลองรักษาจริงจังเลยสักครั้ง
มันจะได้ผล...จริง ๆ งั้นเหรอ?
“มีผลเสียหรือความเสี่ยงอะไรไหมคะ?”
เธอตัดสินใจถามออกไป นิ้วเรียวเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด ผลเสียน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ความเสี่ยงเนี่ยสิ จะบอกว่ายังไงดี
“ผลเสียไม่ค่อยมี ส่วนความเสี่ยง...”
เขาเว้นจังหวะนานจนเธอหายใจติดขัด พอเขาเห็นเธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแถมยังตั้งใจฟังแบบสุด ๆ ไปเลยก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอ เลยเว้นช่วงนานมากนานจนหญิงสาวหมดความอดทน
“โอ้ยยย ปากเป็นอะไรทำไม่ไม่พูดต่อ อมเหรียญไว้หรือไงกันฮะ!”
เธออดไม่ได้ที่จะวีนใส่เขา แต่พอรู้ตัวก็รีบตะครุบปากตัวเองไว้แน่น
“เห็นนั่งเงียบ นึกว่าไม่อยากรู้ซะอีก”
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ความเสี่ยงก็คือ คุณอาจเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวด”
ลดาถึงกับชะงักนิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น ภาพความทรงจำร้าย ๆ ที่เธอฝังกลบมันไปต้องถูกรื้อฟื้นงั้นเหรอ
เสี่ยง
เสี่ยงมากจริง ๆ
“แต่มันจะเป็นผลดีต่อการรักษาแน่นอน ผมรับรองได้”
เขายืนยันด้วยความหนักแน่นเพราะมั่นใจว่าวิธีนี้น่าจะได้ผลดีกับเธอไม่มากก็น้อย
“ลองก็ได้ค่ะ”
หลังจากคิดใคร่ครวญดีแล้ว ลดาก็ตัดสินใจตอบตกลง เพราะถึงยังไงไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมดอยู่ดี
“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?”
เขาถามย้ำอีกรอบเพื่อความมั่นใจ เพราะถ้าได้เริ่มสะกดจิตแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะไปดึงความทรงจำส่วนไหนของเธอออกมากัน
“ค่ะ แต่ขอเวลาทำใจหน่อยนะคะสักสอง สามวัน”
“ผมยังไม่ได้จะเริ่มตอนนี้หรอกครับ เอาเป็นเสาร์หน้าก็ได้ ส่วนวันนี้ก็คุยแค่เรื่องทั่วไปก็พอ”
คำพูดเขาทำให้เธอผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป จนกระทั่งเขาวนมาสิ่งที่เขาสงสัยมากที่สุด
“แก้มคุณไปโดนอะไรมาครับ?”
ลดาชะงัก เธอลืมไปเลยว่าโดนตบมา ป่านนี้หน้าคงบวมมากแล้วเขาถึงได้ถามออกมา
“แค่โดนตบค่ะ ไม่มีอะไร”
เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะลุกเดินหายเข้าไปในครัวโดยไม่พูดอะไร สักพักก็กลับออกมาพร้อมผ้าขนหนูที่ห่อก้อนน้ำแข็งอยู่
“จะทำอะไรคะ?”
เธอหันมองคนตัวโตที่อยู่ ๆ ก็ก้าวมาประชิดตัวเธอ ชาญวิทย์ชูห่อประคบในมือเป็นเชิงบอกว่าจะประคบแก้มให้ ก่อนจะค่อยเอามันมาแนบกับแก้มเธออย่างเบามือ
“ถ้าอยากเล่าก็เล่าได้นะ บางครั้งการได้พูดก็ดีกว่าเก็บไว้ในใจคนเดียว...”
“....”
“หรือถ้าไม่อยากเล่า ผมแนะนำให้เขียนไดอารี่ไว้ก็ได้”
“ไดอารี่เหรอคะ โอ้ยย”
เธอเผลอหันหน้าแรงไปหน่อย ทำให้แก้มบางกระแทกเข้ากับน้ำแข็งในห่อผ้าจนร้องออกมา ชาญวิทย์ส่งเสียงในลำคอก่อนจะจับหน้าเธอหันไปอีกทางแล้วล็อคไว้ไม่ให้ขยับอีก
“อย่ายุกยิก เดี๋ยวก็เจ็บอีกหรอก”
เขาดุเธอเบา ๆ เมื่อร่างบางยังคงพยายามหันมามองเขา จนหญิงสาวยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้เขาประคบให้ ไม่นานแก้มที่บวมก็เริ่มดีขึ้นเขาเลยจับมือเธอมาถือห่อผ้าไว้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิม
“ประคบไว้แบบนั้นจนกว่าจะหายบวม”
หลังจากนั้นเขาก็ชวนเธอคุยเรื่องทั่วไป จนผ่านไปพักใหญ่ ชาญวิทย์ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะเลขาโทรมาเนื่องจากมีเคสที่เขาต้องเข้าไปดูแล
“ขอบคุณที่แวะมานะ”
เธอเดินมาส่งเขาที่หน้าประตูตามเดิม ก่อนที่เขาจะออกไปก็ไม่ลืมย้ำให้เธอกินยาให้ตรงเวลาด้วย
“อย่าลืมกินยา”
“อืม”
“มีอะไรติดต่อผมมาได้”
“อืมม”
“แล้วก็ ถ้าอยากเล่าหรือระบายก็บอกมาได้”
“ค่าาาาา”
เธอจงใจลากเสียงยาว เพราะเขาทำเหมือนเธอเป็นเด็กอายุสิบขวบยังไงยังงั้นล่ะ
ลดายืนมองร่างสูงเดินลงไปจนลับสายตาก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอลดเกราะตัวเองลงจนสามารถนั่งคุยกับเขาได้อย่างปกติ?
เขาเป็นคนที่แปลกมาก ดูเหมือนจะเย็นชา ปากร้าย ทว่ากลับมีมุมที่เป็นห่วงเป็นใยเธออยู่ด้วย แม้บางทีคำพูดเขาอาจจะตรงและแรงไปหน่อยแต่มันกลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อย
“คุณเป็นคนยังไงกันแน่นะ ไม่เข้าใจเลย”
««««»»»»
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา.....
ในที่สุดก็มาถึงวันเสาร์ที่เธอนัดกับหมอประจำตัวไว้ วันนี้เธอตกลงกับคุณหมอหนุ่มไว้ว่าจะเริ่มใช้วิธีการสะกดจิต โชคดีหน่อยที่ช่วงที่ผ่านมาไม่มีคนมากวนใจเธอ ทั้งราม ทั้งฟ้าใสหายหน้าหายตาไปกันหมด เลยทำให้เธอมีสภาพจิตใจค่อนข้างปลอดโปร่งก่อนมารับการรักษา
เท่าที่เธอรู้มาคือรามเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนซ้อมปางตาย ส่วนฟ้าใสก็ไปคอยดูแลอยู่เลยทำให้ชีวิตเธอสงบสุขตลอดสัปดาห์
แน่นอนว่ามันทำให้ชีวิตเธอสบายไปเยอะเลยล่ะ
“สวัสดีค่ะ คุณณัฐลดา คุณหมอมารออยู่แล้วล่ะค่ะ”
เลขาหน้าห้องคุณหมอหนุ่มเอ่ยทักทายเธอก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในห้อง ชาญวิทย์ล่ะสายตาจากกองเอกสารแล้วพยักหน้าให้เลขาออกไป
“เชิญด้านนี้ครับ”
เขาพาเธอไปที่ห้องที่อยู่ติดกัน ลดามองสำรวจไปรอบ ๆ ในห้องนี้มีเตียงนอนถูกจัดเตรียมไว้ด้วย บรรยากาศรอบ ๆ ปลอดโปร่งสบายตา ก่อนที่เขาจะบอกให้เธอขึ้นไปนอนเพื่อเริ่มกระบวนการสะกดจิต
“นอนลงครับ แล้วหลับตา...ตั้งสมาธิมองในความมืดตามเสียงผม ผมจะค่อย ๆ ถามคุณไปทีละคำถาม ตกลงไหม”
ลดามองคุณหมอบำบัดของเธอ ก่อนจะตั้งสมาธิทำตามที่เขาบอกอย่างตั้งใจ เปลือกตาสีมุขหลับลงภายในนั้นเธอเห็นแต่ความมืดมิด
“หายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออก ผมจะตบมือดัง ๆ หากมันอันตรายไม่ต้องห่วงนะ”
ลดาค่อย ๆ จมลงไปในความมืดโดยมีเสียงเขานำทางให้ เมื่อชาญวิทย์เห็นว่าเธอกำลังเข้าสู่การสะกดจิตแล้ว เขาก็เริ่มทำตามขั้นตอนที่คิดไว้ทันที
“เอาละ ตอนนี้คุณกำลังเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องของใคร”
ราวกับโดนมนตราสะกดในความมืดที่ไม่ควรเห็นอะไร ลดากลับมองเห็นห้องที่เธอคุ้นเคย ห้องของเธอ...ในบ้านหลังเก่า...
เธอกวาดตามองห้องนอนในวัยเด็กอย่างคะนึงหา เสียงหวานเอ่ยตอบคุณหมอที่ถามเธอซ้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“..ลดา คุณเห็นอะไร”
“ห้องของพี่สาวที่สนิทฉัน”
“มันเป็นแบบไหน”
“มีเตียง ขนาดเล็กกว่าตัวฉันตอนนี้ ตุ๊กตาที่ฉันชอบและติดมันมาก ๆ ในตอนเด็ก โต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยลิบมันสีสวยและแป้งหอม ๆ มีรูปถ่ายสติกเกอร์แปะอยู่ด้วย....”
ชาญวิทย์กลอกตามองก่อนจะจดทุกอย่างที่ได้ยินลงสมุดบันทึก ก่อนจะเริ่มถามต่อ
“ตอนนี้คุณตรงไหนของห้อง”
“หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มีคนกำลังทำผมให้ฉันอยู่”
“ใครทำผมให้คุณอยู่”
“พี่สาวคนหนึ่ง เธอโตกว่าฉันหลายปี น่ารัก เป็นคนเดียวกับที่อยู่ในรูปถ่ายสติกเกอร์ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของฉัน”
มือหนาจดเป็นระวิงก่อนจะเอ่ยถามต่อ ในหัวของชาญวิทย์ตอนนี้กำลังเดาเรื่องราวไปต่าง ๆ นานาอย่างไม่สิ้นสุดแม้จะมีคำตอบในใจแล้วแต่เขาก็ไม่ขอฟันธงมันตอนนี้
“ทำผมเสร็จแล้วพวกคุณไปไหนกันต่อ”
“เธอจูงมือ พาฉันเดินไปที่เตียง ลูบหัวฉัน ขยับเข้ามาหอมแก้มฉัน...ดันตัวฉันลงนอนกับเตียง”
“ลดา..”
“เธอขึ้นคร่อมฉัน สอดมือเข้าใต้กระโปรงฉันและ...ฮึก”
“ลดากลับมา!”
ปัง!!
เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมดวงตาของลดาที่เบิกโพล่งค้างมองเพดานอยู่แบบนั้น หยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาคู่สวย ศีรษะเล็กหันมองคุณหมอที่เป็นทั้งคนผลักและกระชากเธอกลับมาจากความทรงจำในตอนนั้น
ดวงตาที่สะท้อนความเจ็บปวดเหม่อมองชาญวิทย์อย่างเลื่อนลอย ก่อนที่ลดาจะเบนหันหน้าหนีไปอีกทางและร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดจากความทรงจำในอดีตที่ยังฝังลึกในจิตใจ
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าดีขึ้นแล้วแท้ ๆ
ทั้ง ๆ ที่คิดว่าถ้าต้องขุดคุ้ยมันอีกก็คงจะไม่เป็นอะไร....
แต่ในความเป็นจริงแล้ว...
มันไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำเธอเลย....งั้นสินะ