มิติของลู่จื้อ

1287 คำ
“หากพวกเจ้ามีสมุนไพร นำมาขายให้ร้านยาของข้าได้ตลอด” หมอฉีกล่าวบอกทั้งสองคน “หากข้าได้ของดีเช่นนี้มาอีกจะนึกถึงร้านยาของท่านก่อนแน่นอนเจ้าค่ะ” หมอฉีดูจะพอใจกับคำพูดของลู่จื้อ “ดีดีดี หากพวกเจ้ามีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ก็อย่าได้เกรงใจ” นี่แหละคือสิ่งที่ลู่จื้อต้องการ “ท่านหมอฉีเจ้าคะ ข้าอยากรบกวนให้ท่านไปตรวจดูอาการของบิดาที่หมู่บ้านชุนหนานเจ้าค่ะ” ลู่จื้อแจ้งรายละเอียดอาการบาดเจ็บของบิดาที่ไม่สามารถเดินทางมาที่โรงหมอได้ เมื่อนัดเวลากับหมอฉีที่จะไปตรวจให้บิดาที่หมู่บ้านแล้วลู่จื้อจึงขอตัวกลับ ลู่เพ่ยที่เก็บตั๋วเงินไว้ในอกก็มีอาการแข็งขาอ่อนแรง ก้าวเดินแทบจะไม่ออก ลู่จื้อจึงพาพี่ชายไปร้านรับฝากเงิน หากพี่ชายนำเงินกลับบ้านในสภาพนี้ได้ถูกโจรปล้นเป็นแน่ แม้จะมีมิติเก็บของได้แล้ว แต่นางก็อยากจะนำเงินบางส่วน ฝากเงินไว้ที่ร้านรับฝากด้วย ด้วยคนอื่นจะได้เห็นว่าครอบครัวนางมาเบิกเงินไปใช้ ไม่ใช่ว่าเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายสมุนไพรถูกเก็บไว้ที่เรือน เงินหนึ่งพันหกร้อยตำลึงทอง นางฝากเพียงสามร้อยตำลึงทองเท่านั้น แล้วส่งให้ลู่เพ่ยถือเงินไว้ซื้อของเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ที่เหลือล้วนอยู่ในมิติของนาง หลังจากฝากเงินเรียบร้อยแล้วสองพี่น้องซื้อข้าวสาร แป้ง อีกนิดหน่อย แล้วจึงเดินเข้าไปซื้อผ้าเพื่อให้มารดาตัดชุดใหม่ให้ เสื้อผ้าของคนในครอบครัวนั้น สมควรที่จะต้องเปลี่ยนแล้วจริงๆ ลู่จื้อซื้อผ้าพอให้ตัดชุดได้เพียงแค่คนละสองชุดก่อน เพราะวันนี้นางกับพี่ชายยังต้องนั่งเกวียนหมู่บ้านกลับหากเจอกันป้าสะใภ้ใหญ่อีกนางขี้เกียจจะตอบคำถาม ระหว่างทางที่สองพี่น้องเดินไปขึ้นเกวียน นางได้พบกับนางเกาหงกับจางเยว่เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมบุรุษวัยสิบเจ็ดสิบแปดหนาว ลู่เพ่ยก็สังเกตเห็นเช่นกัน ตัวเขานั้นถึงกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย บุรุษที่ออกมากับสองแม่ลูกคือบุตรชายของกู้เหลี่ยง นามว่ากู้ซาน ตอนนี้เขาเป็นบัณฑิตอยู่ในสำนักศึกษาเฉินกั๋ว ที่บิดาของลู่จื้อบาดเจ็บในครั้งนี้เพราะได้ช่วยชีวิตกู้เหลี่ยงไว้ตอนเจอเสือเมื่อครั้งเข้าป่าล่าสัตว์ด้วยกัน กู้เหลี่ยงจึงอยากตอบแทนจางหมินที่ช่วยชีวิตตนจึงได้พูดคุยเรื่องขอหมั้นหมายกู้ซานกับลู่จื้อไว้ แต่บิดาของนางยังไม่ได้รับปาก ลู่เพ่ยสังเกตน้องสาวว่าน้องสาวจะเสียใจหรือไม่ เพราะลู่จื้อก็ดูจะชอบกู้ซานอยู่บ้างเช่นกัน แต่น้องสาวของตนเพียงปรายตาไปมองเท่านั้นมิได้สนใจอันใดต่อ ลู่เพ่ยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก กู้ซานแม้จะรู้เรื่องที่บิดาของตนอยากให้หมั้นหมายกับลู่จื้อแต่ตนนั้นรังเกียจที่ลู่จื้อไม่คู่ควรกับตน ลู่จื้อโดนใช้งานจากบ้านใหญ่เหมือนทาส เนื้อตัวก็ผอมแห้ง มือหยาบกร้าน มีตรงใดที่หน้ามองกัน ผิดกับจางเยว่ที่ไม่ต้องทำงานใช้ชีวิตไม่ต่างกับคุณหนูในตระกูลใหญ่ๆ พี่ชายของนาง จางหวง ก็ยังเป็นบัณฑิตเช่นเดียวกับกู้ซาน อีกทั้งจางหวงก็สอบผ่านเป็นซิ่วไฉแล้วด้วย กู้ซานจึงอยากจะหมั้นหมายกับจางเยว่มากกว่าที่จะเป็นลู่จื้อ ตอนนี้ที่ตนอยู่กับนางลู่หงกับจางเยว่เพราะกำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนตัวคู่หมั้น โดยไม่ทำให้ชื่อเสียงของตนต้องด่างพร้อย และยังมีจางหวงที่อยู่ด้วยอีกคน คนทั้งสี่มองสองพี่น้องที่กำลังเดินผ่านอย่างนึกดูแคลน เสื้อผ้าที่ใส่แม้จะสะอาดแต่ก็ปะชุนจนไม่นึกว่าจะมีคนกล้าใส่ออกมาจากเรือน จางเยว่อยากจะเอ่ยวาจาดูถูกแต่ก็โดนพี่ชายของตนส่งสายตาห้ามปรามไว้ สองพี่น้องมิได้สนใจสิ่งใดนอกจากอยากกลับให้ถึงเรือนโดยเร็วเพื่อนำเรื่องที่หมอฉีจะมารักษาบิดาที่เรือนและเรื่องราคาที่ขายโสมได้ไปบอกกล่าวครอบครัว บนเกวียนสองแม่ลูกบ้านใหญ่ยังคงพูดจาเยาะเย้ยลู่จื้อตลอดจนถึงหมู่บ้าน ยังดีที่เกวียนใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งเค่อมิเช่นนั้นลู่จื้ออาจจะหมดความอดทนได้ ส่วนข้าวของที่สองพี่น้องซื้อมาไม่ได้มากมายเท่าใด จึงทำให้ทั้งสองแม่ลูกไม่ได้สนใจจะมองนัก นางจินหรูที่รอคอยบุตรทั้งสองกลับมาอย่างกระวนกระวาย เมื่อเห็นทั้งสองเข้ามาในบ้านนางจึงรีบปิดประตูอย่างแน่นหนาแล้วเดินตามบุตรทั้งสองเข้าไปในห้องของจางหมิน จางหมินกับจินหรูมองถุงใส่เงินตรงหน้าของตนอย่างเหม่อลอย นางจินหรูถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา ถุงใส่เงินเมื่อหักค่าของที่ลู่จื้อซื้อกลับมาแล้วมีถึงสี่สิบหกตำลึงเงิน กับตั๋วเงินห้าสิบตำลึงเงินอีกหนึ่งใบ และยังมีป้ายไม้ของโรงฝากเงินที่สองพี่น้องฝากไว้สามร้อยตำลึงทอง “อีกหนึ่งพันสามร้อยตำลึงทองข้าเก็บเข้าไปในมิติแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่อยากเก็บไว้เองหรือไม่” ลู่จื้อเอ่ยถามความเห็นของจินหรู “ไม่ ไม่ต้อง เจ้าเก็บไว้เองปลอดภัยเสียกว่า” เพียงแค่ได้ลูบคลำเล็กน้อยนางก็พอใจแล้ว ลู่เพ่ยเล่าให้บิดาฟังว่าท่านหมอฉีจะมาตรวจดูอาการของบิดาในวันพรุ่งนี้ ทำให้นางจินหรูถึงกับคุกเข่าโขกหัวให้กับสวรรค์ที่เมตตาครอบครัวของนาง มื้อเย็นของบ้านรองจางวันนี้จึงมีแต่เสียงพูดคุย หัวเราะแล้วยังมีกลิ่นเนื้อที่ลอยไปไกลจนบ้านข้างเคียงนึกอิจฉา หลังจากที่กินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว ลู่จื้อนางก็เข้าไปพักผ่อนในห้องของนาง “อืม จะเข้าไปได้หรือไม่” นางครุ่นคิดว่ามิติที่ได้มา จะเป็นเพียงแค่ช่องเก็บของหรือว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในได้ด้วย นาจึงงลองกำหนดจิตไปที่กำไลหยกสีดำบนข้อมือ เพียงครู่เดียว ตัวนางก็เหมือนถูกดูดเข้าไปอีกที่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่กว้างมีเพียงกระท่อมหลังน้อยหนึ่งหลัง พื้นที่โดยรอบนอกจากบึงน้ำที่มีดอกบัวแล้วที่เหลือก็เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ภายในกระท่อมมีห้องนอนเพียงหนึ่งห้อง ห้องโถงด้านหน้า และห้องตำราเท่านั้น ห้องน้ำกับห้องครัวอยู่ด้านหลัง สิ่งของภายในไม่มีสิ่งใดที่พิเศษเหมือนที่นางเคยอ่านตามนิยายเรื่องอื่น นางเดินสำรวจให้ห้องตำรา ภายในห้องมีตำรามากมายนัก แต่ตำราทุกเล่มที่นางเปิดดูนั้นล้วนว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดเขียนไว้ นางยิ่งฉงนใจ แต่มีอยู่เพียงหนึ่งเล่มเท่านั้นที่มีตัวอักษรให้อ่าน หน้าปกเขียนไว้ว่า ฝึกปราณขั้นพื้นฐาน แคว้นฉีที่นางอยู่นั้นยังไม่ปรากฏบุคคลที่มีพลังปราณ นางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงมีอยู่ในห้องตำราได้ นางจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นมานั่งอ่านเพื่อทำความเข้าใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม