ตอนที่ 3
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังนั่งทานอาหารค่ำกันอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะของณดาที่เล่าเรื่องราว ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น แต่แล้ว! ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองของธีร์ธวัช ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจ ดวงตาคมกริบเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับความรู้สึกชาวาบไปทั่วร่าง ‘บ้าจริง! ลืมขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอไปได้ยังไงกัน!’
ธีร์ธวัชรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าใส่ รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลงทันที ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อครู่มลายหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความร้อนรุ่มในอกและความผิดหวังที่แล่นเข้าจุกอก เขาลืมไปได้อย่างไรทั้งๆ ที่ตั้งใจจะขอเบอร์โทรหรือไลน์เพื่อที่จะติดต่อขอรับรูปอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก หรืออย่างน้อยก็เพื่อที่จะได้สานต่อความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นนี้ เขารีบวางช้อนส้อมลงทันที
“เอ่อ...พี่ลิน!! เดี๋ยวผมมานะครับ” ธีร์ธวัชพูดขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางร้อนรน
“อ่าวธีร์!!..จะรีบไปไหน อิ่มแล้วเหรอ” ลลินดาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจและงุนงงในท่าทางของน้องชาย เธอไม่เคยเห็นธีร์ธวัชเป็นแบบนี้มาก่อน
“ครับพี่” ธีร์ธวัชตอบสั้นๆ ไม่รอช้า เขารีบลุกขึ้นคว้ากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะข้างประตู พุ่งตัวออกจากบ้านอีกครั้งด้วยความเร็ว ทิ้งให้ลลินดาและน้องณดามองตามหลังด้วยความงุนงงและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
รถเอสยูวีสีขาวทะยานออกไปบนท้องถนนในยามค่ำคืนราวกับจะแหวกอากาศให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัวใจของธีร์ธวัชเต้นรัวด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าเธอจะยังคงอยู่ที่แผง เขามุ่งตรงกลับไปยังตลาดถนนคนเดินในทันที ภาพใบหน้าหวานของรัญชน์รวี ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาไม่ขาดสาย
เขานึกถึงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้พูดคุยกับเธอ เสียงหวานๆ และรอยยิ้มบางๆ ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกไปจากทุกครั้งที่เคยเจอผู้หญิงคนไหนๆ ความผิดพลาดที่ไม่ได้ขอเบอร์โทรศัพท์ทิ่มแทงใจเขาอย่างแรง ราวกับเป็นบทลงโทษสำหรับความสะเพร่าของเขา
แต่เมื่อเขากลับมาถึงบริเวณแผงขายของที่เขาจากมาไม่นาน แสงไฟยังคงสว่างไสว ผู้คนยังคงเดินขวักไขว่ บรรยากาศยังคงคึกคัก แต่แผงขายภาพวาดสีน้ำที่เคยตั้งตระหง่านกลับว่างเปล่า... รัญชน์รวีหายไปเสียแล้ว! เก้าอี้เล็กๆ ถูกพับเก็บไว้ ภาพวาดและอุปกรณ์ต่างๆ ถูกเก็บเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีใครอยู่ที่นั่นมาก่อน ธีร์ธวัชยืนนิ่งอยู่หน้าแผงว่างเปล่านั้น ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้าใส่จนจุกแน่นในอก แสงไฟหลากสีสันรอบตัวพลันดูมืดหม่นลงในสายตาของเขา
ชายหนุ่มมองไปรอบๆ พยายามสอดส่ายสายตาหาเธอในกลุ่มผู้คนมากมายที่ยังคงจับจ่ายใช้สอยและเพลิดเพลินกับบรรยากาศของตลาด แต่ก็ไม่พบวี่แวว ร่างสูงใหญ่ยืนทอดถอนใจอยู่ท่ามกลางความผิดหวัง ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้ฉายแวววิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาทำได้เพียงเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัยที่อยู่แผงขายขนมไทยข้างๆ แผงรูปวาดของเธอ ด้วยความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่
“คุณป้าครับ ผู้หญิงที่นั่งวาดรูปขายตรงนี้...เธอไปไหนแล้วเหรอครับ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความผิดหวังเอาไว้
“อ๋อ!!! นังหนูที่วาดรูปขายน่ะรึ!!!
“ครับป้า”
“ป้าเห็นรับโทรศัพท์เสร็จ ก็ทำท่าร้อนรนเก็บข้าวของกลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะ” หญิงสูงวัยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใจดี
“แล้วป้าพอจะมีเบอร์โทรของเธอมั้ยครับ” ธีร์ธวัชถามต่อด้วยความหวังอันเลือนราง
“ไม่รู้เลยลูกเอ๊ย ป้าก็เพิ่งจะมาขายได้สองอาทิตย์นี่เอง ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่หรอก” ป้าตอบพร้อมกับรอยยิ้มแสดงความเสียใจที่ช่วยอะไรไม่ได้
“ขอบคุณครับป้า” ธีร์ธวัชกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ เขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้สายลมเย็นพัดผ่านราวกับจะตอกย้ำถึงความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในใจ
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
กว่าจะถึงวันเสาร์เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของชายหนุ่ม ทุกวันเขาเฝ้ารอให้ถึงวันเสาร์ ราวกับเด็กน้อยที่รอคอยของขวัญอันล้ำค่า ภาพของรัญชน์รวี ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยจางหายไปไหน เขาเฝ้าแต่โทษตัวเองที่ไม่รอบคอบจนพลาดโอกาสสำคัญในการขอเบอร์โทรของเธอเอาไว้
เมื่อถึงเย็นวันเสาร์ตามที่ตั้งใจไว้ ธีร์ธวัชก็ไม่รอช้า พอเลิกงานเขาขับรถมาจอดที่หน้าตลาดถนนคนเดิน หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินตรงไปยังบริเวณแผงภาพวาดที่คุ้นตาของรัญชน์รวี ทว่า...วันนี้แผงของเธอกลับไร้เงาของเธอ แต่แผงก็ไม่ได้ว่างเปล่า ซึ่งทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมา ภาพวาดสีน้ำหลายสิบภาพวางเรียงรายอยู่บนขาตั้งและบนพื้น ราวกับรอคอยการกลับมาของผู้รังสรรค์
เขาหยุดยืนรอพลางหยิบภาพวาดภาพหนึ่งขึ้นมาพิจารณาอย่างเพลิดเพลิน สายตาคมกริบไล่มองรายละเอียดของภาพทิวทัศน์ยามเช้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันละมุนละไม แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงกระทบผืนน้ำในลำธารเล็กๆ สะท้อนภาพป่าไม้ที่เขียวขจี อารมณ์สงบและบริสุทธิ์ของภาพนั้นช่างสะท้อนความรู้สึกที่เขามีต่อเธอได้อย่างน่าประหลาด
ไม่นานนักร่างบอบบางในชุดนักศึกษาก็เดินกลับมา รัญชน์รวีกำลังหอบถุงกระดาษสองสามใบด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ดวงหน้าหวานซีดเซียวเล็กน้อย เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงหน้าแผง
ธีร์ธวัชเห็นดังนั้นก็รีบวางภาพวาดลง แล้วเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความโล่งใจและยินดี
“น้องรัญชน์!” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียก เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเป็นประกายฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขา โดยไม่คาดคิดว่าวันนี้เขาจะมาตั้งแต่หัววัน
“พี่ธีร์! สวัสดีค่ะ” รัญชน์รวียิ้มตอบ ครั้งนี้ท่าทีของเธอที่มีต่อเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอรีบวางถุงในมือลง ก่อนจะเอ่ยถามเขาอย่างยิ้มแย้ม
“มานานหรือยังคะ...พี่ธีร์” น้ำเสียงของเธอเจือแววเหนื่อยอ่อน
“ไม่นานหรอกครับ พี่เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” ธีร์ธวัชตอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น เขาสังเกตเห็นชุดนักศึกษาที่เธอสวมใส่อย่างชัดเจน
“พี่เพิ่งรู้นะเนี่ย...ว่าน้องรัญชน์ยังเรียนอยู่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทึ่งปนชื่นชม รัญชน์รวียิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ
“ค่ะ...หนูมีเรียนช่วงเช้า” เธอบอกเล่าด้วยความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง
“ขยันจังเลยนะครับ” ธีร์ธวัชเอ่ยชมด้วยความจริงใจ แววตาของเขาบ่งบอกถึงความประทับใจในความสามารถและความขยันของเธอ
“ว่าแต่...เรียนวันเสาร์ด้วยเหรอครับ” รัญชน์หัวเราะเบาๆ ในคำถามที่คิดว่าเขาคงไม่เข้าใจ
“หนูเรียนภาคพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ค่ะ”
“อ่าวเหรอครับ แล้วใกล้จบยัง”
“ก็ปีสุดท้ายแล้วค่ะ”
“งั้นแสดงว่าเทอมหน้านี้น้องรัญชน์ก็จบแล้วสิ” ธีร์ธวัชเอ่ยอย่างใคร่รู้ ในใจเริ่มวางแผนบางอย่างที่มันลงตัวกับความคิดของเขา
“ค่ะ” รัญชน์พยักหน้า
“น้องรัญชน์ขยันจังเลยนะครับ ทั้งทำงาน ทั้งเรียน” ธีร์ธวัชเอ่ยชมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความพยายามของเธอ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ลึกๆ ที่น่าค้นหา
“ค่ะ คือหนูต้องหาเงินส่งตัวเองเรียน แล้วก็ให้ที่บ้านด้วยค่ะ” รัญชน์รวีถอนหายใจเล็กน้อย น้ำเสียงของเธอแฝงความเหนื่อยล้ากับภาระหนี้สินที่มารดาเธอสร้างขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ดวงตากลมโตก็ยังคงฉายแววมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมทำตามข้อเสนอตามที่มารดาของเธอขอร้อง