ความทรงจำส่วนหนึ่งของร่างนี้ แทรกกับความทรงจำของวิญญาณของตัวเองผสมผสานปนเปกันจนเธออยากจะอ้วกออกมา
เมื่อทบทวนลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้แล้วเธอก็พบว่าตัวเองได้เกิดใหม่ เธอเป็นคู่แฝดของร่าง และเป็นพี่สาวของปานมุกที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกก็หมดลมหายใจ
วิญญาณเธอตามติดน้องสาวมาตลอด แล้วเมื่อน้องสาวโดนคนวางยา จนแน่นหน้าอกและหมดลมลงในห้องชายคนนั้น วิญญาณของเธอก็สิ่งแทรกเข้ามาในร่างน้องสาว
‘ใช้ชีวิตแทนฉันด้วย’
เสียงที่แผ่วเบาของปานมุกบอกเธอผ่านสายลมทำให้เธอขนลุกชันไปทั่วร่าง
“เธอจะให้พี่ใช้ชีวิตแทนเธอเหรอ”
ฟิ้วววว!!!
ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงลมวูบหนึ่งพัดผ่านใบหน้าของเธออย่างแรง แล้วก็หายไป
เธอถอนหายใจ แล้วก็คิดอย่างเวทนาสงสารคนมีชีวิตรอดเช่นน้องสาว
ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยอาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ ส่วนพ่อเธอนั้นก็สารเลวเกินทนทั้งยังไม่เอาไหน หลังแม่ตายกลับพาผู้หญิงอีกคนเข้าบ้านพร้อมกับลูกสาว ที่ไปแอบมีตอนไหนก็ไม่รู้
อีกทั้งปานมุกก็หลงรักปักใจกับ ‘อัสนี’อย่างสุดหัวใจ
“หึ! ผู้ชายสารเลวคนนั้น ฉันจะแก้แค้นแทนเธอเอง”ก๊อก ก๊อก !
เสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงเรียกของผู้ชายที่เธอพบก่อนหน้าดังขึ้นหน้าห้อง ปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์
เธอจัดการหาเสื้อผ้าที่สวมง่าย ๆ ใส่ไปแล้วเปิดประตูให้เขา
“คุณกร?” เธอเลิกคิ้วสงสัยว่าเขาจะเข้ามาหาเธอด้วยเรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นว่าเขายื่นกระดาษกับปากกามาให้ก็เข้าใจได้ในทันที
“คุณปานมุก คุณอัสต้องการให้คุณเซ็นเอกสารนี้และออกจากบ้าน ก่อนที่เขาจะกลับมา” กรกัญจน์เองก็ลำบากใจ เพราะเป็นคำสั่งของผู้เป็นนาย จึงไม่อาจจะขัดได้ แม้จะรู้ว่าคุณปานมุกนั้นไร้ที่พึ่งพิง กระทั่งบ้านก็ไม่มีให้กลับ เพราะบิดานั้นได้ตัดขาดกับเธอโดยสิ้นเชิงตั้งแต่แต่งงานเข้าบ้าน เธียรธีรา
เธอมองเอกสารหย่าแล้วก็ระลึกถึงว่า การแต่งงานของเธอนั้น เพิ่งผ่านมาเพียง 6 เดือน แล้วเขาก็จัดการเอกสารโดยทันทีเมื่อคุณย่ากลีบบัวเสียชีวิต
‘เตรียมการไว้นานแล้วสินะ’ เธอยกยิ้มมุมปาก
‘ปานมุก ถ้าเธอให้ใช้ชีวิตในร่างเธอ รับรองว่าจะไม่อ่อนแอเหมือนเธอแน่นอน’
นิสัยใจคอเธอต่างกับปานมุกอยู่แล้ว เพียงแค่เป็นวิญญาณที่คอยปกป้องน้องในอดีต เพื่อรอวันไปเกิด แต่ไม่คิดว่าจะได้เกิดในร่างของน้องสาวตัวเอง
เธอหยิบเอกสารขึ้นและเซ็นชื่อลงไปโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดด้วยซ้ำ เพื่อให้งานของกรกัญจน์จบให้เร็วที่สุด
“เรียบร้อย”
กรกัญจน์ประหลาดใจอย่างมาก ที่ปานมุกเซ็นโดยไม่คิดจะอ่านแล้วก็ตัดสินใจง่ายราวกับไม่ได้รักอัสนีเหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าเขาจะทำอะไรกับร่างกายของเธอ เธอก็ยอมทน
ต่อให้เป็นกระสอบทราย เธอก็ยินดีไปหมดหากเขาผู้นั้นเป็นผู้กระทำ
“ไม่อ่านหน่อยเหรอครับ” เขารับเอกสารพร้อมกล่าวเตือนเธอให้รู้ว่าควรอ่านจะได้รู้ชะตากรรมของตัวเอง
ปานมุกถอนหายใจก่อนพูดว่า “ไม่ล่ะ เสียเวลา”
แค่ยืนหายใจในบ้านปีศาจร้ายแค่เสี้ยววินาทีก็ทำให้เธอรู้สึกว่าใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าแล้ว สวรรค์ให้โอกาสเธอหายใจอีกครั้งดังนั้นชีวิตนี้ต้องใช้ให้สุดเหวี่ยง
“คุณไม่อยากรู้เหรอครับว่าคุณจะได้อะไรหลังหย่า” เขาสงสารเธอ หย่าร้างกับเศรษฐีอย่างอัสนี ที่มีเงินใช้เป็นสิบชาติก็ไม่หมด แต่ไม่คิดจะให้อะไรเธอเลยนั้น เธอจะรู้สึกอย่างไร
“ขอแค่ลมหายใจก็พอ” ว่าจบก็เดินหันหลังเพื่อจะเก็บของ แต่ทว่ากรกัญจน์ก็ยังไม่เลิกรบเร้าเธออีก
“คุณจะไม่ได้อะไรไปสักชิ้นเดียว หากออกจากบ้านหลังนี้”
“ไม่บอกก็พอจะรู้ สามีฉันรักฉันขนาดนั้น” เธอประชดประชันออกไป และไม่ใช้เวลาที่มีค่าให้เสียไป แต่เลือกยัดของลงในกระเป๋าของตัวเอง
เมื่อจัดของตัวเองเสร็จแล้ว เธอก็หันมาบอกกับผู้ช่วยของเขา
“ฝากขอบคุณเจ้านายคุณด้วย ที่มอบอิสระและเหลือลมหายใจให้ฉันได้ไปใช้ชีวิตต่อ”
ท่าทีเมินเฉยต่อบ้านเธียรธีราและตำแหน่งภรรยาของอัสนีทำให้กรกัญจน์แปลกใจ เดิมทีปานมุกก็รักอัสนีมาก แต่ตอนนี้แววตาดูไม่หลงเหลือความรู้สึกนั้นอีกเลย
‘ตัดใจง่ายเพียงนี้เชียวเหรอ’
เหมือนปานมุกจะอ่านใจกรกัญจน์ออก ใช่เธอไม่ได้รักผู้ชายแสนร้ายอย่างเขา ทำให้เธอไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับการหย่าร้าง กระทั่งใบหน้าเธอก็ไม่อยากพบเขาเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำไป
ขณะที่ก้าวออกจากห้อง เธอมีอาการเซนิดหน่อย เนื่องจากโดนเขาทำร้ายเหมือนหมาบ้า โดยไม่ถามเธอสักคำว่าเธอทำอะไร ทำหรือเปล่า เลือกตัดสินเอาเอง
“คุณไปโรงพยาบาลไหม ผมจะไปส่ง” กรกัญจน์เห็นใจเธอไม่น้อย คิดอยากจะช่วย
“อย่าดีกว่า ฉันไม่อยากให้คุณมีปัญหาเพราะฉัน”
‘อีกอย่างฉันจะรักษาร่างกายและลมหายใจอย่างดี เพื่อรอแก้แค้นคุณ อัสนี’