พชิราลากกระเป๋าออกมาจากบ้านไม้สองชั้นในตอนเช้าตรู่ เธอรู้ว่ามารดายังไม่ตื่น การไม่ต้องเอ่ยคำลากันต่อหน้ามันก็เป็นทางเลือกที่ดี หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ บ้านอีกครั้ง ก่อนจะออกมานอกรั้วเพื่อขึ้นรถแท็กซี่ที่เรียกใช้บริการเอาไว้ เธอจัดแจงเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องให้เรียบร้อยแล้วไปทำงาน ตอนเย็นเลิกงานแล้วค่อยมาจัดการ หวังว่าวันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีของเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่วันนี้ค่อนข้างแจ่มใสไม่มีเมฆมาบดบัง มือบางกระชับกระเป๋าถือแล้วรีบเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาทำงาน เธอสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งไปขึ้นลิฟต์พนักงานที่กำลังจะปิดประตูลง
“ไปด้วยค่ะ!” เธอตะโกนบอกหวังว่าจะมีใครสักคนรอเธอ
“ขอบคุณค่ะ” เธอหันไปทางผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ปุ่มกดมากที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ”
เขายิ้มให้ก่อนจะสอบถามชั้นที่เธอจะไป ซึ่งมันเป็นชั้นบนสุดของผู้บริหาร หญิงสาวเหลือบดูตัวเลขบอกลำดับชั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรจน กระทั่งพนักงานค่อยๆ ทยอยออกไปจนเหลือเพียงเธอและเขาสองคน
“สวัสดีครับ... ผมกษิดิศ” เขาแนะนำตัวเองกับหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องลิฟต์ พชิราโค้งศีรษะลงแล้วแนะนำตัวเองบ้าง
“สวัสดีค่ะ พชิราค่ะ”
“พชิราที่แปลว่าเพชรใช่ไหมครับ” เธอยิ้มให้เขานิดๆ
“ชื่อเล่นคุณเพชรไหมครับ” เธอส่ายหน้า
“เรียกพิ้งค์ก็ได้ค่ะ”
กษิดิศพยักหน้า เขาอดชื่นชมในความสวยของเธอไม่ได้ ใบหน้ารูปไข่และเครื่องหน้าอย่างสมบูรณ์ ดวงตากลมโต คิ้วสีเข้มเรียงตัวกันสวยงาม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อ ใครกันที่ช่างปั้นให้เป็นเธอ
“เรียกผมว่าดิศนะครับ คุณทำงานอยู่ชั้นนี้เหรอครับ” เขาชี้ไปยังตัวเลขชั้นบนสุด กษิดิศไม่ใช่คนสอดรู้ เขาแค่อยากหาเรื่องคุยกับเธอ
“ค่ะ พิ้งค์เป็นเลขาของคุณเก้า แล้วคุณดิศมาพบใครเหรอคะ” เพราะมันคือชั้นของผู้บริหาร เลขาอย่างเธอก็ควรจะรู้ไว้
“ผมมาหาไอ้เก้ามันนั่นแหละครับ” เขาหัวเราะร่วน
“เชิญค่ะ”
เมื่อประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เธอผายมือให้เขาเดินก่อน เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนของเจ้านาย แต่กษิดิศกลับไม่ยอมเป็นผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษจะออกก่อนได้อย่างไร สุดท้ายเมื่อไม่มีใครยอม เขาจึงจับมือเธอให้เดินออกมาพร้อมกันอย่างถือวิสาสะ
“ขอโทษนะครับ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้เราน่าจะยังติดอยู่ในลิฟต์”
พชิราไม่ได้ถือสา เธอส่งยิ้มให้เขา และก็ต้องรู้สึกแปลกใจกับสายตาของเพื่อนร่วมงานที่มองมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ถูกจับตามอง แต่เมื่อวานเพิ่งมีข่าวแย่ๆ เกิดขึ้น หญิงสาวพ่นลมหายใจอย่างอ่อนใจ
“เชิญทางนี้ค่ะคุณดิศ ป่านนี้คุณเก้าคงมาถึงแล้ว”
เธอผายมือ ก่อนจะเดินนำหน้าเขาไปยังห้องผู้บริหารที่อยู่ปีกซ้าย กษิดิศมองร่างบางนั้นอย่างหลงใหล เขาถือโอกาสสำรวจหญิงสาวไปเงียบๆ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าที่เธอสวมใส่อยู่ไม่ใช่ของแบรนด์เนมราคาแพง แต่มันกลับดูมีมูลค่าเมื่ออยู่บนตัวของเธอ
“เดี๋ยวพิ้งค์บอกคุณเก้าก่อนนะคะ”
หญิงสาวเคาะประตูเข้าไปด้านในทันที ไม่คิดว่าเช้าๆ อย่างนี้จะมีแขกมาหาเขาแล้ว ร่างบางหยุดชะงักเท้าทันทีเมื่อเห็นว่ากฤษกรไม่ได้อยู่คนเดียว ทว่าบนท่อนขาแข็งแรงนั่น มีร่างอวบอัดของดาหวันแนบชิดแสดงความเป็นเจ้าของอยู่
“เข้ามาทำไม!”
น้ำเสียงห้วนของดาหวันบ่งบอกถึงความไม่พอใจเป็นที่สุด เธอกำลังจะเข้าได้เข้าเข็มกับกฤษกรอยู่แล้ว ถ้านังเลขาหน้าสวยไม่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณเก้าจะมีแขก”
กฤษกรเหลือบตามองสบตากับเลขาสาว วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าเหมือนทุกวัน ริมฝีปากอวบอิ่มนั่นยังคงซีดเซียว แต่นั่นก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เขาได้สำรวจเธอ เมื่อมือบางของคนข้างกายจับหน้าเขาให้หันมองแค่เธอคนเดียว
“คุณเก้าคะ ดาไม่ชอบเลขาคนนี้ของคุณเลย”
นั่นเพราะพชิราไม่ได้ให้ความร่วมมือกับหญิงสาวเรื่องกันผู้หญิงคนอื่นๆ ออกไปจากกฤษกร เท่ากับเธอได้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับดาหวันตั้งแต่วันนั้น
“มีอะไรกับฉันเหรอ” เขาไม่ได้สนใจคำพูดของคนบนตัก แต่หันไปถามเลขาสาวที่ยังคงยืนก้มหน้านิ่ง
“มีแขกมาขอพบค่ะ”
“ใคร?”
“เขาแจ้งว่าชื่อคุณกษิดิศค่ะ”
สิ้นคำพูดของพชิรา กษิดิศก็ปรากฏตัว กฤษกรดีใจมาก เพราะเขาไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้มานาน ก็คงตั้งแต่เขากลับมาจากอเมริกานี่ก็เข้าปีที่สิบห้าแล้ว
“ไงไอ้ดิศ”
ดาหวันจำต้องลุกจากตัวเขา กฤษกรสวมกอดแขกที่มาใหม่ด้วยความคิดถึง พชิราจึงค่อยๆ เลี่ยงตัวออกไปเพื่อชงกาแฟและเตรียมน้ำดื่มสำหรับแขกและเจ้านาย ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมด้วยเครื่องดื่มจำนวนหกแก้วสำหรับคนสามคน
“ฉันไม่ดื่มกาแฟ อยากได้น้ำผลไม้”
ขณะที่สองหนุ่มกำลังพูดคุยกันอย่างสนุก ดาหวันก็ออกฤทธิ์ออกเดชเหมือนเดิม นานวันเข้าเธอก็ไม่รู้ว่าที่ไม่ชอบแม่เลขาของกฤษกรเพราะเธอไม่ให้ความร่วมมือ หรือเพราะหน้าตาสะสวยจนเกรงว่าสักวันชายหนุ่มจะปันใจให้
“เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนให้ค่ะ”
เธอรับคำก่อนจะหยิบแก้วกาแฟวางกลับลงในถาด สายตาของกษิดิศที่มองเธอด้วยความสนใจอย่างไม่ปิดบัง ทำให้กฤษกรต้องมองตามดวงตาคู่นั้น