ทางด้านรองประธานบริหารแห่งบริษัทฐลัชเอนจิเนียริง กลับถึงบ้านด้วยยิ้มที่เปื้อนมุมปากมาตลอดทาง แต่มาหุบหายเอาตอนที่ก้าวขาเข้ามาในห้องนั่งเล่นและเห็นว่าสมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
“เห็นหน้าพวกเราก็กลอกตามองบนเลยนะเฮีย” เสียงน้องชายเอ่ยทักเป็นคนแรก เพียงดาวยิ้มขำและแซวขึ้นอีกราย
“แต่เมื่อกี้ดาวเห็นแว็บๆ อยู่นะคะว่าหน้าตาพี่ซันเปื้อนยิ้มสดใส”
“ยิ้มให้ลมฟ้าอากาศ ยิ้มที่ภารกิจเสร็จสิ้นสักที ยิ้มไปเรื่อยไปเปื่อยไม่ได้เหรอครับ” รองประธานฯ แห่งบริษัทรับเหมาก่อสร้างทำหน้าหน่าย ปรายตามองสมาชิกทุกคนในห้องนั่งเล่นและจงใจยืนกอดอกอยู่ท่ามกลางสามชีวิตที่นั่งบนโซฟา “เชิญเลยครับจะสัมภาษณ์อะไรก็รีบๆ ถามมาให้จบๆ จะได้ไปพักผ่อนสักที”
“ดูหน้าตาไม่สบอารมณ์แบบนี้แปลว่าไม่ราบรื่นแน่เลย คุณแม่คงอดเห็นพี่ซันแต่งงานเร็วๆ นี้แล้วล่ะ” น้องชายในยูนิฟอร์มนักศึกษาแขวะให้พี่ อคิราห์เรียนจบแล้วเพียงแค่วันนี้ไปดำเนินการเรื่องเอกสารเป็นครั้งสุดท้าย
“ไปกินข้าวกับน้องเป็นไงบ้างซัน ไม่เวิร์กเหรอ” ภาณุกระแอมถาม ซึ่งการที่สมาชิกในบ้านมารวมตัวกันพร้อมหน้าแทนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ก็เพราะมารอดูผลของการนัดดูตัว
“ก็เฉยๆ ครับ” ร่างสูงที่ยืนอยู่กลางวงล้อมไหวไหล่เบะปากคว่ำ ภาณุถอนหายใจพลางถอดแว่นสายตาวางบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วคลึงรอบดวงตาคลายความล้า
“พ่อเข้าใจแกนะซัน เรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ โดยนิสัยของแกแล้วก็เป็นประเภทบังคับยาก พ่อก็ไม่อยากฝืนใจแกนักหรอก ก็คงต้องปล่อยโครงการประมูลนี้ไป บริษัททีทิสเป็นเจ้าแห่งการประมูลโครงการรัฐอยู่แล้ว ขนาดตอนนี้มีเป็นสิบโครงการก่อสร้างอยู่ในมือแต่ก็ยังจะชิงประมูลอยู่ร่ำไป”
“ถ้าเขามีศักยภาพกว่าเราก็ยอมรับนะ” อคิราห์ผู้ชอบขัดสอดความเห็นขึ้น
“แกนี่ยังไงนะคิน เกิดผิดตระกูลหรือเปล่า ทำไมดูเหมือนชอบเชียร์พวกทีทิสจัง”
“ไม่ได้เชียร์ ผมก็พูดไปตามเนื้อผ้า บริษัทนู้นถือกำเนิดก่อนเราห้าปี เขาชนะประมูลหลายต่อหลายครั้งจนแทบเป็นเจ้าเดียวที่ครองโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ ในประเทศ แต่ส่วนเราก็ไม่ได้น้อยหน้านะครับพ่อ งานก่อสร้างของเราส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศมากกว่าในไทย เราเคยรับงานของรัฐมาบ้างก็จริง แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วยังถือว่าวิ่งตามหลังทีทิสอยู่มาก ดังนั้นในเมื่อทีทิสมีผลงานที่มากกว่าและศักยภาพเป็นที่ประจักษ์ ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอครับที่รัฐจะวางใจให้พวกเขารับงาน”
“ที่คินพูดก็ถูก เราต้องยอมรับว่าทีทิสมีศักยภาพและคุณภาพงานที่ออกมาก็ดี บริษัทเราเองก็ไม่ได้ลงแข่งทุกสนามเหมือนทีทิส เลือกประมูลเอาตามใจ ที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนี่ครับ ทำไมคราวนี้คุณพ่อถึงอยากได้โครงการก่อสร้างทางด่วนพิเศษนี้นักหนา” พันแสงเห็นด้วยกับอคิราห์ ลูกชายคนโตยังคงยืนกอดอกอยู่ที่เดิมไม่มานั่งให้เป็นกิจจะลักษณะ
“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ แค่อยากได้เฉยๆ อยากชนะพวกทีทิสมันบ้าง หมั่นไส้ที่ลงประมูลกี่สนามก็ได้ไปเสียทุกงาน พ่อรู้มาว่าตอนนี้บริษัททีทิสมีสิบห้าโครงการที่เซ็นสัญญาแล้วเรียบร้อย ในขณะที่ฝั่งเรามีแค่เก้าโครงการ”
“ก็แล้วจะไปแข่งกับเขาทำไมล่ะครับ เราก็อยู่ส่วนเรา ทำกำไรได้ทุกปีไม่มีขาดทุน อืม… ไม่สิ เหมือนประมาณช่วงเจ็ดแปดปีที่แล้วป้ะที่เราขาดทุนอยู่สองปีเต็มเลย เกือบหลับแต่สุดท้ายก็กลับมาได้ แต่ปัจจุบันก็ไม่เคยขาดทุนเลย พ่อก็น่าจะพอใจแล้วนี่นา”
ในขณะที่อคิราห์ตั้งข้อสงสัยจริงจัง รำไพพรรณและเพียงดาวได้แต่รับฟังพลางวาดสายตาไปทางคนนั้นคนนี้ที กิจการงานบ้านยกให้เป็นหน้าที่ของเหล่าบุรุษ รำไพพรรณมีชื่ออยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ส่วนเพียงดาวเรียนจบพยาบาล ยังไม่ได้มองหางานทำเป็นเรื่องเป็นราว กอปรกับรำไพพรรณอยากให้ลูกสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมากกว่า
“แค่คำว่าอยากชนะไม่เห็นต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย” ภาณุตอบอย่างขอไปที แม้มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงื่อนไขการแต่งงาน แต่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกๆ ควรรู้
อีกอย่างภาณุคุยกับภรรยาว่าอยากเห็นพันแสงมีกิจกรรมอื่นในชีวิตให้สนใจมากกว่าการทำงาน มัวแต่อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับบริษัทตั้งแต่เรียนจบจากอังกฤษ จนชีวิตแทบไร้สีสันเข้าใกล้คำว่าตายด้านไปทุกที แม้ว่าเจ้าสาวที่เลือกให้ยังไม่ถูกใจภาณุร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ถ้าเอื้อผลประโยชน์กันได้ และไม่มาตัวเปล่าเขาก็พอรับได้แล้ว
ภาณุอยากเห็นลูกชายคนโตเป็นฝั่งเป็นฝาก็จริง แต่ลึกลงไปในความรู้สึกยังมีความลังเลซ่อนอยู่ ภาณุกับวิเลิศรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม วิเลิศมาจากครอบครัวมีอันจะกิน ฝั่งมารดายึดอาชีพข้าราชการทางการเมืองมาหลายชั่วอายุคนและสืบทอดมาจนถึงรุ่นวิเลิศ สมัยเรียนภาณุไม่ปลื้มนิสัยของวิเลิศที่มีความฉลาดแกมโกงสูง วาจาเชื่อถือไม่ค่อยได้ เคยรับปากจะช่วยเกื้อหนุนเรื่องงานของภาณุหลายครั้ง ทว่าสุดท้ายก็เป็นเพียงลมปากที่หายไปกับอากาศ ภาณุมองว่าเพื่อนคนนี้ช่างมีคุณสมบัติที่เหมาะแก่การเป็นนักการเมืองเสียจริง
ทว่ามาคราวนี้วิเลิศกลับเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอแกมข่มขู่ โดยให้ทั้งสองครอบครัวเกี่ยวดองกันเพื่อแลกกับการชนะประมูล ภาณุจับมือรับข้อตกลงในขณะที่ยังลังเลว่าบุตรสาวผู้สืบทอดสายเลือดจะสืบสันดานของผู้เป็นพ่อมาด้วยเหรอเปล่า แต่จากที่เขาสืบประวัติคร่าวๆ และรำไพพรรณถึงขั้นตามไปดูตัวถึงรั้วมหาวิทยาลัยก็สรุปได้ว่าแก้วมุกดาแตกต่างจากผู้เป็นพ่ออยู่มาก
“อยากชนะจนเอาทั้งหมดของชีวิตผมมาแลกก็ไม่ไหวนะคุณพ่อ ว่าแต่ทำไมคุณวิเลิศถึงอยากให้ลูกสาวรีบแต่งงาน ทั้งที่เธอเพิ่งเรียนจบ ดูเหมือนเป็นเด็กเรียนด้วย เห็นว่าอยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ คุณวิเลิศเขามีเหตุผลพิเศษอะไรหรือเปล่าที่อยากเกี่ยวดองกับเรา บอกตามตรงว่าผมไม่ไว้ใจนักการเมืองเลย” โดยเฉพาะนักการเมืองที่หมกเม็ดซ่อนเขี้ยวซ่อนเล็บแบบวิเลิศ หากได้เกี่ยวดองกันจริงจะนำความเดือดร้อนมาสู่ฐลัชนันท์หรือเปล่า
“ถ้าพี่ซันมีความกังวลขนาดนั้น ดาวว่าก็อย่าบังคับเลยดีไหมคะ สงสารพี่ซัน” เพียงดาวออกความเห็นหลังจากนั่งเงียบเป็นผู้ฟังที่ดี
พันแสงครองตัวโสดมายาวนานตั้งแต่เลิกกับแฟนคนแรก เขาคงลำบากใจที่ปุบปับต้องข้ามจากการคบหาดูใจเป็นสมรสอยู่กินฉันสามีภรรยา ในยุคนี้ใครถูกคลุมถุงชนก็คงไม่ยินดีกันทั้งนั้น เพียงดาวทราบมาว่าทางฝ่ายหญิงเองก็หาได้กระตือรือร้นอยากแต่งงาน ดูเหมือนความต้องการของผู้ใหญ่กำลังปล้นอิสรภาพไปจากสองหนุ่มสาว เพียงดาวทำได้เพียงผนึกเสียงวิจารณ์ไว้ในใจ เธอเป็นแค่เด็กที่ถูกอุปการะไม่กล้าเสนอความคิดเห็นมากนัก แค่พวกเขาให้นามสกุลใช้ก็ดีเท่าไรแล้ว
“ใช่ครับ พี่ซันไม่อยากแต่งก็อย่าไปบังคับเขาเลย พี่เขาหวงความโสดมาตั้งหลายปี อยู่ๆ จะให้มีเมียเลยคงทำใจไม่ได้ คุณพ่อเองก็อย่าเครียดมากนะครับ เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองจะแตกเอา”
“ตาคินนี่!” รำไพพรรณฟาดฝ่ามือใส่ต้นแขนลูกคนเล็กหนึ่งที ก่อนเบือนสายตาไปทางพันแสง “แก้วมุกดาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ไปเจอมาไม่มีอะไรที่ถูกใจเลยงั้นเหรอ แม่อุตส่าห์คัดเพชรเม็ดงามให้แล้วแท้ๆ แต่ก็ไม่เอา ชาตินี้คงได้อยู่บนคานจนตาย จะหวังอุ้มหลานจากใครได้บ้างล่ะเนี่ย”
“ผมก็ได้นะ เรื่องหลานคุณแม่หวังจากผมหรือจากดาวก็ได้”
“แกเหรอจะหวังได้ เฮอะ!” พี่ชายใหญ่แค่นเสียงหยันขึ้นจมูก “ควงคนนั้นคนนี้มั่วไปหมด เห็นช่วงนี้ซึมเป็นหมาหงอยไม่ใช่อกหักมาเหรอ”
“ไม่ได้อกหักซะหน่อย แค่ไปหักอกสาวแล้วรู้สึกผิด” นับว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่หัวใจอคิราห์กระตุกแปลบปลาบเหมือนถูกชอร์ตด้วยไฟฟ้า... แต่ก็นั่นแหละ เขาทำอะไรไม่ได้ ก็ทำเท่าที่ได้ไปหมดแล้ว ในเมื่อเธอตั้งใจหนีเขาก็จะไม่วิ่งตาม
“แย่นะคิน พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนให้ใจร้ายกับผู้หญิง” รำไพพรรณตำหนิจริงจัง เธอไม่เคยชอบนิสัยคบทิ้งคบขว้างของลูกคนเล็กเลย
“เอาเป็นว่าผมขอโทษ งั้นขอชดใช้ความผิดด้วยการแต่งงานแทนพี่ซัน”
เสียงของอคิราห์เรียกสายตาทุกคู่ให้เบนไปประทับทางเขา
“แกรู้ตัวใช่ไหมคินว่าพูดอะไรออกมา ล้อเล่นหรือเปล่า” ภาณุย่นคิ้วถามพลางสบตากับภรรยาที่เป้าหมายผิดพลาด ตั้งใจจับคู่ให้ลูกคนโต แต่เจ้าคนเล็กกลับกระโดดรับแทน
“ไม่ได้ล้อเล่นครับ เพื่อครอบครัวผมเสียสละก็ได้”
“ว้าว ดาวเซอร์ไพรส์นะเนี่ยที่พี่คินจะเป็นฝั่งเป็นฝาก่อน พี่คินที่มีสาวล้อมหน้าล้อมหลังแต่ไม่เสียดายชีวิตโสดเลย ว่าแต่นี่ไม่ใช่การแต่งงานเพื่อลบใครบางคนออกจากใจหรอกใช่ไหมคะ”
“หึ รู้ดีนะเรา” อคิราห์ตอบน้องสาวก่อนสบตากับร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เพื่อครอบครัวผมทำได้ ก็แค่การแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ แถมเจ้าสาวยังสวยมากด้วยผมก็พอรับได้หน่อย แต่งงานมีหลานให้คุณพ่อคุณแม่พอใจ ถ้านิสัยเราเข้ากันได้ก็ไปต่ออีกยาวๆ แต่ถ้าไปกันไม่ได้ก็เลิกรา ง่ายๆ แค่นี้ผมทำได้”
“จะเอาเขามาเป็นเครื่องผลิตลูกว่างั้น” พันแสงรู้สึกร้อนฉ่าในอกอย่างประหลาด ความคิดของน้องชายฟังแล้วเคืองหู เหมือนพวกที่ไม่เห็นค่าผู้หญิง
“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ก็ทำนองนั้น ถึงยังไงการแต่งงานนี้ก็เพื่อผลประโยชน์อยู่แล้วป้ะ จะพูดให้สวยงามไปทำไม เอาเป็นว่าผมอาสาเป็นเจ้าบ่าวเองถ้าคุณวิเลิศเขาไม่ติดนะ” อคิราห์พูดจบก็ลุกออกไป แต่เคลื่อนไหวได้เพียงก้าวเดียวก็ต้องหยุดให้กับคำพูดของพี่ชาย
“แล้วใครบอกว่าฉันไม่แต่ง ก็ยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะไม่แต่ง พรุ่งนี้พ่อไปคุยเรื่องสู่ขอให้ผมได้เลย เพื่อธุรกิจแค่นี้ผมทำได้”
การตัดสินใจของเขาเป็นไปอย่างหนักแน่น ขณะปลีกตัวออกไปก็ปรายมองน้องชายที่กระตุกยิ้มมุมปากข้างหนึ่ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อจากนั้นและพันแสงก็ปิดจบทุกบทสนทนาด้วยการจ้ำพรวดขึ้นห้อง