ขาเรียวเล็กเดินออกมานอกห้องนอน ขณะตาคู่สวยกวาดมองยังชั้นสองของตัวบ้านที่คุ้นเคยเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่มา แต่ก็ไม่พบเจอใครเลย ในเวลาที่กำลังสงสัยว่าทุกคนหายไปไหนหมด ก็ได้ยินเสียงคล้ายฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนบ้าน น้ำพริกจึงเบี่ยงสายตาไปมองเห็น ลำไย หญิงสาวรุ่นน้องวัยยี่สิบสอง ซึ่งเป็นคนงานที่บ้านก้อง ถือพานสีทองขึ้นมาข้างบน จึงเอ่ยถามลำไยด้วยใบหน้าสงสัย...
“ลำไยเห็นแม่พี่ไหม?”
“หนูเห็นขับรถออกไปข้างนอกกับป้ากัญญาจ้ะ”
“ไปนานแล้วเหรอ?”
“ไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วจ้ะ”
“อ๋อ ขอบใจนะ” พอได้ยินคำตอบน้ำพริกก็ได้แต่บ่นแม่ของเธอในใจที่ไม่ยอมปลุกเธอให้ไปด้วย เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา สวย เพื่อนสนิทระหว่างรอคนเป็นแม่กลับมา...
(กูว่าแม่มึงไม่กลับหรอก)
“อ้าว! นี่มึงแช่งแม่กูเหรอ” หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้สวยฟัง พอได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็ถึงกับถามออกไปเสียงแข็ง จนคนปลายสายต้องรีบอธิบายขยายความก่อนที่น้ำพริกจะเข้าใจผิด
(กูไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่กูหมายถึงแม่มึงต้องมีแผน ให้มึงอยู่กับพี่เขาตามลำพังสองคนเพื่อที่จะเยเย้มารูโกะกันแน่)
“โอ๊ย~ ไร้สาระมึงอะ แม่กูไม่คิดแบบนั้นหรอก มีแต่แม่กูจะกลัวกูไปทำอะไรเขามากกว่า”
(เออจริงว่ะ)
น้ำพริกนอนคุยกับสวยกระทั่งพระอาทิตย์ลับฟ้าแต่นลินญาและกัญญาก็ยังไม่กลับ เธอจึงเลือกวางสายจากเพื่อนสนิทแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวเดินลงไปข้างล่าง เพื่อไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยเมื่อรู้สึกเหนียวตัว...
ทางด้านก้องหลังจากปั้นเศียรเสร็จก็รีบอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด พอสวมใส่กางเกงเรียบร้อยก็คว้าผ้าขาวม้ามาถูหลังที่ยังมีน้ำเกาะ จากนั้นดึงประตูห้องน้ำเปิดออกแล้วเดินไปหารามที่กำลังนั่งกินเหล้าอยู่หน้าเรือนรับรอง
ขณะที่ร่างสูงกำลังจะทิ้งตัวนั่งลงยังเตียงไม้สัก สายตาก็เหลือบเห็นว่าที่ภรรยาของตนกำลังเดินลงบันไดมาข้างล่างจึงมองเธอครู่หนึ่ง แต่พอเห็นอีกคนหันมาก็เลือกเบือนหน้าไปทางอื่น กระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลง ก้องก็หันไปมองน้ำพริกอีกครั้ง...
ที่เขาแสดงปฏิกิริยากับเธอเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเกลียด เพียงแต่แค่อยากแสดงออกให้เธอเห็นว่าเขานั้นไม่ได้อยากแต่งงานกับเธอ เพื่อที่เธอจะได้ล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับเขา เพราะถ้าหากเธอยังคงดื้อรั้นปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ตัวเธอเองนั่นแหละที่จะเสียใจ
เพราะคนอย่างเขามันรักใครไม่เป็น อีกทั้งยังไม่ศรัทธาในความรักอีกต่างหาก...
“เมียเจ้างามเนอะอ้ายก้อง ว่าแต่ซื่อหยังนะ?” (เมียพี่สวยนะพี่ก้อง ว่าแต่ชื่ออะไรนะ?)
“บ่แม่นเมียกู อยากฮู้มึงกะไปถามเอง” (ไม่ใช่เมียกู อยากรู้มึงก็ไปถามเอง) ร่างสูงตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เมื่อรามเรียกน้ำพริกว่าเมียของเขาทั้งที่ไม่ใช่ ก่อนจะคว้าขันน้ำเย็น ๆ ยกขึ้นดื่มเพื่อระงับอารมณ์เดือดดาลภายในใจ
...โดยไม่รู้เลยว่ารุ่นน้องนั่งมองด้วยความสงสัย และคิดในใจว่าลูกพี่มันไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้ ก่อนจะเลือกเปลี่ยนเรื่องคุยแทน
ขณะที่ก้องกับรามกำลังนั่งคุยกันอยู่หน้าเรือนรับรองจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ท่อดังกำลังวิ่งมุ่งตรงมาที่บ้าน สองชายหนุ่มจึงหันไปมองก่อนจะเห็นรถเวฟสีแดงเลี้ยวเข้ามาในบ้านพอดี พร้อมกับเสียงเจ้าของรถคันดังกล่าวที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ...
“บักราม! แดกเหล้ากะบ่ถ่ากูเลยเนอะมึง” (ไอ้ราม! กินเหล้าก็ไม่รอกูเลยนะมึง)
“กะอ้ายช้าเนอะ” (ก็พี่ช้าอะ)
“ช้าหยัง กูฟ้าวแบกข้าวขึ้นเล้าช่วยแม่กู คันฮอดหรรมปานได๋น้ำกะบ่อาบ มึงยังว่ากูช้าอีกเบาะ” (ช้าอะไร กูรีบแบกข้าวขึ้นเล้าช่วยแม่กู คันยันหรรมขนาดไหนน้ำก็ไม่อาบ มึงยังบอกว่ากูช้าอีกเหรอ) ก้องมอง สี่ เพื่อนสนิทพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเห็นความพยายามของเพื่อน ที่รีบมาจนไม่อาบน้ำเพราะกลัวไม่ได้กินเหล้า
ในขณะที่สี่นั้นพูดพร้อมกับรีบเอาขาตั้งรถลง ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างก้องจากนั้นก็เลื่อนมือไปรับแก้วเหล้าจากราม มายกดื่มรวดเดียวหมดราวกับอดอยากมาจากไหน
“อ่า~ ส่วงแฮง” (อ่า~ สดชื่นมาก)
“ปานนั้นเลยติอ้าย” (ขนาดนั้นเลยดิพี่)
“ของมักกูเนอะ” (ของชอบกูอะ) ไม่พูดเปล่าสี่ยื่นแก้วกลับไปให้รามอีกครั้งเพื่อให้รุ่นน้องรินเหล้าขาวให้อีก ในขณะก้องนั่งฟังทั้งสองคนคุยกันเงียบ ๆ ตาดำขลับก็มองยังทุ่งนาเขียวขจีหลังบ้านด้วยความรู้สึกสบายตา กระทั่ง...
“แต่ข่อยว่าสิเซากินแล้วเด้ะ” (แต่ฉันว่าจะเลิกกินแล้วนะ)
“อีหลีบ่วะ?” (จริง ๆ เหรอวะ?) ไม่ใช่แค่สี่เท่านั้นที่ไม่เชื่อหู กับคำพูดที่ออกจากปากรามเมื่อครู่ ก้องเองก็เช่นกัน พอได้ยินเช่นนั้นก็ละสายตาจากต้นข้าวที่โอนเอียงตามสายลม ไปยังรุ่นน้องแล้วตั้งใจฟังประโยคถัดมาของราม
“แม่น” (ใช่)
“เออ! เหล้ามันเป็นสิ่งบ่ดี เซาได้เซา คั่นเซาบ่ได้กะชวนกูนำ กูพร้อมจ้วดเสมอน้องรัก” (เออเหล้ามันเป็นสิ่งไม่ดีเลิกได้เลิก ถ้าเลิกไม่ได้ก็ชวนกูด้วย กูพร้อมดื่มเสมอน้องรัก)
สิ้นคำพูดสี่ก้องก็ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับเพื่อนตัวเองด้วยความรู้สึกเอือมระอาซึ่งไม่ต่างจากราม แต่อีกคนกลับไม่คิดจะสนใจยังคงยกเหล้าขึ้นดื่มหน้าตาเฉย...
ทางด้านน้ำพริกหลังจากตักน้ำฝนที่รองไว้ในอ่างปูนจนสดชื่นสบายตัว ก็หยิบผ้าขนหนูสีขาวมาสะบัดสองสามครั้งแล้วพันรอบอก เอื้อมไปจับประตูห้องน้ำแล้วกระชากเปิดออกจากนั้นก็ก้าวเดินไปข้างนอก
“ป๊าด!” (โอ้โฮ!) ขณะขาขาวเนียนผุดผ่องกำลังจะเดินไปยังบันไดจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอุทานดังมาจากหน้าเรือนรับรอง เธอจึงชะงักเท้าแล้วหันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นก้องนั่งชันเข่าในมือถือขันน้ำจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ รับรู้เช่นนั้นน้ำพริกก็ได้แต่คิดในใจ
มองขนาดนี้ต้องมีใจให้บ้างแหละน่า...
จึงฉีกยิ้มหวานส่งให้อีกคนไปจากนั้นก็เดินไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย
“ขาวบักคัก งามแฮงเนอะเมียมึง” (ขาวฉิบหาย สวยมากเนอะเมียมึง)
“อีหลี! วาสนาอ้ายก้องเลาเนอะ” (จริง ๆ! วาสนาพี่ก้องเขานะ) ทางด้านก้องขณะนั่งมองแผ่นหลังขาวเนียนอีกทั้งขาเรียวเล็กของน้ำพริกที่กำลังเดินไปยังบันไดไม่วางตา พอได้ยินเสียงเพื่อนและรุ่นน้องพูดขึ้นก็ละสายจากเธอ แล้วตอบด้วยคำพูดที่ทำเอาชายหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งอยู่หมั่นไส้ไม่น้อย
“เวรกรรมกูสิบ่ว่า” (เวรกรรมกูสิไม่ว่า)
“ปากดี ได้เมียงามปานนี้ยังบ่ภูมิใจอีก” (ปากดี ได้เมียสวยขนาดนี้ยังไม่ภูมิใจอีก)
“กะกูบ่ได้มัก” (ก็กูไม่ได้ชอบ)
“บ่มัก หรือย่านถึกสาวกรุงเทพฟันแล้วถิ่มวะ ฮ่า ๆ” (ไม่ได้ชอบ หรือกลัวถูกผู้หญิงกรุงเทพฟันแล้วทิ้งวะ)
“ตลกหลายบ่มึง?” (ตลกมากเหรอมึง?) จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วพอได้ยินคำพูดของสี่ ที่พูดไม่เข้าหูพร้อมกับหัวเราะชอบใจเหมือนตลกมาก ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะยกบาทาไปถวายถึงปาก รามเห็นแบบนั้นก็รีบยกขวดเหล้าหลบเพราะกลัวเหล้าหกแล้วอดกิน ในขณะที่สายตานั้นคอยมองส้นตีนของก้องอย่างลุ้น ๆ ว่าจะโดนปากของสี่หรือเปล่า
...แต่ดีที่อีกคนนั้นมือไวจับเท้าไว้ได้ทัน ทำให้รอดพ้นไปอย่างหวุดหวิด
“ใจเย็นจารย์”
“มึงกะเซาเว้าแหน่ กูบอกว่ากูบ่ได้มัก” (มึงก็หยุดพูดสักที กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบ)
“เออ บ่มักกะบ่มัก” (เออ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ)
“แล้วแม่อ้ายไปไสอ้ายก้อง” (แล้วแม่พี่ไปไหนพี่ก้อง) พอเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีรามจึงรีบชวนรุ่นพี่ทั้งสองเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะกลัวจะกินเหล้าต่อไม่อร่อย
“จั๊ก!” (ไม่รู้!) ร่างสูงตอบด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เพราะยังฉุนเฉียวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ อีกทั้งตนก็ไม่เห็นแม่ตัวเองตั้งแต่ทำงานเสร็จเช่นกัน
หลังจากนั้นทั้งสามก็นั่งพูดคุยกันต่อ กระทั่งพระอาทิตย์ลับฟ้ายุงก็เริ่มชุมจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
ทางด้านน้ำพริกหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็นอนรอแม่ของเธออยู่ในห้อง หลังจากติดต่อไปแล้วนลินญาบอกว่ายังทำธุระไม่เสร็จ ร่างเล็กนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง เพื่อต่อสู้กับความหิวเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ช่วงบ่ายเลยกระทั่ง...
“ไม่ไหวแล้วโว้ย” ดันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปข้างนอกห้อง ตาคู่สวยมองภายในบ้านแต่ก็ไม่เห็นใคร แม้กระทั่งว่าที่สามีของเธอ ปากเล็กจึงบ่นอุบอิบ
“ไปไหนกันหมดเนี่ย” ก่อนจะเดินลงไปข้างล่างเพื่อเข้าไปในครัวดูว่ามีอะไรพอจะทำกินรองท้องก่อนได้บ้าง เมื่อเท้าเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายก็รีบสวมรองเท้า แล้วเดินตรงไปยังห้องครัวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน
ซึ่งเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องครัวที่เปิดไฟอยู่ ขณะน้ำพริกกำลังจะเดินเข้าไปเข้าในครัวทว่าสายตาสะดุดกับร่างสูงกำยำของว่าที่สามีเธอ ที่กำลังยืนทำกับข้าวอยู่ด้านใน เธอจึงยืนมองเขาด้วยแววตาชื่นชม ที่เขานั้นเก่งไปหมดทุกอย่างจริง ๆ
ขณะน้ำพริกยืนมองก้องไม่วางตา พอได้กลิ่นหอม ๆ ของเครื่องสมุนไพรในหม้อต้มปลาร้อน ๆ ที่หอมฟุ้งตลบอบอวล จนอดไม่ได้ที่จะสูดดมแล้วเอ่ยชมออกมาอย่างเปิดเผย
“อ่า~ หอมจัง” จนคนที่กำลังจะยกหม้อต้มปลาขึ้นจากเตาถ่านได้ยินจึงหันมา พอก้องเห็นน้ำพริกยืนมองอยู่หน้าห้องครัว เขาจึงมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะเลือกไม่สนใจเบือนหน้ากลับมาทางเดิม
“พี่ทำอะไรกินเหรอ?”
“แนมบ่เห็น?” (มองไม่เห็น?) คำตอบของอีกคนทำเอาน้ำพริกหน้าชาไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาอย่างเขา พอได้อ้าปากพูดทีก็ทำเอาแทบหน้าหงายเหมือนกัน แต่เธอก็เลือกไม่สนใจทำเป็นหูทวนลม แล้วเดินเข้าไปในครัวหยุดยืนข้างอีกคน
จากนั้นก็ชมเขาอีกครั้งด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ...
“ว้าว! น่ากินจังเลย กลิ่นก็ห๊อมหอม หนูขอกินด้วยได้ไหม?”
“ไม่ได้ทำเผื่อ” ไม่พูดเปล่าก้องเอื้อมแขนเพื่อไปหยิบถ้วยที่อยู่ข้างน้ำพริกมาใส่ต้มปลา ทำเอาเกือบชนเธอหงายหลัง ดีที่เธอถอยไปทางด้านหลังก่อน ไม่งั้นถูกเขาชนแน่
แม้การกระทำของเขาคล้ายกับไล่เธอทางอ้อม แต่คนตัวเล็กก็ไม่สลดปั้นหน้ายิ้มแล้วพูดต่อ...
“แต่มันเยอะมากเลยนะ ยังไงพี่ก็กินไม่หมดหรอก”
“ไม่หมด ก็เอาไว้กินพรุ่งนี้”
“กินของค้างคืนท้องไส้มันไม่ดีหรอก ให้หนูช่วยกินให้หมดวันนี้ดีกว่า”
“ไม่ดียังไง ก็กินตลอดไม่เห็นเป็นอะไร”
“หวงมากหนูไม่กินก็ได้” เมื่อเห็นอีกคนไม่มีท่าทีจะยอมเอาแต่ปฏิเสธอย่างเดียว น้ำพริกจึงยกธงขาวยอมแพ้อย่างจำนน ก่อนจะกวาดสายตามองภายในครัวกระทั่งเห็นไข่ไก่วางอยู่ในตะกร้า จึงไม่รอช้ารีบจัดการนำมาตอกใส่ถ้วย เพื่อทอดไข่เจียวกินประทังชีวิตให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อน
ทางด้านก้องเมื่อหยิบถ้วยมาแล้วก็จัดการตักต้มปลาในหม้อใส่ถ้วย ขณะสายตาเหลือบมองน้ำพริกที่กำลังตีไข่อยู่แต่ก็ไม่พูดอะไร กระทั่งเธอตีไข่เสร็จเตรียมจะทอด มือเล็กเอื้อมไปหยิบกระทะที่ห้อยอยู่ข้างฝาผนัง มาวางลงบนเตาแก๊สจากนั้นก็เตรียมเปิดแก๊สทว่า...
“แก๊สหมด” ทางด้านน้ำพริกแม้จะได้ยินก้องเอ่ยบอกเช่นนั้นแต่เธอก็ไม่เชื่อ ยังคงดื้อรั้นที่จะเปิด แต่ก็เปิดไม่ติดเพราะมันหมดตามที่เขาบอกจริง ๆ เธอจึงหันไปเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าสงสัย
“แล้วพี่ทำกับข้าวยังไง?”
“เตาถ่าน” สิ้นเสียงทุ้มตาคู่สวยก็มองยังเตาถ่านเก่า ๆ ที่สภาพเหมือนผ่านการใช้งานมายาวนานตั้งวางอยู่ พอเห็นไฟมอดลงแล้วเนื่องจากก้องเอาขี้เถ้าใส่เพื่อดับไฟหลังจากทำกับข้าวเสร็จ
ปากเล็กก็เม้มแน่นขณะในหัวคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงต่อดี เพราะเกิดมาจนอายุยี่สิบห้าเคยก่อไฟเตาถ่านอยู่ครั้งเดียว นั่นก็คือตอนเข้าค่ายลูกเสือช่วงมัธยมเท่านั้นซึ่งมันก็นานมากแล้ว
ร่างเล็กยืนคิดครู่หนึ่งว่าจะเอายังต่อดี ขณะใบหน้าสวยหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ไม่มีท่าทีจะสนใจ จึงไม่อยากเอ่ยปากขอให้เขาช่วย น้ำพริกจึงเลือกไม่ง้อแล้วจัดการก่อไฟเอง
ตาคู่สวยมองหาก้อนถ่านพอเห็นอยู่ในถุงข้างเตา จึงจัดการหยิบมาใส่เตาที่มีไฟอุ่น ๆ ติดอยู่ เมื่อใส่ถ่านเรียบร้อยเธอก็ไม่รอช้าจัดการเป่าเพื่อให้ไฟติดอีกครั้ง แต่ลืมไปว่ามันมีขี้เถ้าอยู่บนเตาด้วยทำให้...
“โอ๊ย~” ขี้เถ้าเข้าตา
เมื่อรับรู้เช่นนั้นมือเล็กก็พยายามขยี้เพื่อให้หายจากอาการระคายเคือง แต่ลืมไปว่ามือของเธอเพิ่งจับถ่านมา ทำให้รอบดวงตาอีกทั้งใบหน้าสวย ๆ เปรอะเปื้อนไปด้วยถ่านสีดำ
ขณะยืนขยี้ตาในหัวก็ได้แต่สงสัยว่าคนที่ยืนอยู่ด้านข้างคราแรกตอนนี้ยังอยู่ไหม ทำไมเขาถึงเงียบไม่พูดไม่จาเลย น้ำพริกจึงหรี่ตาขึ้นทำให้เห็นว่าที่สามีของเธอยืนมองนิ่ง ๆ ไม่คิดจะเอ่ยถาม หรือเข้ามาช่วยเลยแม้แต่น้อย แถมยังมองเธอด้วยสายตาคล้ายตำหนิอีกต่างหาก ทำเอาน้อยใจไม่น้อยก่อนจะได้ยินเขาพูดขึ้น...
“ใส่ถ่านหลายปานนั้น สิเผาครัวติ” (ใส่ถ่านเยอะขนาดนั้นจะเผาครัวหรือไง)
“ก็หนูไม่รู้ ทำก็ไม่เป็น ส่วนคนที่ทำเป็นก็ใจดำยิ่งกว่าถ่าน” น้ำพริกตอบน้ำเสียงสั่น ๆ ด้วยความโมโห ก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปข้างนอกด้วยท่าทีไม่พอใจ
ทางด้านก้องเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินออกไปแล้ว เขาก็เบี่ยงสายตาไปยังก้อนถ่านที่เธอเปรียบเทียบหัวใจเขากับสิ่งนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลือกไม่สนใจเดินถือจานข้าวที่ราดต้มปลาเรียบร้อย ออกไปนั่งกินข้าวที่เตียงไม้สักหน้าห้องครัว
ขณะตักข้าวใส่ปากตาดำขลับก็ช้อนขึ้นมองคนตัวเล็กที่กำลังยืนล้างหน้าอยู่ข้างโอ่งตรงตีนบันไดบ้านเป็นพัก ๆ ...
ทางด้านน้ำพริกยืนล้างหน้าด้วยความรู้สึกน้อยใจ ที่อีกคนยังกินข้าวหน้าตาเฉยได้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาให้อีกคนเห็นเท่านั้น พอล้างหน้าเสร็จก็เตรียมเดินกลับเข้าไปในครัว เพื่อก่อไฟทำกับข้าวอีกครั้งเพราะหากไม่ทำมีหวังได้หิวข้าวตายก่อนแน่...
ขณะขาเรียวเล็กกำลังจะก้าวเดินเข้าไปในครัว ทว่าเห็นไฟสีส้มของรถสาดส่องเข้ามาในบ้านเสียก่อน เธอจึงหันไปมอง พอเห็นรถของแม่เธอขับเข้ามาในบ้านความรู้สึกดีใจยิ่งกว่าถูกหวยก็ถาโถมยังกลางใจ เมื่อรับรู้ว่าเธอนั้นไม่ต้องก่อไฟทำกับข้าวแล้ว...