ถ้าทำเสน่ห์ไม่ได้ ก็เอาให้ตายไปเลย

1446 คำ
ก๊อก ๆ “พี่บัวเหรอ?” เสียงเคาะประตูในช่วงดึกดื่นเช่นนี้ คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพี่บัว พี่สาวที่สนิทสนม เพราะอายุห่างกันเพียงสองปี เราจึงมีเรื่องให้คุยกันมากมาย และใกล้ชิดกันมาก “ใช่” คนหน้าประตูตอบกลับมาเสียงเบาหวิว คงกลัวว่าพ่อกับแม่ที่นอนอยู่ห้องถัดไปจะได้ยินเสียงแล้วถูกรบกวนในกลางดึก “นึกว่าหลับไปแล้ว” ฉันเอ่ยพูดทันทีที่เปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา ก่อนจะพบว่าพี่บัวหอบทั้งหมอนและผ้าห่มมาด้วย “ขอนอนด้วยสิ” เราทั้งคู่มักจะหอบผ้าห่มและหมอนมานอนห้องของอีกฝ่ายเสมอ แต่ส่วนมากจะเป็นฉันเสียส่วนใหญ่ ที่หอบของไปอาศัยนอนห้องพี่บัว วันนี้ดูผิดปกติไปนะ “ทำไมถึงได้มานอนด้วยเนี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า” “ปกติเราก็นอนด้วยกันบ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอ” คนที่ใบหน้าคล้ายกันอย่างกับแกะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ก่อนจะเอื้อมมือไปจัดแจงข้าวของที่วางระเกะระกะบนหัวเตียงให้ตามประสาคนเจ้าระเบียบ “อีกหน่อยเราก็คงไม่ได้นอนด้วยกันบ่อย ๆ แบบนี้แล้วนะ” “ทำไมล่ะ?” คำพูดของพี่บัวทำให้ฉันใจเสีย เธอพูดเหมือนจะลาไปไหนอย่างนั้นแหละ “ก็ถ้าพี่แต่งงานกับปลัด พี่ก็ต้องไปอยู่บ้านเขา นาน ๆ ทีถึงจะได้กลับมาบ้านเรา” “พี่ไม่ได้รักเขา แล้วพี่จะแต่งงานกับเขาทำไม!” พูดถึงไอ้ปลัดนั่นทีไรฉันก็โมโห ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีทางชนะใจพี่บัวได้ เลยต้องใช้หนี้สินของครอบครัวฉันบีบบังคับ เลวสิ้นดีเลย “บางครั้งเราก็เลือกสิ่งที่ถูกใจไม่ได้หรอกนะชบา” คนหน้าหวานยิ้มบาง ๆ แต่แววตากลับเศร้าหมองอย่างปิดซ่อนไม่มิด “งั้นพี่หนีไหม ฉันจะพาพี่หนีเอง” “แล้วพ่อกับแม่ล่ะ? เราจะปล่อยให้พวกเขาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายกันสองคนเหรอ พ่อยิ่งป่วยหนักอยู่ด้วย” “ก็พากันหนียกครัวเลยไง ไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น” “เราเป็นหนี้เขานะ ทำแบบนั้นไม่ดีเลย อีกอย่าง... คุณปลัดเขารับปากว่าจะส่งตัวพ่อไปรักษาโรงพยาบาลดี ๆ พ่อเราจะได้หายไง” ฉันกรอกตาขึ้นบนอย่างเหนื่อยหน่ายทันที แค่คำพูด ใครก็พูดได้หรือเปล่า “ถ้าไอ้ปลัดนั่นมันชอบฉันก็คงดีนะ พี่จะได้ไม่ต้องฝืนใจแต่งงานกับมัน คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นต้องเจอฉันนี่! จะสั่งสอนให้ดู จะขูดให้หมดเนื้อหมดตัวโดยไม่ต้องเปลืองตัวไปแต่งงานเลย” “ชูววว อย่าเรียกเขาแบบนั้นสิชบา เขาอายุเยอะกว่าเราตั้งหลายปีนะ” “โอ๊ยย! นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้!” ยิ่งถูกขัดใจก็ยิ่งหงุดหงิด ฉันเลยต้องยกมือขึ้นกอดอกทำหน้าบึ้งตึง จนพี่บัวต้องขยับขึ้นมาสวมกอดแผ่วเบา “ไม่เป็นไรนะ ไว้พี่จะพยายามกลับมาหาบ่อย ๆ จะซื้อเสื้อสวย ๆ มาให้ใส่ด้วย” เธอรู้ว่าการมีเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่เป็นจุดอ่อนของฉัน เพราะแม่ของเรามีอาชีพตัดเย็บผ้า เสื้อผ้าทุกตัวจึงได้จากการที่เธอตัดเย็บให้ แม้ใคร ๆ จะต่างอิจฉา แต่ฉันกลับมองว่ามันไม่น่าตื่นเต้นเลย แม่ตัดเสื้อผ้าก็เอาแต่ชุดเดิม ๆ ไม่เหมือนในตลาด ที่ขายปาดไหล่โชว์เอว แบบนั้นค่อยน่าใส่หน่อย “พี่ไม่ต้องเอาเสื้อผ้ามาล่อ ฉันไม่ขายพี่ตัวเองเพราะแลกกับของนอกกายแบบนั้นหรอก” “พี่แต่งได้ ไม่ได้ฝืนใจขนาดนั้นหรอก ไม่ต้องห่วง” “พี่โกหกใครก็ได้ แต่พี่โกหกฉันไม่ได้หรอกนะ” คนอายุมากกว่าเพียงสองปีไม่พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่ทิ้งตัวลงนอนแล้วเรียกฉันเข้าไปนอนด้วย แต่การนอนด้วยกันครั้งนี้ ฉันกลับรู้สึกใจหวิวแปลก ๆ ความรู้สึกมันต่างไปจากทุกครั้ง ราวกับว่าคนที่ฉันรักและหวงแหน กำลังจะถูกแย่งไปโดยที่เธอไม่ได้เต็มใจสักนิด “ฉันพูดจริง ๆ นะพี่บัว ฉันพาพี่หนีได้จริง ๆ” “หนีอะไรก็หนีได้ แต่เราไม่มีทางหนีความจริงพ้นหรอกนะ” “ถ้าเราหนีไม่พ้น เราก็ทำให้หนี้มันหายไปสิ” “ยังไงเหรอ” ฉันคงคิดดังไปหน่อย ทำให้พี่บัวเกิดความสงสัย “มะ ไม่มีอะไร นอนเถอะ ห้าวว...” พูดพร้อมกับยกมือขึ้นทาบปิดปากทำท่าหาวหวอด ๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมอกแล้วขยับเข้าไปกอดพี่บัวแน่นในท่าประจำ “พี่รักชบานะ นอนซะเด็กดี” มือเล็กบรรจงลูบหัวฉันแผ่วเบา ก่อนที่เธอจะผล็อยหลับไป เหลือเพียงฉันที่ยังคงกลั้นใจไม่ข่มตานอน เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เมื่อเห็นว่าพี่บัวหลับไปแล้วฉันก็ไม่รอช้า รีบแอบย่องมายังสำนักของพ่อหมอหิรัญอีกครั้ง ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่มาเหยียบที่แห่งนี้อีก แต่ในเมื่อหมดหนทาง ฉันก็ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ก๊อก ๆ “พ่อหมอ!” มาถึงก็ไม่รีรอ รีบเคาะประตูพร้อมทั้งตะโกนเรียก หวังว่าเขาจะยังอยู่ที่สำนัก เพราะบางครั้งเขาก็ต้องกลับไปนอนบ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “พ่อหมอ อยู่ไหม พ่อหมออ!” ปัง ๆ ๆ จากเคาะประตู เริ่มเปลี่ยนเป็นทุบและตะโกนเรียกดังกว่าเดิม นานจนเริ่มถอดใจ แต่จู่ ๆ ประตูสำนักก็ถูกกระชากเปิดอย่างแรง คนหัวยุ่งหน้ามุ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ แถมท่อนบนยังไม่สวมใส่เสื้อด้วย “มีอะไรอีชบา ช่วงนี้วุ่นวายกับชีวิตกูฉิบหาย!” หากกระโจนบีบคอฉันแล้วไม่ผิดกฎหมาย เชื่อว่าคนตรงหน้าต้องทำมันอย่างแน่นอน “ฉันมีเรื่องให้ช่วย” “พอเลย! สร้างแต่ความฉิบหายจัญไร มึงกลับไปซะ” “ดะ เดี๋ยวสิ โอ๊ย!” ฉันรีบคว้าประตูไว้จนเกือบถูกประตูงับ แต่ก็ยังแสร้งสะบัดมือแล้วร้องโอดโอย และมันได้ผล พ่อหมอคว้ามือฉันขึ้นไปดูด้วยท่าทางตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เจ็บมากไหม” “เจ็บสิ มือจะขาดไหมเนี่ย” เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยกมือขึ้นมากอดอกแล้วจ้องมองดูฉันด้วยสายตาเรียบเฉย ในขณะที่ฉันกำลังยกมือขึ้นมาเป่าทำท่าทางสำออย “จะยืนตอแหลอยู่ตรงนี้อีกนานไหม มีอะไรจะพูดก็พูดมา” “พ่อหมอช่วยทำของใส่คนให้ฉันหน่อย” “หึ ใครอีกล่ะ รอบก่อนก็ให้ทำเสน่ห์ รอบนี้จะให้ทำของ” เขาแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ สายตาเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา แล้วแต่เถอะ อยากมองฉันเป็นคนยังไงก็ได้ ไหน ๆ ฉันก็ไม่เคยเป็นคนดีในสายตาใครอยู่แล้ว “คนเดิมนั่นแหละ เอาแค่ป่วยหนัก ไม่ต้องถึงตายนะ แล้วฉันจะหาทางพาเขามาหาพ่อหมอ จากนั้นพ่อหมอค่อยบอกเขาว่าห้ามยุ่งกับครอบครัวฉัน เพราะมันเป็นกาลกิณี” แปะ ๆ ๆ คนร่างหนาตบมือพลางกลั้วขำออกมาอย่างชื่นชม แต่กลับเป็นเสียงหัวเราะและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน “มึงนี่มันฉลาดแต่เรื่องชั่ว ๆ จริง ๆ เอาเขามาเป็นผัวไม่ได้ เลยอยากให้เขาทรมานเลวระยำจริง ๆ” ในสายตาของอีกฝ่าย ฉันคงไม่ต่างไปจากนางมารร้ายในละครหลังข่าว แต่ฉันไม่สนหรอกนะ จะมองแบบไหนก็มองไปเถอะ ไม่มีอะไรที่ต้องเสียไปมากกว่านี้อยู่แล้ว “แล้วแต่พ่อหมอจะด่าเถอะ ฉันมันชั่วจริง ๆ แต่พ่อหมอช่วย...” “กูจะเตือนมึงครั้งสุดท้าย! อย่าเข้ามาเหยียบที่สำนักกูอีก เพราะนอกจากกูจะไม่ทำของใส่คนที่มึงต้องการแล้ว กูจะทำของใส่มึงแทน” “พ่อหมออ ขอร้องล่ะ ช่วยฉันเถอะ” ปัง! ประตูบานใหญ่ปิดใส่หน้าอย่างแรงจนผมปลิว คนใจร้าย! ช่วยหน่อยก็ไม่ได้ จำไว้เลยนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม