ณ คฤหาสน์หรูในอิตาลี ยามค่ำคืน
บรรยากาศยามค่ำในเขตชนบทของอิตาลีสงบงัน มีเพียงเสียงนกตีปีกไกล ๆ และลมพัดใบไม้ไหวเบา ๆ ใต้แสงไฟระเบียงสีส้มอ่อน มาร์คัส เบลเลโซ่ นั่งอยู่ที่ระเบียง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
มือหนึ่งหมุนแก้วไวน์แดงช้า ๆ อีกข้างถือมือถือแนบหู สายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ แต่เจ้าตัวรู้ดีว่าใครโทรมา
“ว่าไง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยนิ่งสนิท จนคนฟังแทบไม่แน่ใจว่าเขากำลังโกรธหรือไม่รู้สึกอะไรเลย
เสียงจากปลายสายเร่งรีบบ่งบอกถึงความร้อนรน
“คุณมาร์คัส… ผม..ผมคือเคน มือขวาของคุณเวย์เดนครับ…”
มาร์คัสยังไม่พูดอะไร รอให้อีกฝ่ายอธิบายจนจบ เสียงปลายสายนั้นสั่นสะท้านจนเก็บไม่มิด
“เจ้านาย… เขาถูกลอบยิงครับ อาการสาหัสมาก ตอนนี้ยังไม่รู้จะฟื้นไหม… เขา… เขาปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งไว้…”
มือของมาร์คัสที่จับแก้วไวน์ชะงักกลางอากาศ ดวงตาคมกริบหรี่ลงช้า ๆ น้ำเสียงยังเรียบเฉย แต่เริ่มเย็นชา
“แล้ว?”
ปลายสายอึกอักไปเล็กน้อย ก่อนพูดต่ออย่างรีบเร่ง
“ศัตรูเริ่มเคลื่อนไหวครับ พวกมันจ้องจะฮุบคาสิโน กับโครงการอสังหาฯ ทั้งหมดของเจ้านาย… เราพยายามปิดข่าวไว้ แต่คงปิดได้ไม่นาน”
“คุณหญิงย่ารู้เรื่องแล้ว… และคุณท่านอยากให้คุณกลับมา รับตำแหน่งแทนพี่ชายสักพัก จนกว่าเขาจะฟื้น…”
มาร์คัสพิงหลังกับพนักเก้าอี้ สายตาจ้องนิ่งไปยังท้องฟ้ายามค่ำที่ว่างเปล่า ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความรู้สึกบางอย่าง
“แล้วฉันจะได้อะไร?”
เสียงปลายสายเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยอย่างลังเล
“คุณหญิงย่าบอกว่า… ถ้าคุณยอมกลับมา เธอจะจัดการให้คุณได้เจอกับคุณแม่…”
เสียงเงียบกริบในทันที
มือที่เคยหมุนแก้วไวน์หยุดนิ่ง เปลือกตาของมาร์คัสหลุบลงเล็กน้อย หัวใจที่สงบเย็นมาตลอดหลายปี เหมือนโดนบางอย่างกระตุกเบา ๆ
“…แม่ยังมีชีวิตอยู่?” เขาถามเสียงแผ่วแต่หนักแน่น
“ครับ… แต่เธออยู่ในที่ที่เข้าถึงยากมาก ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พบ นอกจาก… คนที่ย่ารับรอง”
มาร์คัสหัวเราะในลำคอเบา ๆ มุมปากยกขึ้นจาง ๆ อย่างเย้ยหยัน
“ฮึ… เกมเก่า ๆ ของย่า แต่ก็ได้ผลทุกที”
เขานั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง วางแก้วไวน์ลงบนราวระเบียง แล้วทอดสายตามองดาวที่ส่องอยู่เบื้องบน
“…อีกสามวัน เจอกัน”
“ครับคุณมาร์คัส! ผมจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม!”
ติ้ด!
เสียงวางสายดังขึ้นเบา ๆ มาร์คัสยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที
สายตาที่เคยว่างเปล่า…ตอนนี้มีบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน ความเจ็บลึก ความแค้น และคำตอบของอดีตที่เขาเฝ้าตามหามาทั้งชีวิต
หลังจากวางสายชายหนุ่มก็มายังห้องทำงานส่วนตัว
แสงไฟสีขาวนวลจากโคมตั้งโต๊ะส่องลงบนแฟ้มข้อมูลจำนวนมากที่ถูกเปิดกางอยู่บนโต๊ะไม้สัก มาร์คัสนั่งพิงพนักเก้าอี้หนังสีดำ มือหนึ่งถือซิการ์ที่แทบไม่ได้สูบ อีกมือถือมือถือแนบหู
เสียงเรียกติดเพียงไม่นาน ก่อนจะมีเสียงตอบรับจากปลายสาย
“คุณมาร์คัสครับ?”
เสียงชายวัยกลางคนเรียบขรึมแต่เต็มไปด้วยความเคารพดังขึ้น ลูโค ลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมาร์คัสมาตั้งแต่อายุยังน้อย
“จองร้านสักให้ฉัน”
เสียงมาร์คัสทุ้มนิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดไม่มีช่องให้สงสัย
“คืนนี้เลยเหรอครับ?” ลูโคถามด้วยความแปลกใจ
“อืม…ที่อิตาลี…ร้านที่ดีที่สุด”
ลูโคลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เข้าใจทันที
“…จะให้สักลายเดียวกับคุณเวย์เดนใช่ไหมครับ?”
มาร์คัสไม่ตอบในทันที เขาหันไปมองรูปภาพเก่า ๆ ของเขากับพี่ชายที่แขวนไว้ตรงผนัง รูปถ่ายตอนอายุ 5 ขวบ เขาสองคนเคยเหมือนกันแทบทุกอย่าง ยกเว้นเส้นทางชีวิต
“ฉันต้องเป็นเขา…ทุกกระเบียดนิ้ว”
เสียงทุ้มหยาบครางเบา ๆ แฝงความขมขื่นไว้จาง ๆ ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าอกข้างซ้ายที่ยังว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้น
“บอกช่างให้ทำเหมือนต้นฉบับทุกจุด ไม่ผิดแม้แต่มิลเดียว”
“ครับคุณมาร์คัส ผมจะเคลียร์คิวพิเศษให้ทันที”
เสียงปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามเบา ๆ
“…แน่ใจนะครับ ว่าคุณจะไหว”
คำถามนั้นทำให้มาร์คัสหลับตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจลึก
“ฉันไม่เคยไหว…แต่ฉันไม่มีสิทธิ์เลือก”
เขาวางสายทันทีโดยไม่รอคำตอบ
ณ ร้านสักชื่อดังกลางเมืองฟลอเรนซ์ เวลาตีหนึ่งครึ่ง
เสียงเข็มสักเดินดังสนั่นปนเสียงหายใจหนัก ๆ มาร์คัสถอดเสื้อเปลือยท่อนบน นั่งนิ่งขณะที่ช่างเริ่มลงเข็มลายสัก ‘เงือกมีปีก’ แบบเดียวกับเวย์เดนบนหน้าอกซ้าย
ดวงตาคมกริบจ้องตรงไปที่กระจกฝั่งตรงข้าม มองภาพสะท้อนของตัวเองที่กำลังแปดเปื้อนเลือดบาง ๆ และหมึกสีดำ
“นายจะเป็นเขาได้จริง ๆ ไหมวะ มาร์คัส…”
เขาพึมพำกับตัวเองในกระจก ก่อนจะหลุบตาลงอย่างหนักแน่น
“…จนกว่าพี่จะฟื้น ฉันจะเป็นนายเอง”
หลังจากที่สักเสร็จเรียบร้อยเป็นเวลาเกือบเช้า ชายหนุ่มแทบไม่ได้พักเลย ก็ตรงมายังคลินิกส่วนตัวกลางเมืองฟลอเรนซ์ เวลา 9 โมงตรง
แสงแดดยามเช้าทาบทอลงบนโต๊ะไม้ในห้องจิตแพทย์ประจำตัวของมาร์คัส กลิ่นสะอาดของสมุนไพรอ่อน ๆ กับเสียงคลื่นสมาธิเบา ๆ ดังอยู่ในห้อง
มาร์คัส เบลเลโซ่ นั่งอยู่ตรงโซฟาหนังสีเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบแต่พับแขนถึงข้อศอก ใบหน้านิ่งสนิท ดวงตาคมดูลึกลับเหมือนซ่อนอะไรไว้เสมอ
หมอโจวานนี ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลา สวมแว่นบาง ๆ ท่าทางสุขุมแต่ใจดีนั่งตรงข้าม พลางเปิดแฟ้มประวัติคนไข้เก่าอายุกว่ายี่สิบปี
“หายไปหลายเดือนเลยนะ มาร์คัส… เป็นยังไงบ้างช่วงที่ผ่านมา?”
มาร์คัสยิ้มมุมปากจาง ๆ แต่ดวงตายังเย็นชา
“อาการเบาลงมากแล้วครับหมอ… อย่างน้อยก็ไม่ฆ่าใครเวลาปวดหัว”
หมอโจวานนีไม่ขำ แต่พยักหน้าเข้าใจ
“ยังเจออาการเดิมอยู่ไหม? มึนหัว ปวดขมับ… แล้วเวลานั้นคุณยังควบคุมตัวเองได้ไหม?”
มาร์คัสถอนหายใจเล็กน้อย
“ถ้ามีคนอยู่ใกล้ ๆ… ผมไม่มั่นใจ”
หมอพยักหน้าช้า ๆ แล้วจดบันทึกบางอย่างลงในแฟ้ม
“อย่าลืมว่า…โรคของคุณ Dissociative Identity Disorder (โรคสองบุคลิก) มันไม่ได้หายขาด แค่สงบลงได้ ถ้ามีแรงกระตุ้น เช่น ความเครียดจัดหรือความทรงจำบางอย่างย้อนกลับมา… ตัวคุณอีกคนอาจโผล่ขึ้นมา”
มาร์คัสนิ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนต้องกลืนความจริงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จากนั้นคุณหมอก็วางซองยาลงบนโต๊ะ แล้วพูดต่อ “นี่เป็นยาระงับอาการปวดหัว ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงรุนแรง อย่ากินเกินขนาด และอย่าใช้เวลาขับรถหรือมีอาวุธอยู่ใกล้มือ”
มาร์คัสหยิบซองยา พลิกดูฉลากเงียบ ๆ
“จะกลับไปนานแค่ไหน?”
มาร์คัสเสียงเรียบ “ไม่รู้ครับ…จนกว่าทุกอย่างจะจบ”
หมอพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอะไรเกิดขึ้น…อย่าลืมติดต่อผม อย่าเงียบหายเหมือนที่ผ่านมา”
มาร์คัสสบตาหมอ “ผมเคยทำร้ายใครตอนกำเริบบ้างไหม?”
หมอนิ่งไปครู่ ก่อนจะพูดช้า ๆ
“เคย… แต่เป็นตอนยังเด็ก และคุณจำไม่ได้ แม่ของคุณถึงได้มาหาผมไง”
มาร์คัสหลุบตาลง มือกำแน่นรอบขวดยา ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
หมอจึงพูดต่อ “อย่ากลัวสิ่งที่คุณเป็น มาร์คัส… แต่ระวังมันให้มากพอ”
15 นาทีผ่านไป
มาร์คัสเดินออกมาท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ หยุดยืนมองขวดยาในมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บลงกระเป๋าเสื้อ สูดลมหายใจลึก
“…ถ้าฉันกลายเป็นคนที่สองอีกครั้ง… ใครจะหยุดฉันได้ล่ะ”
พูดจบ เขาก็ก้าวขึ้นรถสปอร์ตสีดำ ก่อนจะขับออกไปจากลานจอดอย่างรวดเร็ว