ตอนที่ 2 เด็กนั่งดริ๊ง

2996 คำ
ตอนที่ 2 เด็กนั่งดริ๊ง “ผมไม่เคยคิด” “ดี...อย่าให้กูเห็นมึงในห้องแดงก็แล้วกัน” พี่แม็กซ์เดินออกจากห้องไปแล้ว ทิ้งผมให้ยืนอยู่กับความอึดอัดกับการถูกมองว่าผมพยายาม "อ่อย" ลูกค้าประจำของพี่แม็กซ์ แถมยังต้องแบกความกลัดกลุ้มในใจเพราะกำลังคิดหาหนทางเพื่อจะแก้ปัญหาที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ผมกลับมาที่ห้องเช่าเก็บรวบรวมเงินทั้งหมดที่ตัวเองมีกองรวมเอาไว้บนเตียงแล้วนับซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่มันก็ยังมีจำนวนไม่ถึงครึ่งตามที่น้องสาวของผมบอกเอาไว้ กำหนดในการชำระหนี้อันเกิดจากความไว้ใจคนผิดของพ่อตีเส้นตายให้ผมเพียงสามวันเท่านั้น ผมนอนเอามือก่ายหน้าผาก วูบหนึ่งในความคิดอันสับสนคือความน้อยเนื้อต่ำใจในต้นทุนชีวิตของตัวเองที่มันน้อยนิดเหลือเกิน “เป็นไรมึงนั่งหน้าเป็นตูดเลย” ไอ้เพียวเดินเอาบั้นท้ายมากระแทกผมจนตัวเซ “เปล่านี่” “เปล่าห่าอะไร หน้ามึงอ่ะคิ้วเนี่ย...คิ้ว...ปากด้วยยับย่นจนจะเป็นหมาบั๊กแล้ว ทำไมที่บ้านมึงมีเรื่องอีกล่ะสิ” ไอ้เพียวเหมือนมันสิงอยู่ในโทรศัพท์ผมไม่มีผิดเพราะที่มันพูดมาก็เรื่องจริงทั้งนั้น “นิดหน่อย” “กูว่าไม่หน่อย เรื่องเงินอีกอ่ะดิใช่มะ” ไอ้เพียวถามผมพร้อมกับถอดกางเกงยีนแบรนด์เนมที่มันใส่มาจากคอนโดออกแล้วยัดไปเก็บในล็อกเกอร์ จากนั้นมันถึงเดินไปหยิบเอากางเกงหนังขาสั้นฟิตเปรี๊ยะกับหูกระต่ายสีเดียวกันมาสวม เพราะมันเป็นชุดที่พวกเราต้องใส่ทำงานในคืนนี้ “อืม” “เฮ้ออออ...กูล่ะเหนื่อยแทนมึงฉิบหาย คนหนึ่งก็ทำงานงกๆ ส่วนอีกทางก็ขยันหาเรื่องมาให้มึงเหลือเกิน นี่ถ้าเป็นกูนะ กูจะแกล้งระเหยกลายเป็นอากาศหายไปสักสองสามปีจะได้รู้ว่าการหาเงินมันไม่ได้ง่ายนะเว้ย” คืนนี้ผมแทบไม่มีสมาธิทำงานเลยเพราะมัวแต่กังวลเรื่องเงินที่ต้องหาเพิ่ม ผมยอมรับว่าจนปัญญาจริง ทั้งๆ ที่คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ลูกค้าที่เข้ามาเที่ยวในบาร์เยอะจนไม่มีที่จะยืน แต่ผมกลับเชียร์แขก เรียกแขกแทบไม่ได้เลย เงินทิปที่ได้จากการเข้าไปนั่งคุยนั่งดื่มกับแขกสองโต๊ะก็ได้มาไม่ถึงพันนั่นยิ่งทำให้ผมจมลงสู่ความมืดมิดสิ้นหวัง ผมตัดใจเดินกลับเข้ามาหลังร้านเพราะไม่อยากทนฝืนยืนยิ้มทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความคิด ความกังวล “จะกลับแล้วเหรอ” อีกแล้ว...ทำไมคุณสเตฟานถึงชอบมายืนทำอะไรแถวหลังร้านอยู่เรื่อย แล้วทำไมผมต้องดวงซวยเดินมาเจอผู้ชายคนนี้ทุกครั้งไป “ครับ” ผมตอบกลับไปแต่ไม่ได้ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อยังคงหยุดยืนรอห่างออกมาอีกสองเมตรเพื่อความปลอดภัย “ทำไมล่ะ นี่เพิ่งสี่ทุ่มเองนะ ข้างนอกลูกค้าก็เยอะนี่ทิปไม่ดีเหรอ” ฝรั่งตัวสูงเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้ามาหาผมเหมือนทุกครั้ง “ดีครับ...” ผมก้มหน้าโกหกแล้วนึกถึงธนบัตรใบละหนึ่งร้อยยับๆ ไม่กี่ใบในกระเป๋าที่ผมได้มันมาจากลูกค้าสองคน “คืนนี้ฉันยังไม่ได้ตกลงซื้อเด็กจากโอลิเวอร์ อยากไปนั่งกับฉันมั้ย” “ผมไม่ใช่เด็กขาย ขอโทษด้วยนะครับ” อีกครั้งที่ผมปฏิเสธคุณสเตฟาน “ถ้าอย่างนั้น คืนนี้นั่งดื่มเป็นเพื่อนฉันแบบนี้พอจะได้หรือเปล่า ฉันจะจ่ายให้เธอดริ๊งละหนึ่งพันบาทสนใจมั้ย” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตากับคนที่กำลังเสนอเงื่อนไขอันเย้ายวนให้ผมเพราะตามปกติเวลาผมนั่งดริ๊งกับแขก ผมจะได้ค่าดริ๊งแค่ประมาณดริ๊งละสามร้อยบาทเท่านั้น แต่มันไม่ใช่สามร้อยที่ผมได้รับโดยตรงมันต้องผ่านไปอีกหลายทอดกว่าจะวนกลับมาหาผมในอีกรอบของการจ่ายเงิน แต่ไหนแต่ไรมาผมรู้ว่าคุณสเตฟานดื่มเหล้าอย่างกับน้ำแถมเครื่องดื่มของคุณสเตฟานก็น่าจะมีแต่ของราคาแพง ถ้าคืนนี้ผมสามารถทำให้คุณสเตฟานดื่มได้มากๆ บางทีจำนวนเงินที่ขาดไปผมอาจหามันได้ครบจำนวนในคืนนี้ “ดริ๊งละพันเหรอครับ?” ผมทวนข้อเสนอนั้นอีกครั้งเผื่อว่าคนพูดจะแค่พลั้งปากเพราะความเมา “คิดว่าฉันโกหกเหรอ” “เปล่าครับ” “ดีถ้าอย่างนั้นก็ตามฉันมาสิ...” คุณสเตฟานเดินนำหน้าผมขึ้นไปตามบันไดชั้นสองซึ่งมันเป็นทางเดินไปยังโซนห้องแดงซึ่งผมไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป “เอ่อ...แต่ผมเข้าไปไม่ได้” ผมยืนเกาะราวบันไดอยู่ตรงชั้นลอย มองเลยไปยังบันไดชั้นสองซึ่งเป็นโซนของเด็กขายโดยเฉพาะ “เธอมีหน้าที่ แค่เดินตามฉันมา” “แต่ว่า...” “ฉันเป็นคนเรียกให้เธอขึ้นมาเพราะฉะนั้นถ้ามีใครกล้าว่าอะไรฉันรับผิดชอบเอง” คุณสเตฟานพาผมเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องวีไอพีห้องหนึ่ง ในบรรดาห้องวีไอพีหลายสิบห้องบนชั้นสอง เสียงเพลงจากด้านในดังทะลุกำแพงออกมารอบทิศรอบทางแต่ผมจับใจความเนื้อหามันไม่ได้ มือหนาเอื้อมไปกดนิ้วหัวแม่มือลงบนก้านบิดประตูจากนั้นประตูอัตโนมัติจึงดีดตัวปลดล็อกแล้วเปิดออก “ไอ้แก๊ป” เสียงไอ้เพียวเรียกชื่อผมเสียงดังลั่น ดึงเอาใบหน้าของเด็กขายคนอื่นๆ อีกประมาณเจ็ดแปดคนภายในห้องรวมถึงการ์ดส่วนตัวของคุณสเตฟานให้หันมามองผมเป็นตาเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ก้าวเข้ามาภายในห้องแดง ห้องรูปวงกลมมุมสุดด้านในมีเตียงนอนขนาดใหญ่ประดับตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงสลับดำผูกห้อยระย้าลงมาจากเพดานโดยรอบ เหนือตำแหน่งเตียงนอนขึ้นไปเป็นกระจกเงาบานใหญ่พอๆ กับเตียง ถัดไปด้านข้างเตียงนอนเป็นอ่างน้ำวนจากุซซี่สีใสแจ๋วทำด้วยกระจกมองได้ทะลุจนสามารถเห็นทุกอย่างที่อยู่ใต้นั้น มุมหนึ่งเป็นโต๊ะสนุกเกอร์ ตู้เกม อุปกรณ์เล่นเกมเพื่อสร้างความบันเทิงอย่างครบครัน คุณสเตฟานเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังสีแดงซึ่งมีเด็กขายเบอร์ต้นๆ ของร้านนั่งกันจนเกลื่อน บางคนกำลังกอดจูบนัวเนียกันเอง บางคนกำลังนั่งเล่นไพ่ บางคนกำลังนั่งชนแก้วดื่มกินเหล้าอย่างสบายใจ ตรงกลางโต๊ะกระจกขนาดใหญ่ตั้งทั้งเหล้า เบียร์ บุหรี่ อุปกรณ์เครื่องดื่มราคาแพงเยอะจนละลานตาไปหมด “คืนนี้...พวกนายไปได้แล้ว” คุณสเตฟานหันไปพยักหน้าให้การ์ดของตัวเอง ซึ่งโค้งรับช้าๆ ก่อนจะเดินไปไล่ต้อนเด็กขายคนอื่นตามมุมต่างๆ หลังจากนั้นเด็กขายทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินออกจากห้องไปทีละคน และแน่นอนทุกคนหันมามองผมด้วยสายตาประหลาด “ไอ้แก๊ปมึงขึ้นมาทำไม” ไอ้เพียวลุกขึ้นจากโซฟาเดินมาหาแล้วกระซิบถามผม “กู....” “มึงเข้ามาทำอะไรบนนี้” เสียงพี่แม็กซ์ดังมาจากด้านหลังจนผมทำอะไรไม่ถูก “ฉันให้แก๊ปเข้ามาเอง นายสองคนออกไปได้แล้ว” “เอ่อคุณสเตฟานหมายถึงให้ผม...” “คืนนี้นายสองคนจะไปรับแขกคนอื่นก็ได้นะ” คุณสเตฟานวาดเท้าขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมกับเอนหลังลงไปพิงพนักโซฟา “คุณให้พวกผม...ไปรับแขกคนอื่นหรือว่าคุณสเตฟานจะ” พี่แม็กซ์หันมามองผมด้วยสายตาเย็นยะเยือก “ก็แค่คืนนี้ฉันมีแก๊ปแล้ว...ก็เท่านั้น” “ไอ้แก๊ปนี่มึง...” “เพียวไปได้แล้ว” ไอ้เพียวยังไม่ทันพูดอะไรบอดี้การ์ดหน้าดุสองคนก็เดินมาสะกิดไหล่ไล่มันออกจากห้องไปพร้อมกับพี่แม็กซ์ที่ถลึงตาใส่ผมอย่างน่ากลัว ไอ้เพียวมองหน้าผมสลับกับหันไปมองคุณสเตฟาน ผมหมุนตัวมองตามหลังเพื่อนสนิทจนมันเดินพ้นประตูไป “แก๊ปมาสิ ฉันรอกินเหล้าอยู่นะ” ผมเดินไปหย่อนตัวนั่งลงห่างจากคุณสเตฟานประมาณหนึ่งช่วงแขน แล้วหันไปมองเครื่องดื่มบนโต๊ะ มันเยอะจนผมงงไปหมด ก่อนจะตัดสินใจเลือกหยิบเหล้าฝรั่งดีกรีร้อนแรงซึ่งราคาแพงที่สุดขึ้นมาแล้วรินมันลงไปในแก้วยื่นส่งให้คนที่นั่งอยู่ห่างออกไป “ปกติเธอนั่งห่างกับลูกค้าขนาดนี้เชียวเหรอ” คุณสเตฟานมองต่ำลงมายังตำแหน่งว่างของโซฟาซึ่งผมเว้นเอาไว้ไม่ยอมยื่นมือมารับเครื่องดื่มจากผม “เปล่าครับ” “คืนนี้ฉันเป็นลูกค้าวีไอพีของเธอนะ ดูแลฉันให้สมกับดริ๊งละพันหน่อยสิ” คุณสเตฟานกระดิกปลายนิ้วชี้เรียกให้ผมขยับเข้าไปใกล้ ผมขยับเลื่อนตัวเองเข้าไปใกล้พร้อมกับยกแก้วเหล้าในมือส่งให้ลูกค้าของผมในคืนนี้ ท่อนแขนหนาสอดโอบมาทางด้านหลังแล้วคว้าดึงเอวผมให้ขยับไปจนชิดแทบจะขึ้นไปนั่งบนตักกว้าง “เอ่อ คุณสเตฟาน” ผมเอนตัวถอยห่างคนที่ยังไม่ยอมรับแก้วไปจากมือผม “ป้อนฉันสิ” “ฮะ! ป้อนเหรอ” “ทำไม หรือว่าเธอไม่เคยทำแบบนี้กับลูกคนอื่นอย่างนั้นเหรอ” “เอ่อ คือว่าผม...” อันที่จริงสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่ผมเจอมันอยู่ทุกวันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย สำหรับเด็กนั่งดริ๊ง พริตตี้บอย การกอด การโอบ การถูกลูกค้าลูบไล้เนื้อตัวเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถทำได้ถ้ามันไม่มากจนเกินไป บ่อยครั้งที่ผมเคยเห็นพี่ๆ หลายคนยอมให้ลูกค้าล้วงลึกลงไปใต้กางเกงบ่อยๆ หากใครใจถึงก็จะได้ทิปมากหรืออาจได้ลูกค้าประจำเพิ่มแต่นั่นมันไม่ใช่ผม หากเป็นลูกค้าคนอื่นผมคงคะยั้นคะยอให้ดื่มหรือชวนคุยเรื่องต่างๆ แต่พอเป็นคุณสเตฟานผมกลับรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูก ผมค่อยๆ ยกแก้วเอาไปจรดริมฝีปากหนาซึ่งกำลังกระตุกยิ้มตรงมุมปาก ของเหลวสีอำพันกลิ้งกลอกหายลับไปกับกลีบปากสีเนื้อผมจ้องริมฝีปากคู่นั้นจนกระทั่งมันคลายขอบแก้วลงมาพร้อมกับของเหลวด้านในหายไปจนเกลี้ยง “ทีนี้ก็ตาเธอ” คุณสเตฟานดีดนิ้วเสียงดังเป๊าะ เหล้าฝรั่งราคาแพงระยับขวดหนึ่งถูกบอดี้การ์ดหน้าดุคนเดิมเอามาวางตั้งไว้ตรงกลางโต๊ะ คุณสเตฟานหันไปรินเหล้าจากขวดสวยเติมลงไปในแก้วอีกใบแล้วยกมันขึ้นมาจ่อตรงปากผม “ครับ” ผมเหลือบตาขึ้นไปมองรอยยิ้มของคุณสเตฟานแล้วปล่อยให้ของเหลวสีน้ำตาลทองในแก้วไหลลงคอ “อย่างนั้นแหละ ดีมาก” คุณสเตฟานยกยิ้มอย่างพอใจ “อ๊า...” ความเผ็ดร้อนบาดคอจนผมแทบสำลัก ดีกรีของเครื่องดื่มที่ค่อนข้างสูงทำให้ผมเหมือนถูกน้ำร้อนลวกตั้งแต่คอล่วงลงไปจนถึงกระเพาะด้านในมันร้อนวูบขึ้นมาทันที “ฮึ....ไหวหรือเปล่า” “ครับ ไหวครับ อ๊า...อื้อ” ผมหันกลับไปมองเหล้าขวดใหม่ที่เพิ่งจะถูกเปิดมือข้างหนึ่งยกขึ้นมากำรอบคอตัวเองเพราะรู้สึกแสบร้อนไปหมด ผมมองขวดเหล้าซึ่งยังมีน้ำสีชาอยู่ภายในเกือบเต็มขวดแล้วนึกถึงเงินจำนวนมากที่ผมจำเป็นต้องส่งกลับไปให้ทางบ้านในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่อยู่ในหัวบีบบังคับให้ผมต้องทนฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชื่นชอบเลยแม้แต่น้อย คุณสเตฟานเทเหล้าลงคอผมไปหกเจ็ดแก้วแล้ว หลังจากนั้นผมก็เริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ ความรู้สึกเหมือนหัวโตขยายใหญ่ หนักจนคอและบ่าของผมแบกมันไม่ไหว จนต้องเอนลงไปพิงทิ้งเอาไว้กับไหล่กว้าง มือที่เคยรินเหล้าถือแก้วยื่นส่งให้คุณสเตฟานตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ ผมได้แต่วางพักมันทิ้งไว้บนหน้าขาของคุณสเตฟาน ส่วนลูกค้าวีไอพีกระเป๋าหนักตอนนี้ทำหน้าที่รินเหล้ายื่นส่งเข้าปากผมไม่หยุด “เธอเมาแล้วเหรอ” เสียงกระซิบทุ้มกังวานดังอยู่ริมใบหูของผมพร้อมกับกลิ่นเหล้าเคล้าลงมากับลมหายใจอุ่นๆ “อื้อยังครับ...แค่มึนๆ” ผมกดหน้าผากพิงซอกคอแข็งๆ ของคุณสเตฟานพยายามจะยกมันขึ้นให้ตั้งตรงแต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนสุดท้ายผมก็คอพับทับทิ้งหัวตัวเองไว้กับไหล่กว้างทุกที “เวลาเมา...เธอน่ารักดีนะ” คุณสเตฟานยกเหล้าขึ้นมาจ่อปากผมอีกแก้ว “ยังต้องดื่มอีกเหรอครับ” “ถ้าเธอนั่งอยู่ได้จนเหล้าหมดขวด เงินห้าหมื่นจะเป็นของเธอ” คุณสเตฟานดีดนิ้วไปด้านหลังซึ่งมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนอยู่ หลังจากนั้นผมเห็นเงินปึกหนึ่งถูกนำมาวางลงตรงหน้าผม “นี่เงินห้าหมื่น เธอจำเป็นต้องใช้มันไม่ใช่เหรอ” “แค่หมดขวดนี่เหรอครับ” ผมมองเงินปึกใหญ่สลับกับเหล้าในขวดสวย “ใช่หมดขวดนี้” ผมตัดสินใจกระดกเหล้าที่คุณสเตฟานยกขึ้นมาให้ปล่อยให้ของเหลวนั้นไหลลงคอไปอีกแก้ว แม้ว่าตอนนี้หัวผมมันเหมือนกำลังจะระเบิด ร่างกายภายในร้อนอย่างกับมีใครไปจุดไฟก่อฟืนทิ้งเอาไว้แล้วไอ้เหล้าในขวดนั่นกินเท่าไหร่มันก็ไม่ยุบลงสักที เวลานี้ผมไม่ได้ฝากคุณสเตฟานเอาไว้แค่หัวแต่ตัวผมทั้งตัวเอนซบอยู่กับแผงอกกว้าง ไอร้อนจากร่างกายของผู้ชายต่างชาติแผ่ออกมาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ปะปนไปกับกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ “ผมไม่ไหวแล้ว...” ผมพูดกับแผงอกซึ่งมีรอยสักรูปนกอินทรีโผล่ออกมาจากปกเสื้อเชิ้ตซึ่งมันถูกปลดกระดุมออกไปสองเม็ด แขนสองข้างต้องเหนี่ยวรั้งท้ายทอยหนานั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองไหลร่วงลงไปกองบนพื้นห้อง “ถ้าเหล้าไม่หมดฉันไม่จ่ายนะ” ลูกค้าฝรั่งของผมพูดขู่ “แต่ผม...ไม่ไหวแล้ว” ผมเอนตัวพิงไปกับพนักโซฟาหนัง สีแดงเลือดนก สมองพร่าเลือนจนแทบแยกแยะอะไรไม่ออก ได้ยินแค่เสียงทุ้มห้าวกระซิบลงมาข้างหู “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เธอไปกับฉันนะแก๊ป” คุณสเตฟานโน้มตัวลงมากระซิบใกล้ๆ หูผม ดวงตาสีเข้มเต้นไหวในความสลัวของ ห้องแดงที่แสงสว่างน้อยเหลือเกิน “ผมไม่ขาย” “ถ้าไม่ขายอย่างนั้น...ฉันขอแค่จูบ เหล้าอีกครึ่งขวดที่เหลือแลกจูบของเธอ” ผมเผยอปากตั้งใจจะปฏิเสธแต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ ริมฝีปากอันร้อนผ่าวกดลงมาบนปากของผม แรงกดบดเคล้าเร่าร้อนหนักหน่วง ฝ่ามือหนาช้อนลงไปใต้สะโพกแล้วอุ้มยกผมลอยขึ้นมาวางเอาไว้บนตัก หัวผมมันหนักจนไม่รู้จะย้ายมันหลบไปทางไหน ความรู้สึกเหมือนมีมือใครสักคนกดด้านหลังตรงท้ายทอยจนผมขยับไปทางไหนไม่ได้อีก เรียวลิ้นร้อนของคุณสเตฟานเหมือนมันมีชีวิต มันดุนแทรกสอดลึกเข้ามาแล้วดึงเกี่ยวยึดลิ้น ยึดปาก ยึดทุกอย่างไปจากผมไม่หลงเหลือแม้แต่ความเป็นตัวของตัวเอง แก้มก้นบนหน้าตักถูกฝ่ามือหนานั้นบีบเคล้นเฟ้นหนักจนผมเผลอครางออกมา “อ๊า” ผมรู้สึกตัวลอยเบาหวิวก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสแตะลงบนเตียงหรือที่นอนอะไรสักอย่างตามมาด้วยร่างหนาซึ่งทาบทับบดเบียดลงมาพร้อมจูบอันเผ็ดร้อนรุนแรง ผมรู้สึกเหมือนปากตัวเองบวมเจ่อร้อนวูบวาบเพราะรสจูบของคุณสเตฟานที่ไม่ยอมถอนออกไปเสียที ลิ้นของผมถูกดูดจนมันชาไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งหน้าอก หน้าท้อง เอว สะโพกล้วนถูกอุ้งมือหนาบีบเคล้นเฟ้นจนตัวผมแทบแตก “อื้อ....ร้านปิดแล้วครับ” ผมรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเฮือกสุดท้ายยันเอาตัวเองถอยห่างออกมาจากใต้ร่างของคนที่ขังผมเอาไว้ด้วยกล้ามแขนและท่อนขาได้สำเร็จในที่สุด “อะไรนะ” คุณสเตฟานั่งหอบอยู่ตรงหน้าผม “เที่ยงคืนแล้วครับ ผมเลิกงานแล้ว บาร์ปิดแล้วครับ” ผมขยับตัวเองถอยห่างออกมาอย่างยากลำบาก ชี้นิ้วลงไปบนหน้าปัดนาฬิกาตรงข้อมือของคุณสเตฟาน ที่มันแวบผ่านสายตาผมเมื่อครู่ “แต่ว่าฉันยังไม่ได้...” “ร้านปิดแล้ว...คุณจูบผมแล้วด้วยแบบนี้ผมจะได้เงิน ห้าหมื่นมั้ยครับ” ผมนั่งหอบอยู่ห่างจากลูกค้าพิเศษไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน หันไปจ้องเงินปึกนั้นแล้วภาวนาของให้คุณสเตฟานรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผมเมื่อครู่ “ก็ได้ตกลง...นี่เงินค่าดริ๊งของเธอคืนนี้ห้าหมื่นบาทตามสัญญา” คุณสเตฟานยื่นเงินปึกใหญ่ส่งให้ผมตามสัญญา “ขอบคุณครับ” ผมกำธนบัตรปึกนั้นไว้แน่นด้วยความดีใจอย่างน้อยพรุ่งนี้ผมก็มีเงินส่งให้ที่บ้านแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม