ห้าปีแล้วสินะ...
ห้าปีที่เธอไม่ได้กลับมาเหยียบกรุงเทพมหานครแห่งนี้อีกเลยนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเดินออกไปจากชีวิตของใครคนหนึ่ง หากว่าไม่มีความจำเป็นจริงๆ ตอนนี้เธอก็คงจะยังใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับลูกชายสุดที่รักภายในสวนกุหลาบนับสิบไร่บนดอยที่เชียงรายเหมือนเดิม
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองพาสองแม่ลูกมาส่งยังจุดหมายปลายทางในวันนี้หลังจากเครื่องลงที่สนามบินดอนเมืองเมื่อตอนสาย และจุดหมายที่ว่าก็คือโรงพยาบาลแห่งนี้
สุณิชา จูงมือ น้องทะเล ลูกชายวัยสี่ขวบเศษเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในรวมถึงมีใบส่งตัวจากโรงพยาบาลในเครือเดียวกันที่เชียงรายมาด้วย แม้ที่เชียงรายจะมีอาจารย์หมอเก่งๆ มากมายที่สามารถรักษาลูกชายของเธอได้ แต่คิวผ่าตัดของโรงพยาบาลรัฐนั้นยาวเหยียด และเธอก็ไม่อยากเห็นลูกต้องทรมานจากอาการปวดศีรษะรุนแรงอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเธอทำประกันชีวิตเอาไว้ให้ลูกปีละหลักหมื่น เธอก็ควรจะใช้สิทธิ์ที่มีในการรักษาลูกชายให้ดีที่สุดเช่นกัน
โชคดีที่เธอรู้จักกับลูกค้าขาประจำคนหนึ่งที่เธอเรียกว่า ป้าสาย ท่านเป็นแม่ค้าคนกลางที่จะมารับกุหลาบจากสวนของเธอไปขายต่อในเมืองและสามีของท่านก็เคยเข้ารับการผ่าตัดกับหมอคนนี้เมื่อสองปีก่อน เมื่อท่านรู้ว่าลูกชายของเธอมีอาการคล้ายสามีของท่าน ท่านจึงได้แนะนำคุณหมอคนนี้มาให้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอได้กลับเข้ามาในเมืองหลวงแห่งนี้อีกครั้ง
หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยก็มีพยาบาลสาวคนหนึ่งมารับเธอกับลูกชายขึ้นไปที่ห้องพักพิเศษด้านบนก่อนจะตรวจร่างกายเบื้องต้นและให้ลูกชายของเธอนอนพักอยู่บนเตียงเพื่อรอผ่าตัดในค่ำคืนนี้
“ไม่ต้องกลัวนะครับทะเล ป้าสายบอกว่าหมอคนนี้เก่งมาก เค้าจะต้องรักษาลูกของแม่ให้หายเป็นปกติได้แน่นอน”
สุณิชาลูบศีรษะของหนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน
“คุณแม่จะอยู่กับผมตอนผ่าตัดมั้ยครับ”
หนุ่มน้อยผิวขาวจัดที่มีดวงตากลมโตเหมือนคนเป็นแม่ แต่มีโครงหน้าถอดแบบคนเป็นพ่อมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เอ่ยถามขึ้นอย่างกังวลใจ เขาก็ไม่รู้ว่าการผ่าตัดคืออะไร รู้แค่ว่าถ้าทำแล้ว เขาจะไม่ปวดหัวบ่อยๆ เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาอีก
“จ้ะ แม่จะอยู่กับลูกตลอดเวลาเลยนะ”
“ถ้าคุณแม่อยู่ ผมก็ไม่กลัวแล้วครับ”
“เก่งมากจ้ะ หลังผ่าตัดถ้าลูกแข็งแรงขึ้นแล้ว แม่สัญญาว่าจะพาลูกไปเที่ยวน้ำตกอย่างที่ลูกอยากไปดีมั้ย”
“ดีครับ คุณแม่ของผมใจดีที่สุดเลย” หนุ่มน้อยยิ้มร่าเพราะเขายังไม่เคยไปเที่ยวน้ำตกเลยสักครั้ง
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ทำให้สองแม่ลูกหันไปมองพร้อมกัน จึงได้เห็นพยาบาลคนเดิมที่พาพวกเธอมาพักที่ห้องนี้เดินเข้ามา
“คุณหมอมาแล้วค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะมาคุยกับน้องแล้วก็คุณแม่นะคะ ถ้ามีอะไรอยากถามคุณหมอก็ถามได้เลยค่ะ” พยาบาลแจ้งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ”
สองแม่ลูกหันมาสบตากันเหมือนต่างฝ่ายต่างก็อยากได้กำลังใจ กระทั่งได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นใกล้เข้ามาพวกเธอจึงได้หันไปมองที่ประตูอีกครั้ง และเมื่อได้เห็นว่าคุณหมอที่จะต้องผ่าตัดลูกชายของเธอเป็นใคร หัวใจของสุณิชาก็แทบจะหยุดเต้นลงในวินาทีนั้นเอง
ซึ่งก็คงไม่ต่างจากคนที่เพิ่งก้าวเข้ามา...
“คุณแม่คะ ท่านนี้คือนายแพทย์ธาวิน ธัญญาวัฒนา หรือหมอไทม์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทและสมอง และเป็นคนที่จะมาผ่าตัดน้องทะเลในคืนนี้ค่ะ ส่วนคนไข้ของอาจารย์ชื่อน้องทะเลค่ะ และท่านนี้เป็นคุณแม่ของน้องชื่อคุณแม่ณิชาค่ะ”
พยาบาลสาวแนะนำให้พวกเขาได้รู้จักกัน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้พวกเขาแทบไม่อาจละสายตาจากกันได้เลย
“สวัสดีครับคุณหมอ”
เสียงของเด็กน้อยปลุกให้ทั้งหมอและมารดาของเขาหลุดจากภวังค์ และนั่นก็ทำให้สายตาของหมอหนุ่มเคลื่อนจากใบหน้างามตรงหน้าไปมองสบตาเด็กชายที่มีหน้าตาคล้ายกับเขาในวัยเด็กจนเหมือนเป็นคนเดียวกัน
อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้เป็น...
“สวัสดีครับน้องทะเล ขอหมอตรวจร่างกายหน่อยนะ”
เขาขยับเข้าไปยืนข้างเตียงพร้อมหัวใจที่เต้นกระหน่ำ แต่ก่อนที่จะได้แตะตัวคนไข้ตัวน้อยเสียงแม่เด็กก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เอ่อ...คุณพยาบาลคะ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ พอดีเราติดต่อคุณหมอภูมิภัทรเอาไว้นะคะ ทำไมถึงเป็นคุณหมอคนนี้เหรอคะ”
“ตอนนี้อาจารย์ภูมิภัทรไปสัมมนาวิชาการที่ประเทศญี่ปุ่นหนึ่งสัปดาห์ค่ะ ทางเราก็เลยเชิญอาจารย์ธาวินมาผ่าตัดแทน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ อาจารย์ธาวินก็เก่งมากค่ะ รับรองว่าการผ่าตัดจะต้องลุล่วงไปด้วยดีแน่นอนค่ะ”
“แต่ว่า...”
“ขอผมคุยกับคุณแม่ของน้องทะเลตามลำพังสักครู่นะครับ”
เขาหันไปบอกพยาบาล
“ได้ค่ะอาจารย์”
แล้วเธอก็ก้าวออกไปจากห้องเพื่อให้พวกเขาได้คุยกันสะดวก
“อยากจะคุยต่อหน้าลูก หรือจะไปคุยกันที่ระเบียง” น้ำเสียงนุ่มนวลของคุณหมอในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างในทันที
“คุณจะคุยอะไรคะ”
“ดูเหมือนว่าเราจะมีหลายเรื่องต้องคุยกัน หรือเธอว่าไม่จริง”
สายตาคมกริบที่มองมาเล่นเอาเธอรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปหมด
“งั้นไปคุยกันที่ระเบียงดีกว่าค่ะ เดี๋ยวแม่มานะครับเด็กดี ทะเลดูทีวีรอไปก่อนนะลูก” เธอหันไปบอกลูกชายก่อนจะก้มลงจูบที่แก้มนุ่มแผ่วเบา
“ครับ”
ลูกชายพยักหน้ารับก่อนจะมองคุณหมอกับมารดาเดินออกไปที่ระเบียงและปิดประตูเรียบร้อยจนเขาไม่ได้ยินเสียงใดอีก เพราะคุณหมอปิดผ้าม่านเอาไว้ด้วย ทำให้เขาไม่เห็นอะไรเลย
“คุณอยากจะคุยอะไรกันแน่คะ”
เธอตั้งคำถามทันทีเมื่อออกมารับลมด้านนอกแล้ว
ธาวินจ้องหน้าเธอนิ่งก่อนจะขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง ทำให้เธอต้องก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ
“กลัวเหรอ”
“ทำไมฉันจะต้องกลัวคุณด้วย”
“เพราะเธอกลัวฉันจะรู้ความจริงน่ะสิ”
“ความจริงอะไรคะ”
“ก็ความจริงที่ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของฉันยังไงล่ะ”