“ฮึก...ฮือ...พี่ใหญ่จะตายหรือไม่ขอรับ” เสียงเด็กน้อยร้องไห้เสียงสั่นพูดขึ้นมา หรันเยี่ยได้แต่ขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญ
“ฮึก...ฮืออออ ตะ ตาย ไม่ได้นะ ข้าจะไปตามหมอมารักษาพี่ใหญ่” เสียงเด็กน้อยอีกคนร้องขึ้น
“ไม่ได้!!! นังตัวไร้ประโยชน์ หากมันจะตายก็ปล่อยมัน ข้าไม่ยอมเสียเงินรักษามันแน่” เสียงสตรีมีอายุเอ่ยตวาดเด็กที่กำลังร้องไห้ทั้งสองคนอยู่
หรันเยี่ยที่ยังมิอาจลืมตาขึ้นมาได้ ได้แต่สงสัยว่าพวกเขาคือใครกัน เธอที่เป็นถึงลูกสาวมหาเศรษฐีจะไม่มีเงินรักษาได้อย่างไง
“ท่านย่า ได้โปรดช่วยพี่ใหญ่ของข้าด้วยขอรับ หากท่านพ่อท่านแม่กลับมา ข้าจะขอให้พวกเขาคืนเงินให้ท่าน” เด็กน้อยยังคงอ้อนวอนสตรีสูงอายุไม่หยุด
“เพ้ย พ่อแม่เจ้ารึ จะมีเงินมาคืนข้าได้ ปานนี้ยังมิเดินทางกลับ มิใช่ว่าจะตายกันไปแล้วหรอกรึ”
“ยายเฒ่า!!! หยุดพูดประเดี๋ยวนี้ อาซงกับอาเหมย เพียงแค่เดินทางกลับไปที่หมู่บ้านฉงฉาน ปากเจ้ามิเป็นมงคลเสียเลย” เสียงบุรุษจากที่ไหนอีก หรันเยี่ยนางได้แต่มึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“โอวโยว ผู้นำหมู่บ้านท่านช่างมาเร็วเสียจริง ผู้ใดไปแจ้งท่านเล่า” นางเย้ยหยันที่ถูกผู้นำหมู่บ้านเข้ามายุ่งวุ่นวายในตอนนี้
“จะผู้ใดไปแจ้งก็ช่าง แต่หากเจ้าปล่อยให้หลานสาวของเจ้าตายในเรือน ข้าจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งทางการ” เขาเอ่ยข่มขู่นางทันที
“เหอะ ข้ามิได้ทำอันใดนางเสียหน่อย” นางเอ่ยขึ้นอย่างร้อนตัว
ถึงนางจะไม่ได้ทำให้จางหรันเยี่ยต้องเป็นเช่นนี้ แต่ทั้งหมดก็เกิดจากตัวนาง ด้วยนางสั่งให้จางหรันเยี่ยขึ้นเขาตอนที่ฟ้ายังมืดอยู่ จนทำให้นางพลาดตกเขา กว่าที่น้องชายฝาแฝดทั้งสองจะตามไปพบนางก็แน่นิ่งไปเสียแล้ว
สองฝาแฝดลากพี่สาวของตนกลับมาที่เรือนอย่างทุลักทุเล พอมาถึงต่างก็ได้แต่ร่ำไห้อ้อนวอนนางถิงซื่อผู้เป็นท่านย่าขอร้องให้นางช่วยตามหมอมารักษาพี่สาว
นานนับสองชั่วยามนางถิงซื่อก็ยังมิใจอ่อน ลู่เฉิงแฝดผู้น้องที่แอบออกจากเรือนไปตอนที่นางถิงซื่อเผลอ ได้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้นำหมู่บ้านให้มาช่วยพี่สาวของตน
ผู้นำหมู่บ้านมาพร้อมกับท่านหมอเท้าเปล่า เพื่อตรวจอาการของจางหรันเยี่ยทันที นางถิงซื่อที่ถูกข่มขู่เรื่องจะนำไปแจ้งทางการก็ไม่อาจจะขัดขวางพวกเขาไว้ได้
“ท่านหมอ พี่สาวข้าจะตายหรือไม่ขอรับ”
“ไม่ตาย แต่นางบาดเจ็บไม่น้อย ทางที่ดีพวกเจ้าควรพานางไปหาหมอในเมืองเสียดีกว่า”
“ไม่ได้ ข้าไม่มีเงิน” นางถิงซื่อเอ่ยแย้งขึ้นมาในทันที
“ท่านหมอ ท่านจัดยารักษาอาการให้นางก่อนได้หรือไม่” ผู้นำหมู่บ้านมองนางถิงซื่ออย่างรังเกียจ ก่อนจะเอ่ยถามท่านหมอ
“เช่นนั้นก็ตามขอกลับไปที่เรือนก็แล้วกัน แต่ข้าไม่รับปากว่านางจะหายหรือไม่ ดีไม่ดีนางอาจจะกลายเป็นผู้พิการไปเสียแล้วก็ได้ หากไม่พานางไปรักษาในเมือง”
“เพ้ย ยามปกติก็เป็นตัวไร้ประโยชน์อยู่แล้ว มายามนี้ยังจะกลายเป็นคนพิการไปอีกรึ ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าเลี้ยงนางไว้ไม่ได้แล้ว” นางถิงซื่อโวยวายออกมาเสียงดัง
ชาวบ้านที่มาร่วมดูเหตุการณ์กับหัวหน้าหมู่บ้านก็ส่ายหัวออกมาอย่างจนใจ เหตุใดนางถิงซื่อถึงได้รังเกียจจางซ่งกับบุตรของพวกเขานัก
แต่ก่อนที่ผู้นำหมู่บ้านจะเอ่ยต่อว่านางถิงซื่อ เสียงโวยวายที่หน้าเรือนก็ร้องขึ้นมาเสียก่อน เป็นจางซ่งและนางหู่เหมย ที่กลับมาถึงที่เรือน หากพวกเขากลับมาเพียงลำพังก็ดูจะไม่แปลกสักเท่าใด แต่จางซ่งถูกคนหามกลับมาด้วยสภาพที่มีผ้าพันอยู่ที่หัวและขาอย่างน่าหวาดกลัว
“ตายแล้ว สวรรค์ตระกูลข้าโชคร้ายเสียจริง เพราะครอบครัวของพวกเจ้าแท้เชี่ยว นี่เป็นอันใดกลับมาอีกเล่า” นางถิงซื่อตบที่หน้าอกของตนเองแล้วกล่าวโทษฟ้าดินออกมา
“ท่านแม่ ข้ากับพี่ซ่งถูกโจรป่าเข้าปล้นชิงทรัพย์สิน ระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้านเจ้าค่ะ” นางหู่เหมยบอกกล่าวนางถิงซื่ออย่างกล้าๆ กลัว
ทั้งสองจำต้องเดินทางกลับไปที่บ้านเดิมของนางหู่เหมยเพื่อขอร้องให้บิดามารดาช่วยเหลือตน ปีนี้ข้าวที่เพาะปลูกได้ผลผลิตไม่ได้ นางถิงซื่อก็ดุด่าพวกเขาอยู่ทุกวัน เงินที่จะมาซื้อข้าวเพื่อประทังชีวิตนางถิงซื่อก็มิยอมให้
โดยให้พวกเขาแยกครัวไปทำกินเอง ตั้งแต่เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวในนาแล้ว ผ่านมาได้เพียงสิบวัน เงินที่มีติดตัวเพียงไม่กี่สิบอิแปะก็หมดลง นางถิงซื่อก็อ้างเพียงแต่ต้องการเก็บเงินไว้ให้บุตรชายคนเล็กเล่าเรียนและบุตรสาวของนางออกเรือน
นางจึงต้องชวนสามีบากหน้ากลับไปขอให้บิดามารดาช่วยเหลือ พอได้เงินมาสามตำลึงทั้งสองก็รีบเร่งเดินทางกลับหมู่บ้าน แต่เคราะห์ร้ายพบเจอโจรป่าเข้าเสียก่อน
จางซ่งที่มิยอมมอบเงินให้แต่โดยดีก็เลยได้ถูกพวกโจรป่าทำร้ายจนเจ็บหนัก ยังดีที่มีคนผ่านทางมาพบเขา จึงได้เข้าช่วยเหลือไม่ให้โจรป่าคร่าชีวิตทั้งสองไว้ได้ทัน
“เพ้ย ตัวซวย พวกเจ้าทั้งหมดเป็นตัวซวย ข้าเคยบอกตาเฒ่าแล้ว ว่าอย่าเก็บเจ้ากลับมา” นางถิงซื่อปิดปากไว้แน่น เหมือนนางเพิ่งจะรู้ตัวว่าเอ่ยเรื่องที่ไม่สมควรเอ่ยออกมาเสียแล้ว
“เจ้าว่าเช่นไรนางถิงซื่อ เจ้าเก็บผู้ใดกลับมา” ผู้นำหมู่บ้านเดินเข้ามาหาทางถิงซื่อ พร้อมเอ่ยถามนางอย่างคาดคั้น
“ไม่ ไม่ ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าราวกับไก่จิก
เรื่องนี้จะพูดออกมาไม่ได้เด็ดขาด เพราะรับทั้งเงินและรับปากกับคนที่พาจางซ่งมาไว้แล้ว วันที่ตาเฒ่าพาสตรีอุ้มเด็กกลับมาที่เรือน วันนี้นางเพิ่งจะสูญเสียบุตรชายคนโตที่คลอดออกมาก่อนกำหนดไป
สตรีผู้นั้นมิได้พูดอันใดมาก เพียงแค่ขอร้องให้รับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ ทั้งยังมอบเงินให้พวกนางมากถึงห้าร้อยตำลึงเงิน เงินที่ได้มาก็ล้วนแต่นำมาสร้างเรือนใหม่
“หากพวกท่านพูดเรื่องเด็กผู้นี้ออกไป ข้ามิอาจรับประกันว่าชีวิตพวกท่านจะปลอดภัย” นางทิ้งคำพูดเช่นนี้ไว้ ก่อนจะออกจากหมู่บ้านด้วยความเร่งรีบ
คนในหมู่บ้านจึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน แม้จะสงสัยเรื่องที่สองสามีภรรยาสร้างเรือนใหม่ จางฉงก็บอกกล่าวเพียงว่าเขาโชคดีพบสมุนไพรบนเขาจึงมีเงินมาสร้างเรือน
ผ่านมาถึงยี่สิบแปดปีก็ยังไม่มีข่าวว่าสตรีนางนั้นจะกลับมารับจางซ่งเพื่อกลับไปเลี้ยงดู นางถิงซื่อก็เลี้ยงดูเขามาโดยมิได้ดูแลมากนัก มีเพียงจางฉงที่เลี้ยงดูจางซ่งราวกับเป็นบุตรชายของเขาอีกคน
เพียงแต่อายุของจางฉงสั้นไปเสียหน่อย เขาเสียชีวิตหลังจากที่นางหู่เหมยแต่งเข้าเรือนมาได้เพียงปีเดียวเท่านั้น
เป็นอีกเรื่องที่นางถิงซื่อนึกรังเกียจสะใภ้คนโตของนาง เพราะคิดว่าเป็นตัวซวยที่ทำให้สามีของนางต้องตายลง แล้วจางซ่งมิใช่บุตรของนาง นางจึงได้ใช้งานครอบครัวของจางซ่งอย่างหนักราวกับทาสที่อยู่ในเรือน
“หึ เมื่อครู่เจ้าพูดเอง อาซ่งมิใช่บุตรของเจ้าใช่หรือไม่” ผู้นำหมู่บ้านยังไม่ยอมถอยจากเรื่องนี้