“คุณแม่ครับ”
เสียงของลูกชายทำให้สุณิชาหลุดจากภวังค์ หลังจากที่มัวแต่คิดไปถึงเรื่องราวในอดีตในวันแรกที่เธอได้ก้าวเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่และบอกตัวเองว่าสักวันจะต้องมีคนที่รักเธอด้วยใจจริง คนที่เห็นเธอสำคัญและมีความหมายเสมอและคนคนนั้นก็อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
“ว่าไงครับคนเก่ง”
“คุณหมอคนนั้นใจดีจังเลยนะครับ เค้าต้องเก่งมากแน่ๆ เลยใช่มั้ยครับ” ทะเลถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขายังจำความอบอุ่นจากมือใหญ่ของคุณหมอที่ทาบลงมาบนหน้าผากของตนพร้อมกับแววตาอ่อนโยนคู่นั้นได้เป็นอย่างดี
“ไม่เห็นใจดีสักนิด ออกจะใจร้ายด้วยซ้ำไป” เธอพึมพำออกมา
“อะไรนะครับ”
“เอ่อ...เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร แม่ว่าเราอย่าสนใจคุณหมอคนนั้นเลยนะ มาสวดมนต์กันดีกว่า อีกไม่ถึงสองชั่วโมงทะเลก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว แม่จะนำสวดมนต์ให้พระท่านช่วยคุ้มครองให้ลูกชายแม่หายไวๆ นะจ๊ะ”
“ครับ”
เด็กน้อยลุกขึ้นมานั่งโดยมีมารดาของเขาคอยประคองเอาไว้ ก่อนที่สองแม่ลูกจะยกมือขึ้นพนมไหว้แล้วนั่งสวดมนต์ในบทที่พวกเธอมักจะสวดก่อนนอนทุกคืนจนจำได้ขึ้นใจแล้ว
โรงพยาบาลธัญญาเวช
นายแพทย์ธาวินทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในห้องทำงานอย่างคนหมดแรง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ความรู้สึกหนึ่งที่แจ่มชัดที่สุดก็คือความรู้สึกผิดหวัง
เขาผิดหวังในตัวเองที่ไม่ยอมวางทิฐิในใจทำให้มองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้า และปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมานานถึงห้าปี
นี่ถ้าเขาไม่บังเอิญกลายมาเป็นหมอผ่าตัดให้กับลูกชายในวันนี้ ก็คงไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าตัวเองมีลูกโตขนาดนี้แล้ว
เรื่องราวของสุณิชาที่ได้ฟังจากปากพี่เขย มันทำให้เขาแทบไม่กล้าไปเผชิญหน้ากับเธออีก เพราะสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้ มันเลวร้ายเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ซึ่งมีชีวิตแสนอาภัพคนหนึ่งสมควรจะได้รับ แต่เขากลับยังเอาแต่ขู่เข็ญเธอเรื่องลูกโดยไม่รู้เลยว่าเธอต้องเผชิญอะไรมาบ้างกว่าจะมีวันนี้
และวินาทีที่สับสนในตัวเองที่สุด ก็คงจะมีเพียงคนเดียวที่จะช่วยทำให้เขาสามารถสงบลงได้เหมือนทุกครั้ง ชายหนุ่มจึงไม่รั้งรอที่จะต่อสายไปหาคนสำคัญ รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ
(“ไงจ๊ะสุดหล่อของแม่”)
(“แม่ยุ่งมั้ยครับ”)
(“ไม่ยุ่งจ้ะ แม่กำลังนั่งกินข้าวกับคุณพ่อน่ะ ลูกมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ทำไมน้ำเสียงถึงเป็นแบบนั้นล่ะ”)
(“ครับแม่ ผม...มีเรื่องไม่สบายใจมากๆ ที่อยากจะปรึกษาแม่ แต่ตอนนี้ผมมีหน้าที่สำคัญต้องไปทำก่อน ผมแค่อยากได้กำลังใจจากแม่น่ะครับ ส่วนเรื่องที่อยากปรึกษาเอาไว้พรุ่งนี้ผมจะไปปรึกษากับแม่ที่บ้านนะครับ”)
(“ได้สิจ๊ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกแม่ไม่สบายใจแม่ก็ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีนะ พรุ่งนี้แวะมากินข้าวกับแม่นะจ๊ะ แม่จะทำของอร่อยๆ ให้ลูกกิน เอาเป็นมื้อไหนดีล่ะที่ลูกสะดวก”)
(“มื้อกลางวันละกันครับ เดี๋ยวเที่ยงตรงผมจะเข้าไปหา”)
(“ได้จ้ะ แม่จะรอนะจ๊ะ”)
(“ขอบคุณครับแม่”)
(“ไทม์”)
(“ครับแม่”)
(“แม่ไม่รู้หรอกนะว่าลูกมีอะไรที่กังวลใจถึงขนาดนั้น แต่แม่ก็หวังว่าลูกจะแก้ปัญหาอย่างมีสติ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจ บางคำพูดที่พูดออกไปแล้วเราไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ก่อนลูกจะทำอะไรลงไปก็ขอให้คิดให้รอบคอบนะจ๊ะ แต่ถ้าหากว่าลูกทำอะไรผิดพลาดไปโดยไม่ตั้งใจไปแล้วจริงๆ พ่อกับแม่ก็ยังอยู่ตรงนี้นะ เราจะอยู่ข้างลูกเสมอ ต่อให้เราจะช่วยทำให้ผิดเป็นถูกไม่ได้ แต่เราจะอยู่เป็นกำลังใจให้ลูกตลอดเวลาเพื่อชี้แนะเส้นทางที่ถูกต้องให้กับลูก เผื่อว่าเรื่องนั้นมันจะยังสามารถแก้ไขได้ทัน จำเอาไว้นะลูก”)
(“ขอบคุณครับแม่ ขอบคุณจริงๆ รักแม่นะครับ พรุ่งนี้เจอกัน”)
(“จ้ะ พรุ่งนี้เจอกัน”)
หมอหนุ่มกดวางสายมารดาด้วยจิตใจที่สงบมากขึ้นอย่างที่หวังไว้ ก่อนที่เขาจะนั่งทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกเดินทางจากโรงพยาบาลเพื่อไปทำหน้าที่ของหมอและหน้าที่ของพ่อให้ดีที่สุด เพื่อลูกชายตัวน้อยที่รอเขาอยู่ในตอนนี้
“มีอะไรรึเปล่าส้ม ทำไมถึงได้ถอนหายใจแบบนั้นล่ะ ตาไทม์ไปสร้างวีรกรรมอะไรมาอีกรึเปล่า”
นายแพทย์ธีรกิจ ธัญญาวัฒนา อดีตศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมองชื่อดัง และเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลธัญญาเวชเอ่ยถามภรรยาของตนด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเธอคุยกับลูกชายคนเล็กครู่หนึ่งก่อนจะวางสายไปแล้วถอนหายใจออกมา
“เปล่าค่ะ ลูกไม่ได้สร้างวีรกรรมอะไรหรอก แต่เหมือนลูกมีเรื่องที่ทุกข์ใจมากเลยค่ะ ตั้งแต่เกิดมาส้มไม่เคยได้ยินเสียงของลูกที่ฟังดูหดหู่ขนาดนี้มาก่อนเลย ส้มว่า...จะต้องมีเรื่องร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นกับตาไทม์แน่เลยค่ะพี่ธีร์” กมลชนก พูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลใจ
“เรื่องงานรึเปล่า แต่ก็ไม่เห็นจะมีข่าวการผ่าตัดผิดพลาดอะไรนี่ หรือจะเป็นเรื่องสาว รายนั้นยิ่งสาวเยอะอยู่ด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ ไม่น่าใช่เรื่องผู้หญิง แล้วก็ไม่น่าใช่เรื่องงานด้วย”
“แล้วมันจะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ”
“ส้มก็ไม่รู้ค่ะ แต่ลูกบอกว่าพรุ่งนี้จะมากินข้าวเที่ยงที่นี่แล้วจะมาปรึกษาเรื่องนี้ด้วย”