ตอนที่ 4 : เพื่อนสนิทคนใหม่
หลังจากพูดคุยกับริทชี่อยู่สักพักใหญ่ เราทั้งคู่เลยชวนกันกลับเพราะวันนี้ไม่มีอยู่เวรเหมือนกัน และริทชี่อยากพาฉันไปเปิดหูเปิดตาตลาดเปิดท้ายใกล้ๆ คล้ายกับเพื่อนบ้านพาเที่ยว ถึงวันนี้จะมีเรื่องราวไม่ค่อยสู้ดีนักแต่เพื่อนคนนี้ของฉันดูท่าทางไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง คงต้องใช้เวลาศึกษานิสัยกันสักพัก แต่เพื่อนคนนี้ทำให้ฉันหัวเราะได้ เล่าเรื่องตลกให้ฉันคลายความกังวล และไม่ได้พูดถึงผู้ชายที่ชื่อไฟอีกเลย
"ตีซี้กับหมอคนใหม่แล้วเหรอจ๊ะริท"
"ทำงานร่วมกันก็ต้องตีซี้สิ" ริทชี่ตอบกลับรุ่นพี่พยาบาล
"หมอกลับก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรโทรหาหมอได้ตลอด ถึงไม่ได้อยู่เวรแต่ต้องการความช่วยเหลือโทรหาหมอได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง"
ฟ้าใสพูดกับพยาบาลที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ด้วยรอยยิ้ม ถึงจะรับรู้ความไม่ปกติแต่ยิ้มสู้ ฉันโตพอที่จะเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ คงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับฉันเพราะวันนี้ฉันปฏิเสธการรักษาเร่งด่วนของเคสคุณไฟ ทุกคนคงไม่อยากมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของตัวเอง
ฉันรู้เรื่องราวของครอบครัวคุณไฟจากริทชี่มาพอสมควรแล้ว แต่จะให้รู้สึกผิดได้ยังไงกันในเมื่อฉันไม่ใช่คนผิด และประเมินทุกอย่างว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ใช่เคสฉุกเฉิน แถมยังกวนประสาทตอนอยู่ในห้องตรวจ เดินออกจากห้องด้วยท่าทางปกติเหมือนไม่มีแผล แค่นั้นก็คือคำตอบแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก
"อย่าบอกว่าตอนเช้าหมอมาด้วยรถคันนี้" ริทชี่ชี้ไปที่จักรยานคันเก่าสนิมเกาะเมื่อเห็นว่าหมอฟ้าใสเข้าไปจับที่แฮนด์รถจักรยานคันนั้นเหมือนจะขึ้นคร่อม
"ใช่แล้ว เห็นจอดอยู่ข้างบ้านพักเลยลองเอาไปซูบลมยางดู สรุปยางยังใช้ได้ก็เลยปั่นมาทำงาน ง่ายดี ไม่ต้องเดิน" ฉันตอบด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้ตกใจอาการตกตะลึงของผู้ช่วยพยาบาล นี่แหละรถประจำตำแหน่ง ไม่รู้ว่าของใครในเมื่อจอดอยู่ข้างบ้านพักเลยเอาเป็นของตัวเองซะเลย
"หมอเขาไม่รวยกันเหรอครับ"
"คนอื่นอาจใช่ แต่หมอฟ้าใสไม่ใช่แบบนั้น หมอพึ่งเริ่มมีเงินเดือนแบบจริงจังกับเขาเอง ประเทศไทยมีขนส่งสาธารณะเยอะแยะไม่เห็นจำเป็นต้องมีรถเลย อีกอย่างหมอไม่อยากมีด้วยแหละ ต่อให้ใช้อาชีพหมอแล้วได้ดาวน์ศูนย์เปอร์เซ็นต์ก็เถอะ ยังไม่อยากมีหนี้ขนาดนั้น อนาคตอาจมีแต่ตอนนี้นี่แหละรถของหมอ" ฟ้าใสส่งสายตาไปที่จักรยานคู่ใจตัวเองและไม่อายที่ใช้ปั่นไปไหนมาไหน
"เราชอบความคิดหมอฟ้าใสจัง ตั้งแต่เรื่องคุณไฟจนมาถึงเรื่องรถ"
ทั้งสองคนส่งยิ้มให้กันเป็นการเจอกันครั้งแรกที่รู้สึกถึงความจริงใจและไร้ซึ่งพิษภัย น้อยครั้งที่เจอหน้ากันครั้งแรกได้ลองพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคจะรู้สึกถูกชะตา
หลายชั่วโมงต่อมา...
"ขอบคุณนะริทชี่ที่มาส่งหมอ ขับรถกลับบ้านดีๆนะ ถึงแล้วไลน์หาหมอด้วย" ฉันโบกมือหย็อยๆให้กับผู้ช่วยพยาบาลคนสวยที่ขับรถเก๋งตามมาและใช้ไฟส่องแสงสว่างให้ฉันระหว่างทางที่ขี่จักรยานกลับบ้านพัก ชวนคุยกันเพลินนั่งหาอะไรกินไปเรื่อยและริทชี่พาฉันเที่ยวใกล้ๆโรงพยาบาล รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว ต่อให้ฉันปฏิเสธว่าขี่กลับเองได้แต่เพื่อนผู้ช่วยคนนี้ไม่ยอม สุดท้ายเหตุการณ์เลยเป็นแบบนี้
"พรุ่งนี้เจอกันนะหมอฟ้าใส" เสียงของริทชี่ตะโกนออกมาจากในตัวรถและขับรถออกไปจากบริเวณนี้
ฉันกับริทชี่ได้พูดคุยกันไปต่างๆนานา และมีพูดเรื่องส่วนตัวบ้างนิดหน่อย ทำให้รู้ว่าเราอายุห่างกันเพียงหนึ่งปี ความตั้งใจของริทคล้ายกับฉันที่อยากเป็นหมอเพื่อจะได้ดูแลคนในครอบครัว ถึงริทจะเป็นผู้ช่วยพยาบาลไม่ได้เรียนแพทย์โดยตรงแต่มีความรู้ ความเข้าใจและถูกอบรมเกี่ยวกับการดูแลคนป่วยมาหมดแล้ว อีกทั้งยังทำงานในโรงพยาบาลนี้มาแล้วหนึ่งปีก็พอรู้นิสัยใจคอของคนที่โรงพยาบาลอยู่พอสมควร
การได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่ก็คือการเมาส์เรื่องชาวบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนชายกึ่งสาวของฉันที่พูดเป็นต่อยหอย
แอ่ด...
เสียงประตูสุดคลาสสิคค่อยๆเปิดออกด้วยฝีมือของฉันเอง พร้อมกับระบายยิ้มให้กับตัวเองเมื่อผ่านวันแรกของการทำงานไปได้ด้วยดี ก่อนหน้านี้ได้โทรไปคุยกับยายเรียบร้อยแล้ว ยายยังมีเพื่อนบ้านไปมาหาสู่อยู่ตลอดเวลา แบบนี้ฉันเลยสบายใจ ถึงแม้วันแรกจะรู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่ไม่เคยบอกให้อีกคนต้องเป็นห่วง ฉันมักจะคุยกับยายด้วยน้ำเสียงสดใสเสมอ
ฟุบ
ร่างอรชรที่ยังอยู่ในสภาพเดิมล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนขนาดห้าฟุต ร่างกายแผ่หลาบนเตียงแบบไม่อายใคร มองฝ้าเพดานสีขาวและปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ
"ทำงานวันแรกก็มีคนเกลียดแล้วสินะ คนที่เกลียดยังเป็นรุ่นพี่หมอซะด้วยสิ"
หลายวันต่อมา...
หญิงสาวร่างอรชรมาทำงานในโรงพยาบาลด้วยสีหน้าสดใส ทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะรับรู้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรไม่เหมือนวันแรกก็ตาม ฉันเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นี่แล้ว ยังดีที่มีริทชี่คอยเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา และมีพยาบาลบางคนที่คุยกันได้ สังคมใส่หน้ากากเข้าหากันรันทุกวงการจริงๆ ทำงานด้วยกันได้แต่ลับหลังนินทากันฉ่ำ ขนาดฉันพึ่งมาทำงานได้ไม่นานชื่อหมอฟ้าใสน่าจะอยู่ในวงสนทนาพวกนั้นด้วย
เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าหมอจบใหม่รุ่นก่อนๆทนเหนื่อยที่มีคนไข้เยอะไม่ไหวหรือทนพฤติกรรมของคนเก่าคนแก่ที่นี่ไหวกันแน่
"รบกวนมาคุยกับพี่ที่ห้องหน่อยค่ะ" รุ่นพี่หมอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และเดินไปยังห้องทำงานของตัวเองทันที
ฟ้าใสเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ได้เอะใจอะไร แต่รับรู้ถึงสายตาของหลายคนที่เหมือนเกลียดเข้าไส้เข้าพุง
ตึก ตึก...
"หมอฟ้าใสมาหรือยัง" ริทชี่วิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยอาการตื่นตระหนก และรีบถามพยาบาลที่ยืนอยู่แถวนั้น
"มาแล้ว และเข้าไปคุยกับหมอนาถในห้อง กะจะมาบอกลูกพี่ตัวเองเหรอริท คงช้าไปหน่อยนะ"
ริทชี่มองไปยังประตูห้องทำงานของหมอนาถพี่ใหญ่สุดของโรงพยาบาลนี้ เรื่องคงถึงหูทุกคนแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าหมอฟ้าใสรู้เรื่องก่อนหรือยัง
ภายในห้องทำงานของหมอนาถ
"รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป"
ฟ้าใสมองรุ่นพี่หมอด้วยสายตาไม่เข้าใจ น้ำเสียงและคำถามเริ่มทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบมาพากล หรือนี่จะเป็นการสวมมาดเพื่อข่มขวัญรุ่นน้องให้ทนไม่ไหว
"ช่วยระบุเรื่องมาเลยดีกว่าค่ะ อย่าให้ฟ้าต้องเดาเลยค่ะ"
"ทำอะไรลงไปไม่รู้ตัวเลยเหรอไง ทำให้โรงพยาบาลของเราต้องอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอหมอฟ้าใส ทำงานได้ไม่กี่วันก็สร้างเรื่องใหญ่ทำให้โรงพยาบาลเดือดร้อน และจะบอกอะไรให้นะ ชาวบ้านต้องเดือดร้อนเหมือนกันถ้าไม่มีโรงพยาบาลนี้"
คำพูดของรุ่นพี่ทำให้ฉันงงหนักกว่าเดิม ในทุกวันที่ทำงานและอยู่เวรไม่เคยสร้างปัญหาให้โรงพยาบาลหรือชาวบ้านเดือดร้อน ฉันอยู่แบบปกติที่สุด ใครจะนินทาก็ไม่สนใจ ยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง
"คะ? ช่วยเอาหัวเรื่องให้ฟ้าได้ทราบด้วยค่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฟ้าคะ"
"เรื่องคุณไฟ…หมอฟ้าใสน่าจะรู้แล้วว่าครอบครัวคุณไฟบริจาคให้โรงพยาบาลเราทุกปี แต่ต่อไปทางคุณไฟจะไม่บริจาคให้โรงพยาบาลเราแล้ว ทั้งเงิน ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ หมอฟ้าใสควรรู้ไว้ว่าโรงพยาบาลนี้อยู่ได้เพราะเงินบริจาคของครอบครัวคุณไฟ และรู้อะไรไหมทางคุณไฟกำลังยื่นเรื่องฟ้องโรงพยาบาลเพราะหมอละเลยหน้าที่แถมยังวินิจฉัยผิด สั่งจ่ายยาไม่ตรงตามอาการ"
"ไม่ตรงตามอาการยังไงคะ เขา?...หมายถึงคุณไฟไม่ได้เป็นอะไรเลย ฟ้าสั่งจ่ายยาให้ถูกต้องทุกอย่าง ให้ยาลดปวด ยาแก้อักเสบ ไปครบจำนวน"
"คุณไฟไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ หมอที่นั่นแจ้งว่าคุณไฟกระดูกเคลื่อน ต้องใส่เฝือก และนี่..."
ปัก!
ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกเหวี่ยงใส่หน้าฉันเต็มแรง สันขอบของซองเข้าที่เบ้าตาเต็มๆจนฉันต้องหลับตา ตอนนี้ทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจในสิ่งที่หมอรุ่นพี่พูด นัยส์ตาเห่อร้อนแต่ต้องเก็บอาการ ก้มลงหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาดู ภายในซองมีแผ่นเอกซเรย์ ด้วยความเป็นหมอเห็นได้ทันทีว่ามีส่วนของกระดูกผิดรูป มองชื่อระบุตัวตนเจ้าของแผ่นเอกซเรย์
'นายอัคนี วชิรวรกุล' นามสกุลนี้ฉันพึ่งจะรู้จักได้ไม่นานตอนที่มาอยู่ที่นี่ อัคนีที่มีความหมายว่าไฟ คงไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคือใคร แต่ฉันมั่นใจว่ากดทุกส่วนของท่อนขาและข้อเท้าเขาไม่มีทีท่าร้องโอดโอยแถมยังเดินออกจากห้องตรวจด้วยสภาพปกติ แต่ทำไมในแผ่นเอกซเรย์นี้เขาถึงกระดูกเคลื่อน ถ้าตามรูปนี้ฉันต้องใส่เฝือกให้เขาแล้ว