โง่งมแถมยังอ่อนแอ
กล้ามากที่จะเข้ามาล้วงความลับสำคัญของธุรกิจเขา
เหมันต์มองอาการที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จนยืนไม่อยู่ของอีกฝ่ายก็พยายามปั้นหน้าให้เป็นตื่นตระหนก เขารีบวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่ทรุดลงบนพื้น มือหนาเปิดกระเป๋าสะพายของเธอออกมาและหยิบยาพ่นในนั้นมาไว้ในมือ เขาส่งหลอดยาไปให้ฟางข้าว มือสั่นเทารับไว้และจัดการพ่นยาใส่ปากของตัวเองอย่างชำนาญ นัยน์ตาสีรัตติกาลมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนที่ฟางข้าวจะหลับตาแน่นและสูดยาเข้าไปเต็มปอด ไม่กี่วินาทีอาการของเธอก็ดีขึ้นเมื่อได้รับยา แต่ร่างเล็กก็ยังคงทรุดนั่งลงกับพื้น เหมันต์ที่นั่งชันเข่าตรงหน้าเธอก็แสร้งตีสีหน้าเป็นห่วง เขามองใบหน้าหวานที่ซีดไร้เลือด รอยแดงที่ลำคอเพราะถูกบีบเมื่อครู่ยังชัดเจน
มุมปากหยักยกยิ้มเมื่ออีกฝ่ายร้องไห้ออกมา ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“คุณเป็นยังไงบ้างครับ”
“อึก...ฉัน ไม่เป็นไรค่ะ”
ฟางข้าวตัวสั่นเพราะความกลัว เธอมองหน้าเหมันต์ที่มองมาด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อกี้มีใครก็ไม่รู้ทำร้ายฉัน”
“ใครครับ?”
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ ฮึก”
“คุณไม่รู้จักเหรอ”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่รู้จัก”
“คุณมีศัตรูที่ไหน แล้วกำลังถูกแก้แค้นรึเปล่าครับ?”
“...”
“ผมหมายถึง พวกนั้นอาจจะเป็นคนที่คุณเคยรู้จักมาก่อน”
ฟางข้าวกลอกสายตาไปมา เธอนึกไม่ออกเลย เธอไม่รู้จักสองคนนั้นแน่ๆ พวกนั้นเป็นใครกัน หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในศัตรูทางธุรกิจของบิดา ใครสักคนที่บิดาของเธอเคยมีปัญหาด้วยคงจะกลับมาเอาคืนที่เธอที่เป็นลูกสาว
“ช่างเถอะค่ะ พวกนั้นอาจจะสุ่มทำร้ายคนก็ได้ ฉันคงโชคร้าย”
ร่างบางพยายามลุกขึ้นยืน ได้เหมันต์ที่ช่วยประคองก็ทำให้เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณคุณเหมันต์มากนะคะที่ช่วยฉัน ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่แน่ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ เราไปโรงพักกันเถอะ แจ้งความเรื่องที่คุณถูกทำร้าย”
ฟางข้าวส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไปแจ้งความตำรวจก็ต้องซักไซร้เรื่องแรงจูงใจหรือศัตรู หากฟางข้าวให้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ เหมันต์ก็ต้องได้ยิน เธอไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอไปมากกว่านี้
“คุณแน่ใจนะครับว่าจะไม่ไปแจ้งความ”
“ค่ะ”
“งั้นรีบไปที่รถกันเถอะครับ”
ทั้งคู่เดินไปตามทางเรื่อยๆ อีกครั้ง ฟางข้าวที่ร่างกายไม่ค่อยดีก็ได้แต่เดินก้มหน้า เธอยังคงเจ็บปวดกับการที่โดนทำร้ายเมื่อกี้
“คุณเป็นโรคหอบเหรอครับ”
จู่ๆ เหมันต์ก็ถามขึ้น เธอหันมองหน้าเขาเล็กน้อยและก้มหน้าลงอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ”
“อาการของคุณจะกำเริบตอนไหนบ้างครับ?”
น้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นห่วงใยและถามไถ่เพื่อเป็นความรู้ ฟางข้าวไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาเยือกเย็นข้างกาย
“อาการของฉันเหรอคะ ส่วนมากก็จะเป็นตอนที่ทำอะไรเหนื่อยๆ ค่ะ ฉันออกกำลังกายหนักๆ ไม่ได้เลย ทำได้แค่บางอย่าง แล้วก็อากาศเย็นมากก็ทำให้กำเริบได้ค่ะ ฉันต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นหวัด เพราะถ้าเป็นหวัดสักนิดเดียว ก็จะหายใจไม่ออกเหมือนจะตายเลยล่ะค่ะ”
เสียงเหนื่อยตอบปนหัวเราะ ทว่าเป็นการหัวเราะที่สมเพชในตัวเอง เธออ่อนแอกว่าคนทั่วไป แน่นอนว่ามันเป็นภาระในชีวิต
ต่างจากอีกคนที่พยักหน้ารับรู้ในคำตอบ เหมันต์เก็บข้อมูลใส่หัวว่าปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้เกิดอาการทรมานแบบเมื่อครู่...
เพราะวันข้างหน้า เขาจะได้เอามาเล่นสนุกอีกยังไงล่ะ
“ผมอยากดูแลคุณ”
ทว่าคำพูดของเขาทำให้ฟางข้าวเงยหน้าขึ้นมอง เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่ส่งสายตาอ่อนโยนระคนเห็นใจให้ หญิงสาวกำมือแน่น หัวใจดวงน้อยเต้นอยู่ในอกเมื่อได้รับสายตาลุ่มลึกของร่างใหญ่
“คุณฟางข้าวครับ”
“...”
จู่ๆ เหมันต์ก็หยุดเดิน เขาหันหน้าหาเธอ พลางเอื้อมมือไปคว้าสองมือเล็กมาจับไว้ นิ้วโป้งลูบเบาๆ บนมือบาง ฟางข้าวก้มมองมือของเขาที่จับมือของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดแล่นเข้ามาเกาะกินหัวใจ
เธอช้อนสายตาสั่นไหวมองคนตัวสูง ใบหน้าหล่อเหลายามที่จ้องมองมา หญิงสาวเห็นประกายความจริงใจอยู่ในแววตาคู่นั้น
“วันนี้ผมมีความสุขมาก และผมก็อยากเจอคุณแบบนี้ทุกวัน”
“...”
“ยิ่งผมเห็นคุณเจ็บ มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าอยากอยู่ข้างๆ คุณ อยากเป็นคนที่ดูแลคุณ”
“คุณเหมันต์...”
“เรามาลองคบกันไหมครับ”
ฟางข้าวเบิกตากว้าง เธอหายใจติดขัดและไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรแบบนี้ เธอก้มหน้าหลบสายตาเขา ทำไมทุกอย่างมันถึงเร็วไปหมด...ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้ชายมาพูดอะไรทำนองนี้กับเธอ ทว่าฟางข้าวปฏิเสธทั้งหมดเพราะคนที่บ้านสั่งห้ามให้เธอมีความรัก ที่ผ่านมาหญิงสาวจึงไม่เคยคบใคร ไม่เคยตอบตกลงใคร ชีวิตของเธอต้องดูแลพะแพงมาตั้งแต่จำความได้ ด้วยร่างกายที่อ่อนแอแบบนี้แต่ฟางข้าวก็ต้องกัดฟันอดทนมาตลอด ทว่าวันนี้กลับมีผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าอยากดูแลเธอด้วยสายตาที่จริงใจ และเป็นคนเดียวกับที่ตระกูลของเธอต้องการจะล้วงความลับสำคัญ
ร่างบางเอาแต่ก้มหน้า ก่อนจะเงยหน้าสบตากับเหมันต์ที่รอคำตอบ
“มันไม่เร็วไปเหรอคะ”
ฟางข้าวถามกลับ เพราะเราสองคนเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้น แต่ก็ไม่แปลกสำหรับคนที่เป็นเสือผู้หญิงอย่างเขา ฟางข้าวรู้ดีว่าเหมันต์อาจจะพูดออกมาโดยปราศจากความรัก เขาอาจจะแค่อยากได้เธอ ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา
“มันอาจจะเร็วไปสำหรับคุณ แต่สำหรับผมไม่”
“...”
“ถ้าผมชอบใคร ผมก็จะบอกออกไป ผมไม่ชอบให้เวลามันเดินไปโดยเปล่าประโยชน์”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราบเรียบ ทว่าแววตาลุ่มลึกสะกดความรู้สึกคนมองได้ ฟางสบตากับอีกฝ่าย หากเป็นเหตุการณ์ปกติ เธอคงจะปฏิเสธเพราะดูออกว่าผู้ชายอย่างเขาไม่ได้หวังอะไรนอกจากร่างกายของเธอ แต่นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ปกติ ในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า ฟางข้าวก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ แม้จะรู้ว่ากำลังพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย ที่อาจจะเดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม
“ถ้าคุณมั่นใจ...ฉันก็จะลองดูค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้น มาเฟียหนุ่มก็แสร้งทำเป็นยิ้มดีใจออกมาและกุมมือบางเอาไว้แน่น
ทั้งคู่มองตากัน แต่ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เหมันต์มองด้วยความรัก ทว่าข้างในแสนเกลียดชัง อยากจะเชือดคนตรงหน้าเป็นชิ้นๆ เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
ฟางข้าวมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ ทว่าข้างในหัวใจดวงน้อยเต้นถี่หนักทว่าต้องยับยั้งตัวเองเอาไว้
ต่างคนต่างเป้าหมาย ต่างความรู้สึก
อยู่ที่ใครจะชนะในเกมนี้เท่านั้นเอง
23.40 น.
ผับออนิกซ์
เสียงเพลงดังกระหึ่มในสถานที่อโคจรยามราตรี หลังจากที่เหมันต์แยกกับเหยื่อของเขาเมื่อตอนหัวค่ำ ร่างสูงก็เดินทางมาที่ผับร้านประจำทันที เหมันต์ยกแก้วเหล้าขึ้นชนกับแก้วของเพื่อนสนิท โฬม และ สิงหา
ทั้งสามรู้จักกันเพราะทำงานในแวดวงเดียวกันคือธุรกิจสีดำ และที่ชอบนัดเจอกันก็เพราะมีนิสัยที่คล้ายกัน นั่นก็คือนิสัยที่ชอบหาคู่นอนไม่ซ้ำหน้า ไม่จริงจังกับใคร ฟันแล้วทิ้งไปเรื่อยๆ เป็นงานถนัดที่สามมาเฟียสันดานเลวชอบทำเป็นชีวิตจิตใจ
“มึงว่าไงนะ มึงขอคบกับยัยนั่นเหรอ?!”
สิงหา เจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งในประเทศเอ่ยขึ้น ใบหน้าหล่อเข้มเพราะต้นตระกูลเป็นเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ของภาคใต้ จ้องมองไปที่ใบหน้าของเหมันต์ที่พึ่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังจบ
“อืม”
“อย่าบอกนะว่าพิศวาสผู้หญิงคนนั้นเข้าจริงๆ”
โฬม ชายหนุ่มรูปหล่อผิวขาว เจ้าของสนามแข่งรถผิดกฎหมายหลายแห่งทั่วประเทศพูดขึ้นสมทบ เหมันต์ตวัดสายตามองหน้าเพื่อนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มออกมา
“มึงคิดว่ากูจะชอบคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับกูงั้นเหรอ?”
“แล้วมึงมีแผนอะไรกันแน่”
คนถูกถามกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน มีสาวสวยมากมายจับจ้องมาที่พวกเขา และแน่นอนว่าผู้หญิงเหล่านั้นต่างก็คาดหวังในสิ่งเดียวกัน นัยน์ตาสีรัตติกาลแฝงความเจ้าเล่ห์เอาไว้ มันแพรวพราวทว่าก็เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวยามนึกถึงใบหน้าของฟางข้าว
“กูต้องการทุกอย่าง...ของสิงหโภคิน”
สุ้มเสียงทุ้มพูดในสิ่งที่ตนต้องการ
ใช่...เหมันต์มีแผนอะไรที่มันล้ำกว่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เสียเวลาเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับฟางข้าวทั้งที่เธอยังไม่มีทีท่าจะเข้าหาเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เหมันต์จะไม่รอให้ศัตรูเป็นฝ่ายบุกเข้ามา ในเมื่อเขารู้จุดประสงค์ของพวกมันแล้ว เขาจะเป็นฝ่ายที่บุกเอง และสิ่งตอบแทนที่ได้มาก็คุ้มค่าและมหาศาล เขาจะต้องอยู่เหนือแผนการทุกอย่างของอีกฝ่าย เป้าหมายของพวกมันคือรายชื่อคู่ค้า เป็นสิ่งเล็กน้อยมากหากเทียบกับเป้าหมายของเหมันต์ เพราะสิ่งที่เขาต้องการคือทุกอย่างของตระกูลนั้น
“กูจะเอาทุกอย่างของพวกมันมาเป็นของกูให้หมด”
แผนการแยบยลตลบหลังได้อยู่ในหัวของมาเฟียหนุ่มทั้งหมดแล้ว รอเพียงเวลาตะล่อมเหยื่อและเชือดคอ