เข็มนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงเย็นในขณะที่สายฝนตั้งเค้ามา พราวฟ้ายังคงนั่งทำงานต่อไปเพราะยังมีงานที่คั่งค้างและเธอไม่อยากออกไปติดแหง็กอยู่บนท้องถนนในเวลาที่ทุกคนต่างเร่งรีบกลับบ้านกันในเวลานี้
“พี่กลับก่อนนะจ๊ะพราว” ชยานีหยิบร่มมาถือพร้อมเอ่ยลา
“กลับดีๆ นะคะพี่นี ว่าแต่เจ้านายจอมดุของพี่นีเขากลับไปหรือยังคะ” พราวฟ้าเอ่ยถามเพราะไม่อยากอยู่ตามลำพังกับภาคภูมิเพราะ ภูดิศนั้นกลับไปก่อนแล้ว
“กลับไปแล้วจ้ะ” พราวฟ้าพยักหน้าอย่างโล่งอกเพราะไม่เห็น
เขาเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอไปยังลิฟต์ที่โดยสารมาเมื่อเช้า
“เหรอคะ พราวไม่เห็นเลยคิดว่าเขายังอยู่”
“คุณภาคเขากลับไปตอนที่พราวไปชงกาแฟน่ะจ้ะ”
“อ๋อ มิน่าพราวถึงไม่เห็น”
“พี่ไปก่อนนะจ๊ะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ” พราวฟ้าโบกมือบ๊ายบายให้ชยานีก่อนจะก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อไป
หญิงสาวทำงานจนเพลินเมื่อเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์ก็พบว่าฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาพร้อมเสียงฟ้าร้องคำราม พราวฟ้าปิดคอมพิวเตอร์และเก็บของเตรียมกลับบ้านซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะกลับเป็น
คนสุดท้ายของบริษัทเลยทีเดียว
“สงสัยต้องฝ่าฝนกลับบ้านเสียแล้ว” หญิงสาวบอกตนเองในขณะที่หยิบกระเป๋าสะพายแล้วเดินไปยังลิฟต์ ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเสียงดังก้องพร้อมกับไฟฟ้าที่ดับลงในทันที
“กรี๊ด” หญิงสาวกรีดร้องด้วยความตกใจพร้อมก้มลงไปนั่งอยู่กับพื้น แต่หญิงสาวก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้งเมื่อมีมือปริศนาเอื้อมมาจับต้นแขนเธอ
“กรี๊ด ผีหลอก ช่วยด้วยใครอยู่แถวนี้ช่วยด้วย ออกไปนะไอ้ผี
บ้า” พราวฟ้ากรีดร้องพร้อมใช้กระเป๋าฟาดไปอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความกลัวสุดขีด
“พราวนี่ผมเอง” ภาคภูมิที่ลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องทำงานจึงย้อนกลับมาเอาทำให้เจอพราวฟ้าเข้าพอดี ชายหนุ่มพยายามปัด
ป้องจากการถูกฟาดด้วยกระเป๋าของพราวฟ้าแต่ไม่เป็นผล
“ออกไปนะ พราวกลัวแล้วอย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย พราวจะทำบุญไปให้”
“ผมไม่ใช่ผีนะพราว” พราวฟ้าไม่ฟังเพราะกำลังกลัวสุดขีดร่างบางดิ้นรนจะออกจากการเกาะกุมของเขาจนเป็นลมล้มพับไป
“พราว ได้ยินผมไหม พราว” ภาคภูมิเขย่าร่างบางของคนที่กลัวผีจนเป็นลมไปเรียบร้อย
“บ้าจริง” เมื่อพราวฟ้ายังนอนนิ่งไม่สติชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มหญิงสาวไปยังห้องทำงานของเขาซึ่งเป็นจังหวะที่ไฟสว่างขึ้นพอดี ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างไม่ได้สติของพราวฟ้าลงบนโซฟาในห้องทำงานแล้วนั่งลงข้างๆ ภาคภูมิถอดเสื้อสูทคลุมให้หญิงสาวเพราะอากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากฝนตก ผ่านไปพักใหญ่พราวฟ้าจึงเริ่มได้สติหญิงสาวลุกพรวดขึ้นทันทีและมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวไม่มีผีที่ไหนหรอก ผีที่คุณ...” ภาคภูมิยังไม่ทันพูดจบก็ต้องหยุดลงกะทันหันเมื่อพราวฟ้าโผเข้ามากอดเข้าไว้แน่น
“คุณภาค พราวกลัว” ภาคภูมิโอบกอดร่างบอบบางหอมกรุ่นนั้นไว้แนบอกและฉวยโอกาสสูดดมความหอมจากเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างอดใจไม่อยู่
“ไม่ต้องกลัวผมอยู่นี่แล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรพราวได้ทั้งนั้น มันไม่มีผีหรอกนะครับ ที่พราวเห็นและตีเอาๆ เมื่อกี้คือผมเอง” ภาคภูมิกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนพราวฟ้าเริ่มได้สติ หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดของเขาและมองไปรอบๆ อีกครั้งจึงพบว่าขณะนี้เธอกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาในห้องของภาคภูมิ และที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้นคือเธอกำลังเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“คุณภาค”
“ใช่ ผมเอง” พราวฟ้าตาโตอ้าปากค้างก่อนจะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แล่นมากระจุกอยู่ที่นวลแก้มทั้งสองข้าง หญิงสาวรีบขยับกายออกจากอ้อมกอดของเขาไปนั่งจนชิดริมโซฟาอีกฝั่งทันที
“รังเกียจผมขนาดนั้นเลยเหรอ” ภาคภูมิถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อซึ่งมันทำให้พราวฟ้ารีบละล่ำละลักตอบอย่างกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด
“ไม่ใช่นะคะ พราวไม่ได้รังเกียจคุณภาคแต่พราว...พราว” พราวฟ้าก้มหน้าด้วยความอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีจึงไม่เห็นว่าขณะนี้ภาคภูมิขยับมาจนชิดร่างของเธอเสียแล้ว
“พราวอะไรครับ หืม...” ภาคภูมิใช้นิ้วเรียวเชยคางมนให้เงย
หน้าขึ้นสบตาและยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่าแก้มเนียนๆ ของ พราวฟ้านั้นแดงก่ำด้วยความอาย
“คุณภาค พราว...เอ่อ...พราว” พราวฟ้ารู้สึกสมองไม่สั่งการไปชั่วคราวเพราะไม่สามารถคิดหาคำพูดมาตอบโต้เขาได้เลย
“ถ้าไม่ตอบผมจะคิดว่าพราวหวั่นไหวเมื่ออยู่ใกล้ผม”
“คะ...คุณภาคขยับออกไปหน่อยสิคะ” พราวฟ้าพยายามขยับหนีจนร่างของเธอแทบจะจมหายไปกับโซฟา
“ทีตอนนี้ทำมาไล่ ตะกี้พราวยังกอดผมแน่นอยู่เลย”
“ก็...ก็ตอนนั้นพราวกลัวนี่คะ”
“นี่แหละน้า ที่เขาว่ากันว่าพอหมดประโยชน์ก็ถูกเมินทันที” ภาคภูมิแสร้งว่า
“คุณภาคเป็นอะไรคะ คุณภาคในห้องประชุมเมื่อตอนกลางวันกับคุณภาคตอนนี้เหมือนไม่ใช่คนเดียวกันเลย” พราวฟ้าเรียกสติกลับมาแล้วทำใจกล้าเอ่ยถามออกไป
“เป็นอะไร ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย มีแต่พราวนั่นแหละที่กลัวผีจนเป็นลม แถมยังเอากระเป๋าฟาดผมจนเจ็บไปทั้งตัว” ภาคภูมิไม่ตอบว่าเหตุใดเมื่อกลางวันเขาถึงอารมณ์ฉุนเฉียว แต่กลับเลือกที่จะหันเหความสนใจของพราวฟ้าไปเรื่องอื่นแทน
“พราวขอโทษค่ะ” พราวฟ้ากล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด
“ทำไมมืดค่ำป่านนี้แล้วคุณยังไม่กลับบ้านอีก” ภาคภูมิเอ่ยถามอย่างสงสัย
“พราวกำลังเคลียร์งานที่ค้างอยู่น่ะค่ะ”
“คราวหลังไม่ต้องอยู่จนค่ำมืดแบบนี้ งานไม่เสร็จก็ค่อยมาทำต่อ
พรุ่งนี้ ยังไงตำแหน่งพนักงานดีเด่นก็ไม่มีใครแย่งคุณไปได้หรอก วันนี้ถ้าผมไม่มาเจอคุณจะเป็นยังไง”
“ทราบแล้วค่ะ คราวหน้าพราวจะไม่อยู่ค่ำแบบนี้อีก”
“ดีมาก ถ้างั้นเรากลับบ้านกันเถอะ” ภาคภูมิกำลังจะลุกขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาเสียงดังกึกก้องอีกครั้ง
“กรี๊ด” พราวฟ้ากรีดร้องและโผเข้ามากอดเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
“ไม่ต้องกลัวผมอยู่นี่”
“พราวกลัว พราวไม่ชอบเสียงฟ้าร้อง” ความกลัวมีมากกว่าจนทำให้พราวฟ้าลืมไปว่าตอนนี้เธอกำลังซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของเจ้านายหนุ่มที่เธอคิดมาตลอดว่าเขาไม่ชอบขี้หน้าตัวเอง ภาคภูมิกอดหญิงสาวเอาไว้นิ่งๆ จนกระทั่ง พราวฟ้าเริ่มคิดได้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทำให้สบตากับภาคภูมิที่กำลังมองลงมาพอดี สายตาทั้งคู่ประสานกันส่งผลให้ต่างฝ่ายต่างชะงักไป ความรู้สึกประหลาดบางอย่างแล่นเข้าสู่หัวใจของทั้งคู่อย่างรุนแรง ภาคภูมิค่อยๆ ก้มหน้าลงมาหาในขณะที่พราวฟ้าไร้สิ้นเรี่ยวแรงที่จะขยับหนีจนกระทั่งริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน ภาคภูมิใช้ริมฝีปากตัวเองสัมผัสเรียวปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่ออย่างแผ่วเบา ก่อนจะใช้ชั้นเชิงที่เหนือกว่าทำให้พราวฟ้ายอมเปิดปากรับลิ้นอุ่นๆ ของเขาเข้าไปในโพรงปากแสนหวาน จุมพิตแสนอ่อนโยนเริ่มต้นขึ้นก่อนจะทวีความเรียกร้องขึ้นตามลำดับ พราวฟ้าอ่อนระทวยเพราะเธอไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนสัมผัสแนบชิดเท่าที่ภาคภูมิกำลังทำมาก่อน แม้เธอจะเป็นสาวเปรี้ยวชอบแต่งตัวเซ็กซี่และออกเที่ยวกลางคืนอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ผู้ชายคนไหนได้เชยชม แต่ในตอนนี้ภาคภูมิคือผู้ชายคนแรกที่กำลังสอนประสบการณ์ระหว่างชายหญิงให้เธอได้รับรู้
จุมพิตที่ทวีความหนักหน่วงขึ้นทำให้พราวฟ้าอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟจนภาคภูมิต้องจับเรียวแขนขาวผ่องให้โอบไว้ที่ลำคอของเขา ฝ่ามือแข็งแกร่งประคองอยู่ที่ท้ายทอยเพื่อให้หญิงสาวได้รับจุมพิตจากเขาอย่างถนัดถนี่ ท่าทางเงอะงะไม่ประสีประสาของพราวฟ้าทำให้ภาคภูมิทั้งประหลาดใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน พราวฟ้ายังไร้ประสบการณ์ ความจริงข้อนี้ทำให้เขาดีใจอยู่ลึกๆ แม้จะไม่ใช่คนหัวโบราณที่ยึดติดกับเยื่อบางๆ นั้น แต่การได้รับรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้สัมผัสเธอช่างให้ความรู้สึกดีเหลือเกิน พราวฟ้าหายใจหอบเมื่อภาคภูมิถอนจุมพิตออกเพื่อให้เธอได้พัก
“หวานเหลือเกิน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่ยังไม่ทันที่พราวฟ้าจะตอบโต้หรือเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของตัวเองให้กลับคืนมา ภาคภูมิก็กดจุมพิตลงมาอีกครั้งซึ่งครั้งนี้ทั้งหนักหน่วงและเรียกร้องมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวี
“อืม...” พราวฟ้าครางออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อไม่อาจทนกับความวาบหวามนั้นได้อีกต่อไป ฝ่ามือของภาคภูมิลูบไล้ไปมาบนแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาวและเคลื่อนมาด้านหน้า ก่อนจะค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อสูทที่คลุมทับเกาะอกตัวจิ๋วด้านในเอาไว้ ความเย็นที่สัมผัสผิวกายเมื่อถูกถอดเสื้อสูทออกไปเหลือเพียงเกาะอกตัวสั้นเผยให้เห็นเอวคอดกิ่วและสะดือสวยทำให้พราวฟ้าเบียดกายเข้าหาภาคภูมิเพื่อหาความอบอุ่น ชายหนุ่มถอนจุมพิตจากเรียวปากที่บวมเจ่อมายังซอกคอหอมกรุ่นและสุดท้ายใบหน้าหล่อเหลาก็ฝังลงยังอกอวบอิ่มที่ล้นทะลักออกมานอกเกาะอกตัวจิ๋ว ฝ่ามือของภาคภูมิเกาะกุมอยู่ที่ทรวงอกอิ่มล้นจนพราวฟ้าสะดุ้งเฮือกและสติที่เตลิดลอยไปก็กลับมาในทันที
“คุณภาคหยุดก่อนค่ะ” หญิงสาวดิ้นรนเป็นพัลวันจนภาคภูมิต้องหยุดการกระทำทุกอย่างทั้งที่ทรมานแทบขาดใจ พราวฟ้ารีบลุกขึ้นและควานหาเสื้อสูทมาสวมด้วยมืออันสั่นเทา
“ผมช่วย” ภาคภูมิอาสาเมื่อเห็นว่ามือของพราวฟ้าสั่นจนไม่สามารถติดกระดุมเสื้อได้ ขืนให้หญิงสาวอยู่ในสภาพล่อแหลมแบบนี้คงเป็นเขาที่ตบะแตกจับหญิงสาวกดลงกับโซฟาและทำทุกอย่างตามที่ใจต้องการเป็นแน่ ภาคภูมิดึงร่างบางของพราวฟ้าเข้ามากอดเมื่อติดกระดุมให้หญิงสาวเรียบร้อย
“พราว”
“คะ” พราวฟ้าขานรับด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหตุการณ์ล่อแหลมเมื่อสักครู่ทำให้เธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ หากเธอไม่ได้สติหยุดเขาเอาไว้เธอและเขาก็คงไปไกลจนกู่ไม่กลับ เธอไม่อยากคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเธอและภาคภูมิมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเจ้านายกับลูกน้อง เธอจะทนอยู่สู้หน้าเขาต่อไปได้อีกหรือไม่พราวฟ้าเองก็ไม่แน่ใจ
“เรื่องเมื่อกี้...”
“ช่างมันเถอะค่ะ พราวจะลืมมันไปซะ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุงั้นเหรอ คุณพูดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุเหรอพราว คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”
“มะ...ไม่นี่คะ พราวไม่รู้สึกอะไร” พราวฟ้ารู้อยู่เต็มอกว่าเธอโกหก หากเป็นผู้ชายคนอื่นไม่มีทางที่เธอจะยอมให้เขามาสัมผัสร่างกายเธอลึกซึ้งแบบนี้แน่นอน แต่เธอก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมกับภาคภูมิผู้ชายที่เธอบอกตัวเองและใครๆ ว่าเขาเกลียดขี้หน้าเธอและเธอเองก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ใกล้เขาทำไมเธอถึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขาได้ถึงเพียงนี้
“คุณโกหก คุณจะโกหกใครๆ ก็ได้นะพราว แต่คุณโกหกตัวเองไม่ได้หรอก ระหว่างเรามันมีบางอย่างที่พิเศษ บางอย่างที่มีพลังดึงดูดมหาศาลจนทำให้เรื่องเมื่อกี้เกิดขึ้น” ภาคภูมิดันพราวฟ้าออกจากอ้อมกอดและเชยคางมนขึ้นสบตาแต่พราวฟ้าเสียเองที่เป็นฝ่ายหลบสายตาคมนั้น
“มองตาผมพราว มองตาผมแล้วพูดอีกครั้งว่าคุณไม่รู้สึกอะไรกับผม มองตาผมแล้วบอกว่าเรื่องเมื่อกี้ระหว่างเรามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ”
“พราว พราวไม่รู้ คุณภาคอย่าบังคับพราวได้ไหมคะ” ในที่สุดพราวฟ้าก็ร้องไห้ออกมากับความสับสนที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อย่าร้อง คุณแค่ยอมรับว่าคุณก็รู้สึกกับผมไม่ต่างจากที่ผมรู้สึกกับคุณมันก็แค่นั้นเองคนดี” ภาคภูมิปลอบและเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“พราว พราวไม่รู้ มันเป็นไปไม่ได้” พราวฟ้าส่ายหน้าอย่างไม่กล้ายอมรับ
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะพราว คุณเอาอะไรมาตัดสินว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ได้”
“ความต่างไงคะ คุณเป็นเจ้านายพราวเป็นแค่ลูกน้อง อีกอย่างฐานะระหว่างเรามันต่างกันมาก ทุกอย่างระหว่างเรามันไม่มีอะไรที่จะเป็นไปได้เลย” พราวฟ้าบอกอย่างเจ็บลึกอยู่ในอก
“นั่นมันสิ่งที่คุณคิดไปเองต่างหากพราว หากผมจะรักผู้หญิง
สักคนผมจะรักที่ตัวตนของเขาไม่ใช่ฐานะหรือชาติกำเนิด ผมชอบคุณนะพราว ชอบมากและคิดว่าชอบมานานแล้วด้วย”
“คุณภาค รู้ตัวหรือเปล่าคะว่าพูดอะไรออกมา” พราวฟ้าถามเหมือนคนละเมอเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาสารภาพ
“รู้สิ ผมรู้ตัวดีตลอดรวมถึงเรื่องเมื่อกี้ด้วย” ภาคภูมิกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเธอเป็นฝ่ายต้องหลบตาด้วยความอายเสียเอง
“คุณจะชอบพราวได้ยังไง ในเมื่อที่ผ่านมาคุณชอบหาเรื่องตำหนิพราว แล้วก็ชอบทำหน้าดุใส่พราวตลอดเลยด้วย” พราวฟ้าไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดจนภาคภูมิอดใจไม่ไหวต้องรวบร่างบางเข้าไปกอดอีกครั้ง
“ก็เพราะผมหวง”
“คะ” พราวฟ้าไม่แน่ใจว่าเธอจะมีชีวิตรอดคืนนี้ไปได้หรือจะต้องช็อกตายไปก่อนกับเรื่องเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นติดๆ กันอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสแนบชิดกับเจ้านายหนุ่ม ตามมาด้วยการได้รับรู้ความในใจของเขาและสุดท้ายการที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าที่เจ้านายหนุ่มชอบทำหน้าดุและตำหนิเธอเรื่องการแต่งตัวก็เพราะว่าเขาหวง!!!
“ใช่ ผมหวง”
“คุณภาค” พราวฟ้าเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีไปกว่านั้น
“คุณไม่รู้ตัวเลยเหรอพราวฟ้าว่าผู้ชายในออฟฟิศนี้พากันมองคุณตาเป็นมันทุกวันกับการแต่งตัวเซ็กซี่เกินพิกัดของคุณน่ะ และที่ผม
ตำหนิคุณทุกวันก็เพราะว่าผมไม่ชอบให้ผู้ชายหน้าไหนมามองคุณ”
“เอ่อ...”
“รู้แบบนี้แล้วคุณจะว่ายังไง”
“พราว...เอ่อ...พราว”
“พราวฟ้าสาวมั่นเจ้าเสน่ห์ของผมกลายเป็นคนติดอ่างไปแล้วหรือนี่” พราวฟ้าหัวใจกระตุกกับคำว่าพราวฟ้า ‘ของผม’ เธออยากจะให้ทุกอย่างมันเป็นแค่ความฝัน เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้มันรวดเร็วและเหนือความคาดหมายจนเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงได้ แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้คือความฝันเธอและภาคภูมิก็จะไม่มีวันได้ใกล้ชิดกันแบบนี้
“ให้โอกาสผมได้ไหมพราว ให้โอกาสเราได้ศึกษากันและ...รักกัน”
“แต่พราวกลัว”
“กลัวอะไรครับ”
“พราวไม่อยากถูกกล่าวหาว่าคบกับคุณเพราะ...”
“ผมรู้ว่าคุณจะพูดอะไร เราไม่จำเป็นต้องสนใจนี่ ในเมื่อความจริงเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราคบกันเพราะมันคือสิ่งที่หัวใจเราต้องการ”
“แต่พราว...”
“คุณจะทรมานผมไปถึงไหนพราว คุณไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาผมต้องอดทนขนาดไหนที่จะไม่ไล่กระทืบลูกน้องตัวเองที่ชอบมองคุณตาละห้อยน่ะ”
“คุณภาค” พราวฟ้าพูดอะไรไม่ออกเมื่อภาคภูมิสารภาพสิ่งที่
อยู่ในใจเขามานาน
“อย่าทรมานผมอีกเลยนะคนดี ให้โอกาสผมนะ” ภาคภูมิ กระซิบวอนขออยู่ริมใบหูสวยจนพราวฟ้าขนลุกซู่ สัมผัสแนบชิดเมื่อสักครู่ยังชัดเจนอยู่ในความรู้สึก
“คุณจะไม่ทำให้พราวต้องเสียใจใช่ไหมคะ ถ้าคุณเห็นพราวเป็นของเล่นก็อย่าเลยค่ะ หัวใจพราวไม่แข็งแรงพอที่จะรับความเจ็บปวดหากวันหนึ่งคุณเบื่อของเล่นชิ้นนี้แล้ว”
“ไม่มีวัน ผมเป็นคนชัดเจนและซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนเองเสมอ ถ้าหากผมต้องการแค่คู่นอนจะหาสักกี่คนก็ได้ แต่ผู้หญิงที่จะมาเป็นคนรักเป็นเจ้าสาวของผมในอนาคตผมเชื่อในหัวใจของตนเองว่าผมรักใคร”
“นี่พราวกำลังฝันอยู่แน่ๆ เลย ฝันว่าเจ้านายจอมโหดกำลังมาขอพราวเป็นแฟน เป็นความฝันที่แปลกและไม่น่าเชื่อว่าอุ๊บ!!!” พราวฟ้าไม่ทันได้พูดจบภาคภูมิก็ช่วยยืนยันว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ และเป็นสิ่งที่หัวใจเขาต้องการ
“ทีนี้พราวจะเชื่อได้หรือยังว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน” ภาคภูมิถามเมื่อถอนจุมพิตออก
“คุณภาค คนร้ายกาจ” พราวฟ้าต่อว่าเขาแต่ตัวเองหน้าแดงกล่ำ
“ว่ายังไงครับ พราวจะให้โอกาสผมได้ไหม” ภาคภูมิถามด้วยสีหน้าจริงจังเพราะเขาไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว พราวฟ้ามีผู้ชายมาห้อมล้อมมากมายเขาไม่อยากเสี่ยงที่จะต้องเสียหญิงสาวไปให้ผู้ชายคนอื่น แม้จะไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดอกคุยกับหญิงสาวในวันนี้ แต่ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเป็นใจเขาจึงไม่รอช้า
“ขอเวลาพราวหน่อยได้ไหมคะ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนพราวตั้งตัวไม่ทัน พราวไม่อยากเสียใจกับการตัดสินใจที่สำคัญต่อชีวิต
ขอเวลาพราวหน่อยนะคะ”
“ก็ได้” ภาคภูมิตอบตกลงแม้จะไม่ได้เตรียมใจสำหรับการที่ต้อง
รอมาก่อนก็ตาม ผู้ชายอย่าง ภาคภูมิ วัฒนาวิวัฒน์ ไม่เคยต้องง้อผู้หญิงคนไหน พราวฟ้าเป็นคนแรกที่เขาเป็นฝ่ายไล่ตามและต้อนหญิงสาวให้มาอยู่ในอ้อมกอดด้วยชั้นเชิงอันแพรวพราว
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจพราว”
“ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ แค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้นนะพราวและบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้เกิดมาเพื่อรับคำปฏิเสธ”
“อะไรกันคะ แบบนี้เรียกบังคับกันนี่”
“ผมไม่ได้บังคับ ถ้าบังคับผมคงไม่ให้เวลาพราวตัดสินใจหรอก ผมรู้ว่าท้ายที่สุดพราวต้องตอบตกลงอยู่แล้ว”
“คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“มั่นใจสิ แค่ผมมองตาพราวก็รู้แล้ว”
“คนหลงตัวเอง” พราวฟ้าต่อว่าเบาๆ กับความมั่นใจจนเกินหน้าเกินตาของภาคภูมิ แต่เธอก็ไม่แปลกใจหรอกที่เขาจะมั่นใจในเสน่ห์ตัวเองขนาดนั้น ในเมื่อเธอที่พูดกับใครต่อใครว่าเขาน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้แต่พอได้มาใกล้ชิดเขาก็พ่ายแพ้ต่อเสน่ห์อันร้ายกาจของเขาเข้าจนได้ พราวฟ้าบอกตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด เธออยากจะรู้นักว่าจะมีผู้หญิงคนไหนต้านทานเสน่ห์ของภาคภูมิได้บ้าง ที่เธอปฏิเสธไม่ใช่เพราะต้องการความแน่ใจอย่างที่บอกออกไป แต่เธอไม่อยากให้เขามองว่าเธอ ‘ง่าย’ จนเกินไปนัก หรือจะพูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเล่นตัวจนพองามและดูมีคุณค่านั่นเอง
“อีกไม่นานจะเปลี่ยนมาหลงพราวแทน” ภาคภูมิกระซิบเบาๆ ซึ่งทำให้พราวฟ้าเขินอายอีกไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่
“คุณภาคไม่กลัวคนอื่นนินทาว่าเป็นสมภารกินไก่วัดเหรอคะ”
“กลัวทำไมก็ไก่วัดมันน่ากินนี่” ภาคภูมิตอบตามที่ใจคิด
“คุณภาค” พราวฟ้าตีแขนกำยำภายใต้เสื้อสูทนั้นแก้เขิน
“ผมพูดเรื่องจริงไม่เห็นต้องเขินเลย เมื่อกี้ลองชิมนิดหนึ่งแล้วก็รู้เลยว่าไก่วัดตัวนี้หวานหยดอย่าบอกใคร”
“คุณภาคหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะคะ”
“หยุดก็ได้ สงสารคนแถวนี้ที่เขินจนหน้าแดงตัวแดงไปหมดแล้วหรอกนะ”
“พราวอยากกลับบ้านแล้ว”
“กลับก็กลับ จะว่าไปผมต้องขอบคุณตัวเองที่ลืมโทรศัพท์แล้วก็ขอบคุณฟ้าฝนที่ช่างเป็นใจในวันนี้นะ ต้องขอบคุณมากที่สุดคือเสียงฟ้าผ่านี่แหละ”
“ไม่ต้องมาพูดเลย เพราะคุณภาคนั่นแหละที่มาเงียบๆ จน
พราวตกใจนึกว่าเป็นผี”
“เกือบถูกผีจับกินแล้วไหมล่ะ” ภาคภูมิล้อ
“คุณภาคถ้ายังไม่เลิกพูดพราวจะโกรธจริงๆ ด้วย”
“โอเค ไม่พูดแล้วครับไม่พูดแล้ว”
“สงสัยพายุจะพัดเอาคุณภาคจอมโหดไปกับสายลมแล้วมั้งคะ เหลือแต่คุณภาคที่แสนกวนประสาท”
“แน่ะ พอรู้ว่าได้เปรียบเข้าหน่อยกล้าว่าผมเหรอ”
“พราวพูดเรื่องจริง” ภาคภูมิถือวิสาสะจูงมือพราวฟ้าเดินลงมาที่ลานจอดรถแล้วก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่เจ้ากี้เจ้าการบังคับให้เธอนั่งรถไปกับเขาโดยโทรตามคนขับรถมาขับรถเธอตามไปส่งให้ที่คอนโด
“สองทุ่มแล้วหาอะไรกินกันดีกว่า” ภาคภูมิบอกเมื่อขับรถออก
มาจากบริษัทเป็นเวลาเดียวกับที่สายฝนที่กระหน่ำลงมาตั้งแต่ช่วงเย็นหยุดลงพอดี
“ไม่เป็นไรค่ะ พราวกลับไปกินแถวคอนโดดีกว่า” พราวฟ้าไม่ได้บอกว่าเธออยากกลับไปอาบน้ำแล้วกินยาพักผ่อนเนื่องจากเริ่มปวดแผลที่โดนน้ำร้อนลวกเมื่อตอนเช้า แต่เป็นภาคภูมิที่สังเกตเห็นว่าเธอนั่งกุมแขนที่มีผ้าพันไว้ตลอดเวลา
“เป็นอะไร ปวดแผลเหรอ”
“นิดหน่อยค่ะ”
“แล้วทำไมไม่บอกผม” ภาคภูมิเผลอตัวดุด้วยความเป็นห่วงทำให้พราวฟ้านั่งเงียบแต่เผลอตัวเม้มริมฝีปากอย่างที่ทำเป็นประจำตั้งแต่เด็กเมื่อโดนมารดาดุ แต่คราวนี้ต่างกันตรงที่คนที่ดุเธอเป็นว่าที่คนรักซึ่งถึงเธอปฏิเสธเขาก็คงยัดเยียดตัวเองให้ได้ตำแหน่งนั้นไปอยู่ดี
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดุพราวนะครับ แต่ผมเป็นห่วง” ภาคภูมิดึงมือเธอไปกุมไว้และบอกอย่างอ่อนโยนในขณะที่หยุดรถรอสัญญาณไฟตรงสี่แยก
“พราวก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ”
“ไม่ว่าแต่หน้างอแบบนี้มันอาการของคนงอนชัดๆ พราวนี่ขี้งอนเหมือนกันนะ” ภาคภูมิพูดตามที่คิดเพราะขนาดหญิงสาวยังไม่ตกลงคบหากับเขายังงอนกันเสียแล้ว เขามองเห็นอนาคตตัวเองชัดเจนเลยว่าต้องเป็นฝ่ายตามง้อหญิงสาวแน่นอน แต่เขายิ่งกว่ายินดีที่จะทำแบบนั้นเพราะพราวฟ้าคือผู้หญิงที่เขาให้ความสำคัญและคาดหวังว่าจะมาเป็นคู่ชีวิตในอนาคต อายุอานามของเขาไม่ใช่วัยรุ่นหนุ่มน้อยอีกต่อไปแล้ว การคบหาผู้หญิงสักคนนับจากนี้ย่อมหมายถึงว่าเขาต้องมองและวางอีกฝ่ายเอาไว้ในฐานะว่าที่ภรรยาและแม่ของลูกในอนาคตและเขาเชื่อว่าพราวฟ้าคือใครคนนั้นที่เขาเฝ้ารอ
“เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะคะ” พราวฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“นั่นไง ชัดเลย ผมขอโทษแล้วกันนะครับที่เผลอดุพราว ผมห่วงพราวมากรู้ไหม ผมยังเสียใจถึงตอนนี้ที่มีส่วนทำให้พราวต้องเจ็บตัว” ภาคภูมิบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดจนพราวฟ้าใจอ่อน
“รู้สึกผิดทำไมคะ คุณภาคไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย อีกอย่างพราวก็ผิดที่ไม่ทันระวัง เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าไปคิดถึงมันเลยค่ะ เดี๋ยวทายากินยาก็หายแล้ว” จากที่ภาคภูมิเป็นฝ่ายง้อตอนนี้พราวฟ้ากลับต้องปลอบใจเขาเสียเอง
“ถ้าอย่างนั้นเราซื้อข้าวไปกินที่คอนโดพราวก็แล้วกันนะครับ เสร็จแล้วพราวจะได้อาบน้ำทานยาแล้วก็นอนเลย” ภาคภูมิออกความเห็นซึ่งพราวฟ้ารู้ดีว่าป่วยการที่เธอจะปฏิเสธเพราะถึงอย่างไรภาคภูมิก็มีวิธีที่จะทำให้เธอตอบตกลงอยู่ดี
“ก็ได้ค่ะ”