การที่เขานำเงินออกมาให้นางถึงยี่สิบตำเงิน คงเป็นเงินทั้งหมดที่เขามีแล้ว
อี้อันนำถุงเงินที่เต๋อชางนำมาให้บิดามารดายัดคืนใส่มือให้เขา แต่เต๋อชางกลับไม่ยอมที่จะรับเงินของนางไว้
“อี้อัน เงินนี่คิดสินสอดที่ข้าให้เจ้า ข้ายังมีกำลัง จะหาเงินเมื่อใดก็ย่อมได้” อี้อันเม้มปากแน่น
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้ามิคิดจะดูแคลนท่าน แต่น้องชายของท่านจำต้องใช้เงินอีกมากเพื่อรักษาตัว” นางรีบเอ่ยออกมา เพราะกลัวว่าความหวังดีของนางจะทำให้เขาเข้าใจนางผิด
“ข้าเข้าใจ แต่เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อเจ้าแต่งเข้ามาข้ามิมีทางทำให้เจ้าลำบาก” ถึงแววตาของเขาจะเรียบเฉย แต่คำพูดของเต๋อชางทำให้อี้อันสั่นสะท้านในอกอย่างน่าประหลาด
แม้คำพูดที่ออกมาจากปากของเขาจะไม่มีคำหวานหูให้ได้ยิน แต่นางก็คิดว่าการพูดที่จริงใจที่สุด คือการทำให้เห็นไม่ใช่ดีแต่พูดไปอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ” อี้อันกำถุงเงินแน่น ก่อนจะมองส่งเขาเดินกลับไปยังเรือนที่ท้ายหมู่บ้าน
สองวันต่อมาแม่สื่อก็นำฤกษ์มาส่งให้ที่เรือนตระกูลไป๋ อีกเพียงแค่สองเดือนเท่านั้นนางก็ต้องแต่งออกไปเสียแล้ว
หงซื่อเข้าเมืองในเช้าวันต่อมา เพื่อหาซื้อผ้าตัดชุดให้กับอี้อัน นางพาบุตรีมาเลือกผ้าที่จะใช้ในงานด้วยตนเอง
อี้อันสัมผัสเนื้อผ้าแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เนื้อผ้าทั้งหมดในร้านยังเทียบไม่ได้กับผ้าที่นางนำมาด้วยในมิติของนาง แต่เรื่องนี้นางก็ยังไม่รู้จะบอกกล่าวบิดามารดาเช่นไรดี
ไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดออกไปทั้งสองจะเชื่อนางหรือไม่ หรือคิดว่ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่ในร่างของนาง แล้วทำการขับไล่เช่นที่เคยพบเห็นมาในอดีต
นางยังจำเรื่องสะใภ้ตระกูลเกาที่อยู่ในหมู่บ้านเมื่อครั้งที่นางเพียงสิบหนาวได้ดี เพราะถูกกล่าวหาว่ามีวิญญาณร้ายสิงร่าง แม่สามีของนางเชิญนักพรตมาขับไล่วิญญาณ ทั้งเอาเลือดสุนัขดำสาดไปที่ตัวนาง
แส้หวายที่ลงหลังจนเนื้อตัวของนางแตกเลือดไหลอาบ เสียงร้องอ้อนวอนของนาง อี้อันยังจำได้ดี สุดท้ายความตายจึงเป็นสิ่งที่นางได้รับ
เรื่องของนางมาแดงหลังจากที่นางตายไปแล้วได้สองปี เพราะแม่สามีของนางต้องการให้บุตรชายแต่งสะใภ้ที่ร่ำรวยกว่าเข้าเรือนจึงได้คิดอุบายออกมา
เป็นบุตรชายคนโตของนางที่นำเรื่องทั้งหมดออกมาป่าวประกาศให้คนทั้งหมู่บ้านได้รู้ เมื่อแม่เลี้ยงคนใหม่หลุดพูดเรื่องทั้งหมดออกมา
ทำให้ท่านพ่อของอี้อันขับไล่คนตระกูลเกาออกจากหมู่บ้านไป เรือนหลังนั้นก็เป็นบุตรชายของหญิงที่ตายไปแล้วอยู่มาจนทุกวันนี้
“อันเออร์ เจ้าชอบผืนไหน” หงซื่อเอ่ยถามบุตรี เมื่อเห็นว่านางดูผ้าสีแดงที่มีทั้งหมดในร้านแล้ว
“ท่านแม่ข้ายังมิถูกใจ ไปร้านอื่นได้หรือไม่” เสี่ยวเอ้อร้านขายผ้ามองอี้อันอย่างดูแคลน แม้แต่ผ้าที่แพงที่สุดในร้านนางยังไม่ถูกใจ นางอยากจะได้ผ้าเช่นไรเล่า
หญิงสาวชาวบ้านเช่นนี้ยังมีสิทธิ์เลือกหาผ้าที่ดีกว่าที่ร้านของเขาอีกหรือ
หงซื่อใบหน้าแข็งค้างไป นางรู้ว่าบุตรีคนโตของนางช่างเลือก แต่ไม่คิดว่าผ้าที่มีราคาแพงที่สุดก็ยังไม่เข้าตาของนาง
“เช่นนั้นก็ไปเถิด” นางไม่กล้าขัดใจ เพราะกลัวว่าอี้อันจะโวยวายออกมา
เมื่อออกมาจากร้านผ้าแล้ว อี้อันก็เข้าไปกอดแขนมารดาเช่นที่นางเคยทำมาตลอด เรื่องนี้ทำให้หงซื่อถึงกับประหลาดใจ เพราะคนที่ทำเช่นนี้กับนางเป็นซูฉีมาตลอดมิใช่อี้อัน
“ท่านแม่ กลับเรือนดีหรือไม่ ข้าไม่อยากดูผ้าแล้วเจ้าค่ะ”
“ได้อย่างไร อีกเพียงสองเดือนเจ้าก็จะออกเรือน เมื่อถึงยามนั้นจะหาผ้าทันได้อย่างไร” หงซื่อตำหนิบุตรีเสียงแข็ง
“กลับก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกท่านพ่อท่านแม่”
หงซื่อเมื่อเห็นแววตาของอี้อันนางก็หยุดมองใบหน้าของบุตรีนิ่งเงียบ เหมือนนางจะเห็นใบหน้าของซูฉีทับซ้อนอยู่บนหน้าของอี้อัน
“ได้ ได้ เช่นนั้นก็กลับเถิด” นางเอ่ยตอบเสียงสั่น เพราะยังมึนงงไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตาของนางเห็น
นางเลี้ยงดูทั้งสองมาด้วยมือของนางเอง เหตุใดนางจะจำไม่ได้เล่าว่าบุตรีทั้งสองของนางเป็นเช่นไร
เรื่องนี้ทำให้หงซื่อนั่งครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ตลอดทางที่นั่งเกวียนกลับหมู่บ้าน
อี้อันไม่ได้บอกกล่าวเรื่องที่นางจะพูดให้มารดารู้ในทันที นางรอให้บิดากลับจากที่นาเสียก่อนจึงจะเอ่ยเรื่องให้พวกเขารู้
เมื่อต้าหวงกลับมาจากที่นาก็เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว อี้อันจึงเริ่มคิดที่จะพูดทันที เมื่อทุกคนกินอาหารเสร็จ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกมีเรื่องจะบอกกล่าวท่านทั้งสองเจ้าค่ะ” อี้อันสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา
หงซื่อกับต้าหวง ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าบุตรีตรงหน้าของพวกเขา ภายในวิญญาณที่แท้จริงของนางเป็นซูฉีมิใช่อี้อัน
“เจ้าพูดเรื่องอันใดออกมา หรือเจ้าเสียใจจนเสียสติไปแล้ว” ต้าหวงตำหนิบุตรีอย่างไม่พอใจ
มิใช่ว่าสองสามีภรรยาจะไม่สงสัยถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปของบุตรีทั้งสอง แต่เพราะเรื่องที่อี้อันนางเล่าออกมา มันดูจะเหลือเชื่อเกินไป
“ลูกก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร และไม่รู้จะบอกท่านพ่อ ท่านแม่เช่นไรดี” อี้อันเม้มปากแน่น มือทั้งสองข้างของนางบีบเข้าหากันอย่างตื่นกลัว
“เจ้ากำลังบอกแม่ว่า ตอนที่เจ้าไม่ได้สติ วิญญาณของเจ้าหลุดไปภพอื่นอย่างนั้นหรือ” หงซื่อเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย
“เจ้าค่ะ ในตอนแรกลูกคิดว่าจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว ที่นั่นลูกสามารถเล่าเรียนได้เท่าที่ลูกต้องการ ทั้งสตรีและบุรุษต่างคบหาเป็นสหายกันได้ เมื่อแต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันไม่มีความสุขก็แค่แยกทางกันไป มิใช่เรื่องร้ายแรงเช่นที่นี่” อี้อันอดที่จะคิดถึง คุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงดูนางมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้ทั้งสองมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร จะเสียใจมากเพียงใด เมื่อรู้ว่านางเสียชีวิตไปแล้ว
“เรื่องนี้มีผู้ใดรู้อีกหรือไม่” ต้าหวงเอ่ยถามอย่างกังวล
“เต๋อชางเจ้าค่ะ ท่านพี่นางบอกเต๋อชางเพื่อให้เขายอมแต่งข้าเข้าเรือนจะได้ไม่ไปก่อกวนนางที่จวนตระกูลชุย”
ต้าหวงกุมขมับอย่างปวดหัว หากตระกูลชุยรู้เรื่องนี้ มิจับซูฉีนางเผาทั้งเป็นหรอกรึ
“เช่นนั้น ท่านพ่อหากพบนาง ท่านก็เตือนนางเสียหน่อยเถิดเจ้าคะ” อี้อันบอกกล่าวบิดา เพื่อให้เขาคลายความกังวลลง
“ได้ ไว้พรุ่งนี้ซูฉีนางกลับบ้านเดิม พ่อจะพูดเรื่องนี้กับนาง”
อี้อันลืมไปเลย เมื่อซูฉีนางแต่งออกไปสามวันจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมของนาง เพียงชั่วครู่นางก็สลัดเรื่องของซูฉีทิ้งแล้วคิดจะนำผ้าที่อยู่ในมิติออกมาให้มารดาได้ดู
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีสิ่งของจะให้พวกท่านดู ท่านอย่าได้ตกใจเล่าเจ้าค่ะ”