ตอนที่ 2
มันยังไงกันแน่
หลังเลิกงานภคชนม์ก็โทรศัพท์ไปชวนภูวริษเพื่อนสนิทสมัยมัธยมให้ออกมาดื่มด้วยกันร้านอาหารกึ่งผับของกษิเดชรุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยตั้งแต่ก่อนไปเรียนต่างประเทศ เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็ตรงไปยังมุมในสุดของร้านซึ่งเป็นที่นั่งประจำของกับเพื่อน
“สวัสดีครับพี่เดชวันนี้ลูกค้าเยอะนะครับ” เขาทักทายกษิเดชที่เดินเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นรุ่นน้องเดินเข้ามาในร้าน
“ช่วงต้นเดือนก็แบบนี้ คนเยอะกว่าปกติกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังครับ หิวมากเลย”
เมื่อรุ่นน้องพูดแบบนั้นเขาก็เรียกพนักงานมาและสั่งอาหารให้โดยที่ภคชนท์ไม่ต้องบอกว่าจะกินอะไร
“นึกยังไงมาคนเดียวหรือไม่มีคนคบแล้ว” กษิเดชแซวรุ่นน้องยังไม่จริงจัง
“ก็เกือบไม่มีคนคบแล้วเหมือนกันครับ ดีที่ยังเหลือไอ้หมอภูกับพี่เดชอีกตั้งสองคนนะครับ”
“แล้วเพื่อนคนอื่นนี่เขาไม่คบหรือเพราะนายไม่ติดต่อพวกเขากันล่ะ” กษิเดชนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วชวนรุ่นน้องคุย
“ผมก็อยากติดต่อนะครับแต่ก็ขี้เกียจอธิบาย ว่าทำไมชีวิตถึงเปลี่ยนไป”
“เรื่องของนายจะมีกี่คนกันนะที่รู้ความจริง” เขามองด้วยแววตาที่เห็นใจ
“ถึงพวกเขาจะรู้ความจริงมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอกครับพี่เดช ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจไปอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
“นี่คือเหตุผลที่นายเปลี่ยนชื่อและนามสกุลหรือเปล่า”
“ก็ประมาณนั้นครับพี่ ถ้าผมยังใช้ชื่อเดิมคนที่เคยรู้จักก็คงมองผมด้วยสายตารังเกียจ คำว่าฆาตกรมันตามหลอกหลอนผมไปตลอด”
“พี่สงสารนายนะที่เจอกับความรักแย่ๆ ตั้งแต่ครั้งแรก”
“ผมว่าอย่าโทษความรักเลยครับพี่เดช โทษที่ตัวคนมากกว่า” ภูวริษพูดแทรกขึ้นเขารู้เรื่องเราทุกอย่างแตกต่างไปจากคนอื่นเพราะภคชนท์เล่าความจริงให้ฟังตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องขึ้น แต่ตอนนั้นเขาก็ห้ามเพื่อนตัวเองไม่ได้ ถ้ารู้ว่าเรื่องทุกอย่างมันจะเลวร้ายเขาคงต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับตำรวจ ภูวริษยังคงโทษว่าเป็นความผิดของตนเองมาจนถึงตอนนี้
“พูดเหมือนเคยมีความรักเลยนะภู” กษิเดชพูดกับเพื่อนรุ่นน้องพลางหัวเราะเพราะตั้งแต่รู้จักกับหมอภูวริษมานานถึงสามปีเขาก็ยังไม่เคยเห็นคุณหมอคนนี้มีแฟนเลยสักคน
“สวัสดีครับพี่เดช ถึงผมจะไม่เคยมีความรักแต่ผมก็พอรู้มาบ้าง ว่าแต่พี่เถอะครั้งก่อนที่ผมมาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งตัวติดกับพี่ตลอดแล้ววันนี้เธอไปไหนแล้วล่ะครับ” ภูวริษยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับภคชนท์
“อย่าสนใจเรื่องของพี่เลยน่า พี่ว่าเราสนใจเรื่องของนายชนท์ดีกว่าดูว่าวันนี้จะอารมณ์ดีแปลกๆ กมีข่าวดีอะไรหรือเปล่า”
“พี่เดชนี่รู้ทันผมจริงๆ เลยนะ”
“ข่าวดีอะไรวะ” ภูวริษก็สนใจอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้เพื่อนดูอารมณ์ดีผิดปกติ
“ฉันเจอเธอแล้ว” เขายิ้มเจ้าเล่ห์แววตาเป็นประกาย
“เจอใครวะหรือว่านายเจอรวี”
ภูวริษเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมาทำให้สีหน้าของภคชนม์เปลี่ยนไป นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินชื่อนี้ออกจากปากคนอื่นเพราะส่วนใหญ่จะได้ยินชื่อนี้ก้องอยู่ในหัวของตัวเองมาตลอด
“ไม่ใช่รวีหรอก”
“แล้วเจอใครทำไมถึงดูดีใจจังล่ะพี่ว่าคนที่เจอต้องเป็นคนที่มีความสำคัญมากกับนายแน่ๆ”
“เจอน้องสาวของรวี”
“อ๋อ เด็กที่คอยตามนายกับรวีนะเหรอ โตขึ้นเยอะแล้วสินะ”
“อือ ก็มันผ่านมาสิบปีแล้ว”
“แล้วสวยสู้รวีได้ไหมล่ะ” ภูวริษรู้จักคนรักเก่าของเพื่อนดีเพราะหญิงสาวเป็นดาวเด่นของโรงเรียนเธอทั้งสวยและเรียนเก่งอีกทั้งยังเป็นนักกิจกรรมตัวยงไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักเธอ
“สวยนะแต่สวยคนละแบบ”
“แล้วนายได้ถามเธอไหมว่าตอนนี้รวีทำอะไรอยู่ที่ไหนเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“มันยังไงกันแน่ล่ะชนท์พี่งงนะ” กษิเดชที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้ว
“ผมยังไม่ได้คุยกับเธอครับพี่เดช คงต้องรอคุยกันอีกทีวันอังคาร”
“นายช่วยเล่าแบบทีเดียวจบเลยได้ไหมวะชนท์ ฉันกับพี่เดชคิดตามจนปวดหัวแล้วนะ”
“ที่บอกว่าเจอก็คือวันนี้ฉันรับผู้ช่วยคนใหม่แล้วพอดีว่าหนึ่งในคนที่มาสมัครคือญาดาน้องสาวคงรวีน่ะ”
“นายเลยรับน้องสาวของคนรักเก่าเข้าทำงานเหรอ”
“อย่าเรียกว่าคนรักเก่าเลยฉันว่ารวีอาจไม่เคยรักฉันและเธอคงเห็นฉันเป็นแค่เด็กสักคนที่เธอเอาไว้เรียกใช้ ส่วนฉันก็คงหลงเธอจนมองไม่ออกว่าที่เธอทำดีด้วยนั้นมันเพราะอะไรกันแน่”
“แล้วนายรับน้องสาวของเธอมาทำงานด้วยเพราะอยากได้คนช่วยงานหรือเพราะเธอคือน้องสาวของรวีกันแน่ล่ะ” กษิเดชถามรุ่นน้องด้วยความไม่สบายใจ เขาไม่อยากให้ภคชนท์กลับไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อรวีอีกต่อไปแล้ว
“ผมไม่ได้รับเพราะเธอเป็นน้องของรวีหรอกครับ แต่ที่ผมรับเพราะเธอมีคุณสมบัติครบเหมือนกับคนอื่นที่มาสมัครน่ะ”
“แต่นายก็เลือกเธอแทนที่จะเลือกคนอื่นฉันว่านายต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ บอกฉันกับพี่เดชมานะว่าจากนี้นายวางแผนจะทำอะไรต่อ”
“ฉันยังคิดไม่ออกเลยขอเจอเธอก่อนก็แล้วกัน เผื่อว่าได้คุยกับเธอแล้วจะนึกอะไรออกบ้าง”
“นายคิดว่าน้องเขาจะจำนายได้ไหม”
“คงไม่หรอกขนาดฉันยังจำเธอไม่ได้เลย ถ้าไม่เห็นชื่อกับนามสกุลคงไม่รู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของรวี”
“แล้วแน่ใจเหรอว่าใช่น้องของรวีจริงๆ ไม่ใช่ว่าคนอื่นที่มีชื่อกับนามสกุลเหมือนกันหรอกนะ”
“ถ้าชื่อกับนามสกุลซ้ำกันก็คงจะพอมีแต่คงเจอได้น้อยมาก แต่ที่ฉันมั่นใจก็เพราะประวัติการศึกษาฉัตรญาดาคนนี้เธอเรียนโรงเรียนเดียวกับเราตั้งแต่ ม. 1 ถึง ม. 6 เลยนะ”
“ถ้าเธอนี้เรียนที่เดิมแล้วทำไมบ้านของรวีถึงไม่มีคนอยู่ล่ะ นายว่ามันแปลกใหม่ชนท์
“นั่นสินะ” นี่เป็นคำถามที่ภคชนท์ต้องหาคำตอบให้ได้เขาอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขาเข้าไปอยู่ในสถานที่ซึ่งยากต่อการรับรู้เรื่องราวจากโลกภายนอก