21.30 p.m.
หลังจากที่ฉันยืนโพสต์ท่าคู่กับรถยนต์ที่เอามาแสดงเกือบสามชั่วโมงเสร็จ ฉันก็เดินเลี่ยงออกมาเพื่อจะเดินไปทางห้องน้ำที่อยู่ใกล้กับจุดที่ยืนที่สุดก่อน เสร็จแล้วก็เดินไปทางห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ...
แต่ในระหว่างทางที่ฉันเดินอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามหลังยังไงไม่รู้ก็เลยรีบเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วกว่าเดิม ถึงแม้ทางตรงนี้จะมีคนพลุกพล่านแต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะคืนนี้มีแต่คนแปลกหน้าเต็มไปหมด
ฉันเริ่มรู้สึกกลัวก็เลยรีบเร่งฝีเท้าของตัวเองขึ้นไปอีกจนกระทั่ง...
หมับ!
มีมือของใครบางคนมาแตะไหล่ของฉัน
“จะรีบเดินไปไหน พี่เองครับ”
กึก!
ฉันหยุดเท้าของตัวเองทันทีที่น้ำเสียงทุ้มลึกพูดอยู่ข้างหลังของฉันพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตแบบชายแท้ผสมผสานความโรแมนติกโชยมาแตะจมูกของฉัน ซึ่งฉันจำกลิ่นน้ำหอมชนิดนี้ได้ แถมเมื่อกี้ตอนฉันกำลังทำงานอยู่เจ้าของน้ำหอมกลิ่นนี้เขาก็ยืนดูอยู่สักพักใหญ่ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะหายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่
ใช่แล้วละ เขาคือพี่ครามคนที่ฉันกอดเขาในผับเมื่อคืนไง
ฉันค่อยๆ หมุนตัวหันไปหาคนข้างหลังเพื่อดูว่าใช่พี่ครามอย่างที่คิดไว้รึเปล่า และทันทีที่ฉันหันไปเจอหน้าเขา เขาก็ล้วงกระเป๋ากางเกงพร้อมกับฉีกยิ้มให้ฉันอย่างหล่อๆ ทันที
บ้าจริงรอยยิ้มเขาละมุนจัง
เมื่อคืนไม่ทันได้ดูว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง เพราะโดนพี่ดินลากไปก่อน พอมาเจอวันนี้ในระยะใกล้แบบนี้ก็คือหล่อมาก หล่อแบบตะโกนเลยก็ได้มั้ง หล่อจนใจสั่นอะคิดดู คือเขาเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลามาก มากซะจนฉันคิดว่าเขาคือคนจริง ๆ หรือเปล่า
หน้าเรียวรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ตาเรียบคมกริบ ริมฝีปากบางเฉียบแบบผู้ชายสุขภาพดีดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมาก แล้วไหนจะผิวพรรณขาวเนียนของเขานั้นอีก เขาช่างเป็นผู้ชายที่ดูหล่อเหลาและสุภาพจนฉันรู้สึกได้และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากรอยยิ้มนั้นของเขาด้วย ถึงแม้ว่าบุคลิกบางอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่าจะยังมีความห้าวซ้อนอยู่ก็ตาม แต่รวมๆแล้วก็ถือว่าโอเค
มันเลยทำให้ฉันถึงกับหลุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัวแถมยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียอาการจนเก็บอาการเขินไว้ไม่อยู่ ก็แน่ละ เขาเล่นจ้องหน้าฉันไม่วางตาซะขนาดนั้น
รู้สึกเหมือนร่างกายจะล่องลอยเพราะรอยยิ้มของเขาเลยอะ
“เจนนึกว่าพี่กลับไปแล้วซะอีก” ฉันบอกเขาแอบออกอาการงอนเขานิดหน่อยตอนหันไปไม่เจอเขาอยู่ที่เดิม เขาจึงค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาเบาๆ อีกครั้งพร้อมกับหยิบบางอย่างออกจากผมของฉัน
“พี่แค่เดินไปหาเพื่อนเองครับ งอนที่พี่หายไปเหรอหื้ม?” บ้าจริง น้ำเสียงและท่าทางของเขาทำไมมันอ่อนโยนแบบนี้น่ะ
นี่ชาติที่แล้วเขาเกิดมาเป็นไมโครเวฟรึไงกัน อบอุ่นเป็นบ้า! แต่เดี๋ยวนะนี่ฉันเป็นอะไรก่อน ทำไมต้องมางุ้งงิ้งกับเขาด้วยเนี่ย
“เพื่อนพี่มาด้วยหรอคะ” แต่พอได้สติกลับมาฉันก็แสร้งถามเพื่อกลบเกลื่อนความเขินที่เผลอแสดงออกทางสีหน้าก่อนหน้านี้ไป
เพราะถ้าเอาจริง ๆ ฉันไม่ควรแสดงอาการแบบนั้นต่อหน้าเขา มันดูเป็นผู้หญิงไม่เรียบร้อยเอาซะเลย แถมฉันกับเขาเราก็เพิ่งคุยกันเอง ฉันเลยได้แต่บอกกับตัวเองว่า อย่าหลงใหลกับความหล่อของเขาเจน
“ครับ แต่ตอนนี้กลับไปหมดแล้ว พี่เลยเดินตามเรามา เห็นเดินอยู่คนเดียว กลัวโดนฉุด”
“…”
“ยืนนิ่งแบบนี้พี่ไปไม่ถูกนะเจน ช่วยพูดอะไรกับพี่หน่อย”
ที่นิ่งไม่ใช่อะไรหรอกฉันกำลังอึ้งและทำตัวไม่ถูกต่างหาก คือบางครั้งมันก็เกิดขึ้นไวจนฉันตั้งตัวไม่ทันไง แล้วที่บอกว่ากลัวฉันโดนฉุดมันมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
“เอ๋อ…คือ...พี่จะกลับหรือยังอะ”
ฉันอ้ำอึ้งพูดไม่ถูกสุดท้ายฉันเลยถามว่าพี่เขาจะกลับหรือยังแทน ก็ฉันไม่รู้จะพูดอะไรแล้วอะ มันเป็นอารมณ์คล้ายๆ เหมือนกำลังโดนจีบแต่ก็ไม่ได้ถึงกับว่าจีบจนเห็นว่าจีบจริง ๆ ซะทีเดียวไง
ฉันเลยมีอาการเหมือนจะเดทแอร์อย่างตอนนี้ไงละ ไปไม่ถูกกลับก็ไม่ได้
“ยังครับ พี่กะว่าจะรอกลับพร้อมหนู”
ฟึบ! ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคนตัวสูงทันทีที่เขาพูดจบ ก่อนจะถามว่า
“...นี่พี่กำลังชวนหนูออกเดตอยู่เหรอ?”
ที่ฉันถามพี่ครามแบบนั้นเพราะฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าพี่เขากำลังพยายามจะทำความรู้จักกับฉัน แถมสีหน้าแววตาของเขาตอนนี้มันก็คิดอย่างอื่นไม่ได้ด้วย
ฉันไม่ได้มั่นใจในตัวเองนะ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่ครามตอนนี้มันบอกแบบนั้นจริง ๆ
“มันเร็วไปเหรอ?” เขาเลิกคิ้วถามฉัน
“เอ๋อ...ค่ะ” เห็นไหมว่าฉันคิดถูก
“พี่ไม่อยากเสียเวลาอะ อยากรู้จักเรามากกว่านี้” ฉันไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มบนใบหน้าของพี่ครามตอนนี้นั้นมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่าถึงต้องการอยากรู้จักฉันเร็วขนาดนี้
อีกอย่างเราคุยยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ถ้าฉันออกเดทกับเขาไปแล้ว เขาจะไม่คิดว่าฉันใจง่ายไปหน่อยเหรอ
“ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะทำอะไรหนูหรือคิดไม่ดีกับหนู เพราะพี่ไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ สบายใจได้”
พี่ครามคงจะเห็นสีหน้าและท่าทางที่กระอักกระอ่วนของฉันใช่ไหม เขาถึงได้รีบอธิบายแบบนั้น
คือฉันก็ไม่ปฏิเสธนะ เพราะมันเร็วไปจริง ๆ แต่ถ้าเขามั่นใจแบบนั้นแล้ว ฉันจะยอมออกเดทกับคนที่รู้จักกันไม่ถึงสองวันก็ได้
“งั้นเดี๋ยวหนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พี่ครามรอแถวๆ นี้ก่อนแล้วกันนะคะ แป๊บเดียว เดี๋ยวหนูมา”
“ครับ”
ฉันบอกกับพี่ครามเสร็จก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวทันที โดยปล่อยให้พี่ครามเขายืนรอแถวนั้นไปก่อน
ตึก ตึก ตึก
ฉันเดินช้าๆ กับรองเท้าบูตสนสูงห้านิ้วเข้าไปในห้องแต่งตัวก่อนจะเดินตรงไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ที่ฉันนั่งแต่งหน้าก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ยกมือถอดพวกเครื่องประดับต่างๆ ที่ใส่ไว้อย่างไม่รีบ โดยไม่ได้หันไปสนใจสิ่งรอบข้างอื่น ๆ ในห้องนี้...
เคร้ง!!
เสียงของบางอย่างตกกระทบพื้นเสียงดังจนฉันสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ
กึก!
“หึ กล้าดีนี่”
ฉันชะงักมือทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มเย็นชาของคนที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ใช่ น้ำเสียงติดเย็นยะเยือกแบบนั้นมีอยู่แค่คนเดียวในชีวิตฉัน ก็คือ ‘พี่ดิน’
ขวับ!
ฉันหันขวับไปทางต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อกี้ ก่อนจะเห็นว่าเจ้าของน้ำเสียงเย็นชานั่งทำหน้านิ่งไม่สบอารมณ์อยู่บนโซฟาสีแดงมุมหนึ่งของห้องแต่งตัวอยู่แล้ว
ถึงว่าตอนฉันเข้ามาเมื่อกี้ถึงได้รู้สึกหนาวๆ เย็นๆ แปลกๆ มีสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างเขาแอบนั่งหลบมุมนี่เอง แล้วนี่เขาเข้ามาในห้องนี่ได้ยังไงแล้วเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“พี่ดิน พี่เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง” ฉันถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง ห้องนี้มันเป็นห้องแต่งตัวของพริตตี้ เขาไม่ควรเข้ามาในห้องนี้
“เข้ามาได้ยังไงไม่ใช่ประเด็น แต่มาเห็นเธอยืนโพสต์ท่าให้ไอ้พวกเวรข้างนอกมันถ่ายรูปนั้นต่างหากคือประเด็นที่ฉันต้องมา”
เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองสีหน้าดุ แววตาวาวโรจน์อย่างโกรธเคืองเหมือนฉันไปฆ่าคนในครอบครัวเขามา
ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเดินมาประชิดตัวฉันที่ยืนติดกับขอบโต๊ะแต่งหน้าอย่างอุกอาจ พร้อมกับดึงแขนฉันไปจับไว้จนตัวฉันเสียหลักถลาไปหาเขา
ตุบ!
“อ๊ะ!” อีกแล้ว จับแขนฉันแล้วบีบแรงแบบนี้อีกแล้ว เขาจะรู้รึเปล่าว่าฉันเจ็บ มือกับแรงตัวเองอะหัดดูบ้างรึเปล่าว่ากำลังจะทำให้กระดูกของฉันหักอยู่แล้ว
“เจ็บ” ฉันเม้มปากเข้าหากันเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ต้นแขนข้างขวาที่เขากำลังบีบอยู่ โดยมีสายตาของเขาที่จ้องฉันอยู่
“เจ็บก็หัดจำไว้ด้วย ว่าฉันไม่ชอบให้เธอแต่งตัวล่อแหลมแบบนี้เจน” เขาผ่อนแรงลงไปจากเดิมแต่ก็ยังจับแขนฉันไว้ไม่ปล่อย
“แล้วพี่จะมายุ่งอะไรกับตัวฉัน”
ฉันกระชากเสียงพูดกับเขาออกไปอย่างโมโห คือมันร่างกายของฉันไง ฉันจะแต่งตัวยังไงมันก็สิทธิ์ของฉัน อีกอย่างเขาไม่ใช่แฟนฉันแล้ว เขาควรตระหนักถึงสถานะของตัวเองตอนนี้สิ
“ปากดี!” เขาพูดพร้อมกับบีบแขนฉันขึ้นอีกเท่าตัวอีกครั้งจนฉันต้องเบ้หน้าเพราะทนความเจ็บที่แล่นเข้ามาตรงแขนไม่ไหว
“โอ๊ยพี่ดิน มันเจ็บน่ะ! พี่จะทำรุนแรงกับฉันไปถึงไหน” ฉันพูดอย่างที่รู้สึกออกไปอย่างโมโหที่เขาชอบใช้อารมณ์ทำร้ายร่างกายฉันแบบนี้
“แล้วเธอมาทำงานบ้านี้อีกทำไม ผู้จัดการเธอไม่บอกรึไงว่าฉันไม่ให้เธอมาทำ”
เขาปล่อยมือออกจากแขนฉัน ฉันจึงหันไปดูที่แขนตัวเองก็เห็นเป็นรอยนิ้วมือทั้งห้านิ้วของเขาประทับเป็นรอยแดงเถือกที่แขนฉันอย่างชัดเจน
หึ ทำตัวเป็นหมาบ้าตลอด ฉันอยากรู้จังว่ากับแฟนเขาเขาจะทำตัวถ่อยแบบนี้ไหมหรือทำเฉพาะกับฉัน
“บอก แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อนี่มันตัวฉัน ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน และพี่ก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องงานของฉันด้วย”
ฉันละสายตาจากแขนตัวเองขึ้นมาเถียงกับเขาอย่างดุดันพร้อมกับจ้องหน้าเขา คือมันใช่เรื่องไหมที่จะมาทำกับฉันแบบนี้ แล้วมันใช่เรื่องไหมที่ฉันต้องยอมแพ้ให้กับเขาแล้วยกเลิกงานตัวเองอะ
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ ฉันมีสิทธิ์เพราะฉันเป็นแฟ...”
“ไม่! พี่ไม่ใช่แฟนฉัน และฉันก็ไม่ใช่แฟนพี่แล้วด้วย แฟนพี่คือเด็กเมื่อคืนต่างหาก แล้วพี่ก็ควรไปยุ่งกับเขาไม่ใช่ฉัน”
“จะไม่ใช่แฟนได้ไงในเมื่อฉันไม่เคยบอกเลิกเธอ”
“ใช่ เราไม่เคยบอกเลิกกัน แต่ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเลิกกันแล้ว เพราะพี่มีแฟนใหม่แล้วพี่ดิน และฉันก็กำลังจะมีแฟนใหม่แล้วเหมือนกัน ต่างคนต่างมี ต่างคนต่างอยู่ไปดิ”
หมับ!!
“เธอว่าไงนะเจน”
พี่ดินกระชากหัวไหล่ทั้งสองข้างของฉันเขาหาตัวเองพร้อมกับถามเสียงลอดไรฟันอย่างโมโหที่ฉันพูดแบบนั้น แล้วมันไม่จริงตรงไหน เขาก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว แล้วถ้าฉันจะมีบ้างมันผิดกฎหมายข้อไหนไม่ทราบ!
“ตอนนี้ฉันมีคนที่กำลังคุยอยู่ และเรากำลังเดทกัน รู้แบบนี้พี่ก็ออกไปจากชีวิตฉันได้แล้ว” ฉันพูดออกไปด้วยสายตาแข็งกร้าวพยายามไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวดที่เขากำลังมอบให้ฉันอย่างตอนนี้
“แล้วสองปีที่แล้วเธอทิ้งฉันไปทำไมวะเจน” เขาถามพร้อมกับจ้องหน้าฉันนิ่ง
หึ ฉันเกลียดคำถามของเขาที่ถามเหมือนฉันเป็นคนเทเขาทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนก่อเรื่องก่อน
“ฉันไม่ได้ทิ้งพี่ พี่ต่างหากที่ทิ้งฉัน”
"ฉันทิ้งเธอตอนไหน"
“...”
“พูดดิ!! เงียบทำห่าอะไรละ” เขากระชากเสียงแข็งกร้าวต่อหน้าฉันจนฉันรู้สึกหน้าสั่นไปหมด
เหอะ! อารมณ์รุนแรงมาพร้อมกับปากหมาตลอดสินะ ไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังคงปากหมาเหมือนเดิม
“เมื่อสองปีที่แล้ววันครบรอบของเราพี่ไปอยู่ไหนมา...” ฉันเม้มปากแน่นเมื่อต้องนึกถึงความเจ็บปวดในตอนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือออกไป
“พี่หายไปไหน และพี่กำลังทำอะไร ฉันไม่อยากพูดและไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ฉันรู้มาตลอดว่าพี่เป็นคนยังไง และฉันก็รู้ว่าการที่พี่คบกับฉันแต่พี่ทำได้แค่จูบมันทรมานสำหรับพี่” พูดถึงตรงนี้น้ำตาของฉันที่ไม่รู้มาจากไหนมันก็ไหลออกมา
“ฉันเข้าใจ มันเป็นเพราะฉันยังไม่พร้อม และฉันก็ไม่ได้ห้ามไม่ได้ว่าถ้าพี่จะอยากมีความสุขในสิ่งที่ฉันให้ไม่ได้ แต่พี่จะไม่สนใจฉันและเหยียบย้ำความรู้สึกฉันในวันครบรอบของเราไม่ได้ปะ! และที่ฉันหายไปฉันแค่ต้องการสั่งสอนพี่ แต่ดูพี่ดิ พี่กลับมีแฟนใหม่หน้าตาเฉยอะพี่ดิน แล้วพี่จะมาทวงคำว่าแฟนจากฉันอีกทำไม”
"แล้วไง"
“แล้วไงเหรอพี่ดิน” เหอะ! เขามันบ้าที่สุดที่มาพูดคำว่าแล้วไงกับฉัน กับฉันที่กำลังรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมานึกถึงภาพที่เขาเอากับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าต่อตาในวันครอบรอบเป็นแฟนกันอะ
ฟุ้ว~ เขามันเย็นชาไร้ความสำนึกที่สุด!
“ก็ไม่แล้วไง สรุปง่ายๆ ตอนนี้เราเลิกกันอย่างเป็นทางการซึ่งๆ หน้าตรงนี้ และต่อไปนี้พี่ไม่มีสิทธิ์มายุ่งอะไรกับฉันทั้งนั้น แค่นี้แหละที่อยากจะบอก”
“...”
“...”
ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาแข็งกร้าวของเขาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะผละมือเขาออกจากไหล่ตัวเองอย่างเฉยชา จากนั้นจึงกระแทกไหล่เขาเดินออกไปจากห้องแต่งตัวทันที
“ฉันจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอกนะเจน และอย่าให้ฉันเห็นว่าเธออยู่กับคนอื่น ไม่งั้นฉันเอามันตาย ส่วนเธอจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเจน”
กึก!
ในขณะที่ฉันกำลังเดินมาถึงประตูห้อง เขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความดุดันเพื่อข่มขู่ฉันให้กลัว
ฉันจึงหยุดเดินแล้วหันไปพูดกับเขาอีกครั้งอย่างเย้ยหยัน
“หึ เอาสิ พี่ก็ได้แค่กักขังตัวฉันเท่านั้นแหละ เพราะพี่ไม่มีวันที่จะได้ใจฉันกลับไปอีกครั้งแน่ อยากเล่นสงครามประสาทกับฉันก็เอาสิ แต่เกรงว่าเด็กพี่อาจจะประสาทเสียซะก่อน ไม่สิ...อาจจะเป็นพี่ด้วยซ้ำที่ต้องประสาทเสีย”
พูดจบฉันก็กระชากประตูออกแล้วเดินออกไปทันทีโดยไม่สนใจพี่ดินที่กำลังยืนกำหมัดแน่นเพราะโดนฉันตอกกลับไปแบบนั้น