เมื่อได้ฟังข้อมูลทั้งหมดจากฉัตรญาดามาแล้วภคชนท์ก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตามหาตัวเธอไม่เจอเพราะเธอเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าที่เธอทำแบบนั้นเพราะอยากจะหลบหนีเขาหรือเพราะอยากจะลืมเรื่องราวในอดีตเหมือนกับที่เขาเองก็เปลี่ยนชื่อ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามสิ่งที่หญิงสาวทำกับเขาในอดีตมันไม่เคยลืมเลือนไปจากใจเขาเลย แม้ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะแก้แค้นเธอยังไง
ภคชนท์ก็อยากจะเจอฉัตรรวีอีกสักครั้ง เขาอยากถามว่าความจริงในอดีตมันเป็นยังไงกันแน่ แต่ครั้งนี้เขาจะใช้สติไตร่ตรองให้มากขึ้นและจะต้องฟังสิ่งที่เธอพูดกับสิ่งที่น้องสาวของเธอพูดว่ามันตรงกันแค่ไหน ถ้าหากจะเลือกเชื่อใครสักคนระหว่างฉัตรรวีและฉัตรญาดาเขาก็คงเลือกที่จะเชื่อฉัตรญาดามากกว่า
ไม่ใช่เพราะเขากับเธอใกล้ชิดกันในตอนนี้แต่เพราะที่ผ่านมาในอดีตเขามองว่าฉัตรญาดาไม่เคยมีอะไรโกหกเขาเลยสักครั้ง แต่บางอย่างมันก็ยังคาใจถ้าหากฉัตรรวีคิดจะหลอกใช้เขาแล้วระหว่างที่เขาอยู่ในสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชนทำไมฉัตรรวีถึงยังเขียนจดหมายหาเขา เธอคอยให้กำลังใจปลอบใจและบอกให้เขาสู้บอกให้เขาเรียนจากข้างในนั้นเพื่อที่ออกมาจะได้มีอนาคตที่ดีขึ้น
ชายหนุ่มเชื่อฟังคำพูดในจดหมายของเธอทุกถ้อยคำ เขาตั้งใจเรียนและประพฤติตัวเป็นคนดีตลอดหนึ่งปีที่อยู่ในสถานพินิจแต่เรื่องมันก็เลวร้ายลงเมื่อหลังจากเขาอายุครบ 18 ปีก็ถูกย้ายไปยังเรือนจำ จากนั้นเขาและฉัตรรวีก็ไม่ติดต่อกันอีกเลย
เขาถามมารดาที่กลับมาร่วมงานศพของคุณยายแต่มารดาบอกว่าครอบครัวนั้นย้ายออกจากบ้านหลังเดิมไปตั้งแต่เกิดเรื่อง มันยิ่งทำให้ภคชนท์แปลกใจมากขึ้นเพราะจดหมายทุกฉบับที่เขาส่งมันก็จ่าหน้าซองไปที่บ้านหลังนั้นและได้รับการตอบกลับมา
มีเรื่องราวในอดีตอีกหลายอย่างที่ทำให้ภคชนท์สับสนและไม่รู้ว่าอะไรมันคือเรื่องจริงกันแน่
เขายังเก็บรวบรวมจดหมายทุกฉบับไว้กับตัวเองบางครั้งก็หยิบ มันขึ้นมาอ่านเพราะข้อความเหล่านั้นมันทำให้เขามีกำลังใจในการเรียนมีกำลังใจในการต่อสู้และใช้ชีวิตให้ดีกว่าเดิม
หลังจากส่งฉัตรญาดาที่บริษัทแล้วภคชนท์ก็ขับรถมาที่ร้านของกษิเดชซึ่งภูวริษมารออยู่ก่อนแล้ว
“หน้าเครียดมาเชียวมีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันคุยกับญาดาเธอบอกว่าพี่สาวของเธอเปลี่ยนชื่อและนามสกุลไปแล้วและตอนนี้ญาดากับพี่สาวก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย” เขาถอนหายใจก่อนจะนั่งลงเหมือนคนหมดหวัง
“นี่นายถามคุณญาดาไปตรงๆ เลยเหรอ นายบอกเธอแล้วเหรอว่านานเป็นใคร” ภูวริษค่อนข้างตกใจเพราะคิดว่ามันคงเร็วไปที่จะเปิดเผยตัวว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
“เปล่าหรอกเราคุยกันหลายเรื่องแล้วเธอก็พูดถึงบางเรื่องในอดีตให้ฟัง”
ภคชนท์เล่าเรื่องที่เขาคุยกับฉัตรญาดาให้เพื่อนฟังอย่างละเอียดอีกครั้ง เหตุผลที่เขาคุยกับภูวริษทุกเรื่องก็เพราะตอนที่เขาออกจากเรือนจำแล้วย้ายไปอยู่กับมารดาที่อเมริกาเขามีอาการซึมเศร้าและเก็บตัวจนมารดาต้องพาไปพบจิตแพทย์
ชายหนุ่มรักษาอาการซึมเศร้าและจิตแพทย์แนะนำว่าเขาควรมีใครสักคนที่พูดคุยปรึกษาทุกเรื่องและภูวริษก็คือเพื่อนคนเดียวที่ภคชนท์ยังติดต่อด้วยแม้จะเปลี่ยนชื่อนามสกุลและย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ตามแต่ทุกครั้งที่ได้พูดได้ระบายเรื่องต่างๆ ออกมามันทำให้จิตใจเขาสงบมากขึ้น แม้ตอนนี้จะหายขาดจากโรคซึมเศร้าและหยุดทานยามาหลายปีแต่ภคชนท์ก็ยังติดนิสัยเดิมคือเล่าเรื่องทุกอย่างให้กับภูวริษฟัง
“แล้วคุณญาดาได้บอกได้ไหมว่าพี่สาวของเธอเปลี่ยนไปชื่ออะไรเราจะได้ช่วยกันหาว่าตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหน”
“ฉันไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรไปถามน่ะ เอาไว้รอให้สนิทกว่านี้ค่อยถามก็ได้”
“นายจะเอายังไงต่อล่ะจะจ้างเธอทำงานต่อไปไหม”
“เธอไม่ผิดอะไรนี่”
“ถ้าเจอกับรู้ดีรวีอีกครั้งนายจะจำเธอได้ไหม”
“ถ้าเธอไม่ไปทำศัลยกรรมฉันคิดว่าต้องจำได้”
“แล้วคิดไว้หรือยังว่าจะทำยังไงกับเธอ”
“ก็กำลังคิดอยู่”
“ฉันว่ามันผ่านมาเป็นสิบปีแล้วนะชนท์ ลืมได้ก็ควรลืมมันไม่ดีกับตัวนายเองเลยนะ”
“แล้วถ้าเป็นนายโดนแบบฉันนายจะลืมไหมล่ะ” เขาถามกลับ
“ก็ยากที่จะลืมแต่การแก้แค้นก็ไม่ใช่ทางออก อย่าลืมนะว่าเธอเป็นผู้หญิง” เขาเตือนด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ว่าภคชนท์เคยป่วยมาแล้วเพราะความเครียด
“ไหนว่าผู้หญิง ผู้ชายเท่าเทียมกันไงล่ะ”
“มันก็ใช่แต่ฉันนึกไม่ออกว่าจะแก้แค้นยังไง”
“อันดับแรกก็ต้องทำให้เธอสนใจฉัน หลงฉันและทำทุกอย่างเพื่อฉันเหมือนที่ฉันทำทุกอย่างเพื่อเธอเมื่อสิบปีก่อน”
“ถ้านายไม่ปล่อยวางก็จะไม่มีความสุขเลยนะชนท์” ภูวริษเตือนเพราะไม่อยากเห็นเพื่อนจมอยู่กับความทุกข์
“ความสุขของฉันมันหายไปแล้วตั้งแต่วันที่ฉันตัดสินใจช่วยรวีแล้วล่ะ” น้ำเสียงของภคชนท์เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ฉันรู้ว่ามันทำใจลืมยากฉันก็แค่เป็นห่วงกลัวว่านายจะทำอะไรเธอแล้วต้องกลับเข้าไปอยู่ในนั้นอีก”
“ไม่มีทางหรอก ในเมื่อรวีใช้ความรักของฉันมาทำร้ายฉัน ฉันก็จะใช้ความรักทำร้ายเธอบ้าง”
“ถ้าเธอมาขอโทษมาอธิบายเหตุผลที่เงียบหายไปล่ะ นายคิดว่าจะยกโทษให้เธอได้ไหม”
“ฉันว่ามันสายไปแล้วนะภู เวลามันผ่านไปนานมันทำให้ฉันรู้และเข้าใจดีเลยว่ารวีไม่เคยเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย เธอก็แค่หลอกใช้แค่นั้นเอง”
“มันก็ใช่”
“นายรู้มั้ยอะไรที่ฉันให้ทำให้ฉันเสียใจที่สุด”
“ก็เรื่องที่นายรับผิดแทนเธอยังไงล่ะ”
“เรื่องนั้นก็ใช่แต่มีอีกเรื่องที่ฉันรู้สึกเสียใจและไม่อาจให้อภัยรวีได้”
“เรื่องอะไร”
“ก่อนฉันจะถูกพาตัวไปอยู่สถานพินิจฉันฝากให้รวีช่วยดูแลยายแต่เธอไม่ทำ”
“เธอก็อาจจะดูแลแต่นายอาจไม่รู้ก็ได้นะ”
“มันก็ใช่ที่ฉันอาจจะไม่รู้ แต่ในงานศพยายรวีไม่มาเลยสักวัน”
“นายรู้ได้ยังไง”
“ฉันถามแม่”
“แม่ของนายอาจจะไม่รู้จักรวีก็ได้”
“ทำไมแม่จะไม่รู้จักล่ะบ้านเราอยู่ติดกันมานานแม่บอกว่ามีแต่ญาดาที่มาช่วยงานทุกวันทั้งที่ตอนนั้นบ้านของรวีไม่มีคนอยู่แล้ว”
“ฉันว่าถ้ามีโอกาสนายต้องถามญาดานะว่าระหว่างที่นายไม่อยู่มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“นายจะให้ฉันบอกเธอเหรอว่าฉันเป็นใคร”
“เปล่าหรอกนายก็แค่สนิทกับเธอให้มากขึ้น ทำให้เธอไว้ใจเธออาจจะเล่าเรื่องในอดีตให้นายฟังเหมือนอย่างที่เธอเล่าเรื่องพี่สาวก็ได้”
“ฉันจะลองทำตามดูนะ”
“ฉันให้นายหลอกถามจากคุณญาดานะแต่ไม่ใช่ให้นายแก้แค้นที่เธอ”
“ญาดากับรวีมันคนละคนกันและฉันก็แยกแยะออก”