ผู้มีพระคุณ 3

1939 คำ
ผู้มีพระคุณ ‘ลูกอีกะหรี่!’ แววตาของเด็กอายุสิบแปดแข็งกร้าวขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำคำนั้น และไม่รอให้อีกฝ่ายได้พ่นอะไรออกมาอีก เธอก็วิ่งเข้าไปผลักเมียของพ่ออย่างแรงจนล้มลงไปพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่ดังลั่นบ้าน ทำให้ภิญญาพัชญ์กับภวัตที่อยู่ห้องนั่งเล่นรีบวิ่งออกมาดูมารดาของตัวเอง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ภิญญาพัชญ์วิ่งเข้ามาผลักวิลาสินีด้วยความโกรธ ส่วนภวัตก็เข้าไปประคองแม่ตัวเองลุกขึ้น รัมภาโกรธมากและด่าเธอรุนแรงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังจะพุ่งเข้ามาทำร้ายซ้ำ กลายเป็นว่าตอนนั้นวิลาสินีถูกทั้งรัมภาและภิญญาพัชญ์รุมทำร้าย ทั้งด่าทอ ทั้งตบตี ส่วนภวัตนั้นคอยห้ามหากก็ไม่สามารถห้ามได้ ในตอนนั้นเด็กสาวบอกกับตัวเองว่าเธอจะไม่ยอมให้สองคนนี้อีกแล้ว เธอจึงฮึดแรงสู้ ไม่ได้มีศิลปะป้องกันตัวหรือมีวิชาแม่ไม้มวยไทยใด ๆ ทั้งนั้น เธอใช้เพียงไหวพริบที่มีอยู่ ทั้งถีบ ทั้งตบ ทั้งจิก ทั้งกัด เรียกได้ว่าสู้ขาดใจ แม้เธอจะตัวคนเดียวก็ตาม มีจังหวะหนึ่งที่ภิญญาพัชญ์เสียหลักล้มลงไปเพราะโดนเธอถีบ วิลาสินีไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ เธอรีบตามไปขึ้นคร่อม แล้วรัวมือใส่ใบหน้าน้องสาวต่างมารดาที่อายุห่างจากเธอเพียงแค่ปีเดียวด้วยความโกรธจัดจนขาดความยับยั้งชั่งใจ ‘หยุด!!’ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงทรงอำนาจของบิดาดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่สืบเท้าหนัก ๆ เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปมอง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ใบหน้าของเธอก็หันไปตามแรงตบของฝ่ามือใหญ่ ก่อนจะกระชากเธอขึ้นแล้วผลักออกไปจนเธอล้มกระแทกพื้นอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ พยุงลูกสาวคนเล็กขึ้นย่างทะนุถนอม มองสำรวจร่องรอยตามตัว ไม่นานก็หันมามองเธอด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะชี้หน้าเธอแล้วเอ่ยขึ้นเสียงดังกังวานด้วยความโกรธเกรี้ยว ‘ออกไปจากบ้านของกูเดี๋ยวนี้ แล้วอย่ากลับมาให้กูเห็นหน้ามึงอีก!’ สิ้นประโยคนั้นโลกทั้งใบของเด็กผู้หญิงอายุสิบแปดก็พังทลายลง รู้สึกไร้ที่พึ่งด้วยตอนนั้นเธอไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง เงินในบัญชีก็ไม่มีสักแดงเดียว เธอเรียนโรงเรียนดังและค่าเทอมแพงมากก็จริง แต่ได้เงินไปโรงเรียนเป็นเงินสดเพียงแค่วันละหนึ่งร้อยบาทเท่านั้น ต่างจากลูกอีกสองคนที่ได้มากกว่าเธอหลายเท่า เพราะมีคนเป็นแม่ให้ท้าย ทว่าเพียงไม่กี่นาทีต่อมาเรื่องที่เกิดขึ้นบนบ้านใหญ่ก็ถึงหูคุณย่าที่นั่งเล่นอยู่เรือนไม้หลังเล็ก เมื่อรู้ข่าวหญิงสูงวัยก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางรีบขึ้นไปบนบ้านเพื่อคุยกับลูกชายของตนให้ใจเย็นลง แต่แล้วก็ได้รับคำยืนยันมาอย่างหนักแน่น ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องออกจากบ้านนี้ไปให้เร็วที่สุด อีกทั้งยังได้ยินเสียงของรัมภาดังแทรกขึ้นมาว่า ‘ให้มันไปแต่ตัว ห้ามเอาอะไรที่เป็นของบ้านนี้ออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว!’ ได้ยินแบบนั้นผู้สูงวัยก็คร้านที่จะพูดอะไรต่อ นางเดินมากอดหลานสาวที่ยังร้องไห้จนตัวสั่นไว้แนบอก พลางลูบหลังเบา ๆ อย่างปลอบใจ ‘ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรนะ วิวยังมีย่าอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัว’ คำว่า ‘วิวยังมีย่าอยู่ทั้งคน’ เหมือนหยาดน้ำทิพย์ที่ชโลมจิตใจที่อ่อนแอของเด็กสาวในตอนนั้น เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ นั้นทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้น ในโชคชะตาชีวิตที่โหดร้ายมาตั้งแต่เด็ก ก็ยังมีเรื่องดี ๆ หลงเหลืออยู่... และในคืนนั้นกรุณาก็สั่งให้คนออกรถ พาเธอไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งก่อน วันถัดมาก็พาเธอไปเปิดบัญชีธนาคารพร้อมทั้งโอนเงินให้จำนวนหนึ่ง พออาทิตย์ต่อมาก็ทำเรื่องซื้อคอนโดมิเนียมให้เป็นชื่อเธอหนึ่งห้อง ยอมจ่ายในราคาสูงลิ่วเพื่อซื้อความปลอดภัยให้คนเป็นหลาน และด้วยความเกรงใจวิลาสินีจึงพยายามปฏิเสธ แล้วขอแค่ห้องเช่าธรรมดา ๆ ก็พอ หลังจากนั้นเธอก็จะหางานทำเพื่อจ่ายค่าเช่าและเป็นค่าใช้จ่าย ทว่าคุณย่ากรุณากลับส่ายหน้าพร้อมให้เหตุผลว่า ‘ยังไงวิวก็เป็นหลานย่า และวิวต้องเรียนต่อนะ เอาใบปริญญามาอวดย่าให้ได้ ย่าจะรอ’ เธอซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล กอดผู้สูงวัยแน่น บุญคุณนี้ไม่รู้จะทดแทนกี่ชาติถึงจะหมด มันมากเสียเหลือเกิน... “อยู่กินข้าวเย็นกับย่าก่อนสิ” เสียงแหบระโหยโรยแรงของคุณย่าดึงหญิงสาวที่กำลังจมลึกอยู่กับอดีตให้ลืมตาขึ้น กรุณาทอดมองคนเป็นหลานที่นอนหนุนตักด้วยความเอื้ออาทร รู้สึกภูมิใจที่เห็นคนที่เฝ้าเลี้ยงดูเติบโตมาอย่างดี แม้จะรู้ว่าหลานคนนี้เกเรไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้นางเลยสักครั้ง วิลาสินีนิ่งคิดไปสักพักใหญ่ ๆ ก่อนจะเลือกส่ายหน้าปฏิเสธ “วิวขออนุญาตปฏิเสธนะคะ วิว...” “ย่าเข้าใจ เอาไว้เดี๋ยวเรานัดเจอกันข้างนอกก็ได้” กรุณาเข้าใจเหตุผลของหญิงสาว เธอคงลำบากใจหากต้องเผชิญหน้ากับสมาชิกคนอื่น ๆ ของบ้านหลังนี้ “ถ้าวันไหนทางสะดวก เดี๋ยววิวแวะมาหาคุณย่าที่บ้านบ่อย ๆ ก็ได้ค่ะ คุณย่าจะได้ไม่ต้องลำบากออกไปข้างนอก” วิลาสินีบอก เธอตั้งใจจะขอเบอร์ติดต่อของแม่นมพร เพื่อจะได้โทร. ถามไถ่กันบ้าง รวมถึงโทร. เช็กว่าวันนั้นมี ‘คนอื่น’ อยู่บ้านด้วยไหม เธอจะได้เข้ามาหาคุณย่าได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับใครให้เกิดอารมณ์ อันที่จริงช่วงแรก ๆ ที่ออกจากบ้านไป เธอก็ติดต่อกับคุณย่าและแม่นมพรเป็นประจำ ทว่าช่วงปีหลัง ๆ ก็เริ่มห่าง ๆ หายกันบ้าง จนขาดการติดต่อกันในช่วงหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ซึ่งเธอก็พอจะรู้เหตุผลว่าคงโดนภรรยาของพ่อสั่งห้าม หรืออาจจะขู่ด้วยอะไรสักอย่าง เธอรู้นิสัยของผู้หญิงคนนี้ดี หากได้เกลียดใครแล้วก็เกลียดเข้าไส้ และจะไม่มีความปรานีเลย “เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วช่วงนี้งานเป็นไงบ้าง” “ก็มีมาเรื่อย ๆ ค่ะคุณย่า ช่วงนี้เป็นช่วงกอบโกยวิวก็รับไว้ทุกงานเลย” ขึ้นชื่อว่า ‘นางแบบ’ แน่นอนว่างานนี้มันมีเวลาของมัน ช่วงนี้ทั้งรูปร่างและอายุของเธอยังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่พออีกหน่อยมีนางแบบหน้าใหม่ ๆ เข้ามา แถมยังเด็กกว่า ผิวพรรณดีกว่า มันก็จะหมดเวลาของเธอและนางแบบรุ่นเก่า ๆ ไป “แล้วเงินที่ย่าโอนให้ ได้ใช้บ้างหรือเปล่า” ผู้สูงวัยถามต่อ วิลาสินียิ้มแล้วลุกขึ้นมานั่ง ก้มลงกราบตักท่านอย่างสุดซึ้งที่เมตตา ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ “ตั้งแต่เรียนจบวิวก็ไม่ได้ใช้เลยค่ะ วิวว่าจะบอกคุณย่าหลายครั้งแล้ว แต่ก็ลืม ต่อไปนี้คุณย่าไม่ต้องโอนเงินให้วิวแล้วนะคะ แค่ที่มีอยู่ตอนนี้มันก็เยอะมาก ๆ แล้ว” “ย่าเก็บไว้ ย่าก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี เอาให้วิวแหละดีแล้ว” “ให้วิวหมด เดี๋ยวหลานอีกสองคนจะน้อยใจเอาน้า” เธอแกล้งเย้าแหย่คนมากวัยถึงหลานอีกสองคนของท่าน ซึ่งก็คือภวัตกับภิญญาพัชญ์ กรุณาส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ตาเวก็โตมากแล้ว เขาหาเงินเองได้ ไม่มาห่วงอยากได้เงินจากย่าหรอก ส่วนยายวาก็ได้จากแม่เขา เยอะกว่าที่ย่ามีไม่รู้ตั้งกี่เท่า เงินย่าน่ะเก็บเอาไว้ให้วิวใช้ดีกว่า” “แต่วิวก็หาเงินเองได้แล้วนะคะ จริง ๆ ควรเป็นวิวด้วยซ้ำที่ต้องให้เงินคุณย่าใช้” “วิวเก็บเอาไว้เถอะ ย่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตอนนี้พ่อของเราก็ยังให้ย่าใช้ทุกเดือน แถมให้มากกว่าแต่ก่อนด้วย พ่อเขาคงรู้ว่าย่าเอาให้วิว เลยเพิ่มให้เผื่อวิวด้วย” หญิงสาวได้แต่ยิ้มบาง ๆ เธอไม่รู้ว่าที่กรุณาเล่านั้นจะจริงหรือไม่ หรืออาจจะพูดเพื่อให้เธอไม่เกลียดผู้ให้กำเนิด แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่สามารถลบภาพจำของ ‘พ่อ’ ในวันที่ไล่เธอออกจากบ้านได้ ครั้นก้มมองนาฬิกาข้อมือ เห็นว่าเย็นมากแล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจกล่าวลาผู้สูงวัย “วิวต้องกลับแล้วนะคะ เดี๋ยววันหลังวิวมาหาใหม่” “จ้ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ ขาดเหลืออะไรก็บอกย่า อ้อ เกือบลืมแน่ะ วันเกิดย่าปีนี้ ย่าอยากให้วิวมานะ ย่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับทุกคน” “เรื่องอะไรเหรอคะ” “เอาไว้ถึงวันแล้วย่าจะบอก วิวต้องมานะ” หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง หากเธอมาร่วมงานนั่นก็แปลว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับทุกคน แต่ถ้าจะให้ปฏิเสธเธอก็ทำไม่ลง เพราะดูเหมือนว่าคุณย่าจะคุยเรื่องสำคัญและอยากให้เธอมาร่วมฟังจริง ๆ ท่านถึงได้ใช้คำว่า ‘ต้องมา’ สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจพยักหน้ารับปาก “ได้ค่ะ วิวจะมา” จากนั้นผู้สูงวัยก็เดินออกมาส่งวิลาสินีที่หน้าบ้านโดยใช้ไม้เท้าและมีหลานสาวช่วยพยุง พร้อมทั้งแม่นมพรที่เดินตามหลังมาติด ๆ “คุณท่านก็ดื้อแบบนี้ละค่ะ แม่บอกอะไรก็ไม่ค่อยจะฟังเลย” แม่บ้านคนเก่าแก่อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ เมื่อคนป่วยรั้นที่จะเดินออกมาส่งหลานสาวถึงหน้าบ้านให้ได้ “ฉันแค่อยากมาเดินออกกำลังกายบ้าง อยู่แต่ในบ้านมันอุดอู้” กรุณาตอบพลางส่ายหน้าเบา ๆ “แม่พรก็ยังไม่แก่มากเสียหน่อย ทำไมชอบบ่นให้ฉันจังเลย” “ก็คุณท่านชอบดื้อนี่คะ ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนแต่ก่อนแล้ว เดินขึ้นลงบันไดก็ลำบาก บอกให้ลงมานอนห้องข้างล่างก็ไม่ยอม” “เรื่องนี้วิวเห็นด้วยกับแม่พรนะคะ คุณย่าควรลงมานอนข้างล่าง เดินขึ้นลงบันไดแบบนั้นมันอันตราย” วิลาสินีเสริมขึ้นอีกคน “ย่าไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก อีกอย่างย่าชินแล้ว” ได้ยินแบบนั้นแม่บ้านสูงวัยก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “เป็นแบบนี้แหละค่ะหนูวิว แม่พูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว แต่คุณท่านก็ดื้อทุกครั้ง” วิลาสินีได้แต่ยิ้มด้วยไม่รู้จะพูดอะไร นี่คงเป็นอาการอย่างหนึ่งของคนแก่สินะ ดื้อรั้น ไม่ยอมฟังใคร “งั้น...” หญิงสาวกำลังจะพูดต่อ ทว่าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “ก็นึกว่ารถใครมาจอดอยู่หน้าบ้าน ที่แท้ก็รถของลูกอีกะหรี่นี่เอง!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม