อาทิตย์ต่อมา ถึงเวลาที่ต้องทำตามคำสั่งมาลิคโดยการไปที่บริษัทของคาแลนในฐานะคนของบริษัทคู่แข่งเพื่อยื่นข้อเสนอให้เขา
แน่นอนว่าฉันแทบนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเอาแต่คิดฟุ้งซ่านที่จะได้เจอกับอดีตคนรัก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่ก็ขัดคำสั่งไม่ได้
เพราะเดินเข้ามาในบริษัทด้วยชุดยูนิฟอร์มของบริษัทคู่แข่งไม่แปลกที่พนักงานของที่นี่จะมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เมื่อมาถึงห้องทำงานของผู้บริหารสูงสุดฉันก็เอ่ยบอกกับเลขา
“นัดไว้แล้วค่ะ”
เลขาที่นั่งก้มหน้าอยู่เงยขึ้นมองก่อนจะขมวดคิ้วแปลกใจ
“ให้แจ้งว่าใครขอพบคะ”
“มิลาค่ะ”
ถึงจะดูแปลกใจแต่เธอก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพียงแค่ยกโทรศัพท์ต่อสายไปหาคนที่อยู่ด้านในห้อง
“เชิญคุณมิลาเข้าพบบอสได้เลยค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบกลับก็ทำให้คนที่พกความหมั่นใจมาเต็มร้อยในตอนแรกอย่างฉันต้องรู้สึกประหม่า คิดว่าแค่คุยให้มันจบๆ ไป แต่เอาเข้าจริงแม้แต่แรงจะเอื้อมไปจับลูกบิดเปิดประตูยังไม่มี
ยืนมองดูประตูบานใหญ่อยู่นานจนเลขาเริ่มแปลกใจ ในที่สุดฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รวบรวมความกล้ายกมือขึ้นมาผลักประตูแล้วแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง
อุณหภูมิเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขายังคงชอบอากาศเย็นเหมือนเดิม
“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักทายทันทีที่ประตูถูกผลักเข้ามาทำให้ฉันเล็กสะดุ้งและไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“สะ…สวัสดีค่ะ” อยากจะตีปากตัวเองที่เอาแต่พูดจาติดขัดแบบนี้
“ดอกไม้ที่ฉันส่งไปให้เธอได้รับมันหรือเปล่า…มิลา”
เพราะไม่คิดว่าเจอกันแล้วอีกฝ่ายจะยิงคำถามแบบนั้นก็เลยได้ได้เตรียมตั้งรับ คำพูดที่ดูเหมือนธรรมดาแต่มันแฝงอะไรบางอย่างที่ชวนให้คนฟังขนลุก ฉันได้แต่ยืนนิ่งราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง
“รู้ไหมว่าฉันรอเวลาที่จะได้เจอเธออีกครั้งนานแค่ไหน”
“………”
“เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแบบนั้นมันเสียมารยาทนะ”
สติที่เคยมีตอนนี้มันไม่หลงเหลืออยู่แล้วเมื่อเงยขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า หัวใจดวงน้อยที่อยู่ในอกข้างซ้ายมันเต้นรัวๆ ฉันกำเอกสารในมือเอาไว้แน่น ในตอนนี้แค่อยากรีบคุยให้มันจบ เพราะการมองหน้าเขานานๆ อาจทำให้ร้องไห้ได้
เขาดูโตขึ้นมีความเป็นผู้นำแถมยังหล่อขึ้นมากๆ แววตาที่เคยมองฉันอย่างอ่อนโยนในตอนนั้น ตอนนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา
ได้แต่บอกเพียงในใจว่า….คิดถึงเหลือเกิน
ทำได้เพียงเอ่ยคำขอโทษในใจ
มิลาคิดถึงเฮียที่สุด
“มาลิคให้เท่าไรถึงดึงตัวเธอไปทำงานกับมันได้ แบบที่ไม่สนใจอดีตเลยสักนิด”
“เรามาคุยเรื่องงานกันดีกว่าค่ะคุณคาแลน”
“อ่า โทษทีฉันคงหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป”
“……….” เขาตั้งใจ ตั้งใจพูดให้ฉันรู้สึกและตอนนี้ฉันกำลังสั่นไปทั้งตัว
“มันสั่งให้เธอมาทำอะไร จู่ๆ อยากจะมาร่วมลงทุนทั้งที่กัดแข้งกัดขามาตลอด”
ฉันพยายามไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น คาแลนเป็นคนฉลาดเขาคงไม่ติดกับดักของมาลิคง่ายๆ เพราะแบบนี้ฉันถึงถูกส่งตัวมาคุยงาน
“ดิฉันขออนุญาตอ่านข้อเสนอให้คุณคาแลนฟังก่อนนะคะ”
เมื่อคนที่นั่งอยู่ไม่ขัดอะไรจึงเริ่มอ่านข้อเสนอร่วมหุ้นกับบริษัทของมาลิคที่เขาเสนอมาและกำชับด้วยว่างานนี้ต้องทำให้สำเร็จแลกกับอิสระที่ฉันและน้องสาวจะได้รับ
มันจะมีประโยชน์อะไรหากอิสระภาพนั้นต้องแลกมาด้วยการที่ต้องทำร้ายคนที่ฉันรักอีกครั้ง หวังว่าคาแลนจะไม่หลงกล…เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายเขาอีกครั้ง
“คนเคยๆ ไม่เห็นต้องพูดเป็นทางการขนาดนั้น”
ขณะที่พูดคาแลนเอ่ยขัดแถมยังลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินหาหยุดตรงหน้า ฉันจึงรีบก้มลงหลบสายตาและถอยหนี แต่ทว่ากลับถูกวงแขนแกร่งคว้ามาโอบเอวแล้วดึงให้แนบติดกับตัวเอง
“ทะ…ทำแบบนี้มันไม่เหมาะสมนะคะ…ดะ…เดี๋ยวมีใครมาเห็น…ปล่อยเถอะค่ะคุณคาแลน”
“เงยหน้าขึ้นมา”
“……..” ฉันยังคงก้มหน้า ก่อนจะถูกฝ่ามือหนาจับปลายคางให้เงยขึ้น “มองฉันสิ…มิลา”
“………” ไม่อาจหักห้ามความรู้สึกที่มันตื้นอยู่ในตอนนี้ได้ ฉันแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
คิดถึงมากจริงๆ
ยิ่งคาแลนทำแบบนี้….ฉันยิ่งรู้สึกผิด
“มันเอาอะไรให้กินเธอถึงได้เชื่องขนาดนี้” พูดจบคาแลนก็ผลักตัวฉันออกห่าง สายตาคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
“ระ….เรื่องข้อเสนอ….”
“คืนนี้…ไปดื่มด้วยกันไหม”
“คะ?”
“ถ้าเธอไป ฉันจะให้คำตอบ”