เสียงเครื่องมือกระทบกันดัง กริ๊ง ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำมันเครื่องอุ่น ๆ ในอู่ซ่อมรถของบ้านที่ฉันคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
“ไอนุ่น! มีรถมาให้แกช่วยดูหน่อย” เสียงพ่อดังลอดมาจากอีกมุมของอู่ แทรกผ่านเสียงลมร้อนจากพัดลมเก่า ๆ ที่หมุนเอื่อย ๆ อยู่บนเพดาน
ฉันซุกตัวอยู่ใต้ท้องรถ กำลังขันน็อตอย่างตั้งใจจนเหงื่อซึมเต็มขมับ มือทั้งสองเปื้อนคราบน้ำมันดำ ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนอย่างฉัน
“แป๊บนึงได้ไหมพ่อ! ไม่เห็นเหรอว่าหนูกำลังจัดการคันนี้อยู่!” ฉันตะโกนตอบกลับ พลางใช้ไหล่ดันตัวเองออกมาจากใต้ท้องรถอย่างเชื่องช้า
แสงแดดอุ่น ๆ จากข้างนอกรอดผ่านประตูเหล็กบานใหญ่สาดเข้ามา ฉันยกมือปาดเหงื่อที่ซึมตรงหน้าผาก ก่อนจะคว้าผ้าขี้ริ้วมาเช็ดคราบน้ำมันจากมือหยาบ ๆ ของตัวเองอย่างเคยชิน
“ลูกสาวเหรอพี่ เก่งจังนะ ซ่อมรถเองได้ด้วย” เสียงลูกค้าดังขึ้นจากทางหน้าอู่ ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่าเป็นคนรู้จักของพ่อ
“เออสิวะ เลี้ยงเอง สอนเองมากับมือ” พ่อตอบเสียงภูมิใจ
“แบบนี้ก็มาสานต่อกิจการได้สบายเลยสิ” เสียงนั้นแฝงความชื่นชมปนเอ็นดู
พ่อถอนหายใจเบา ๆ ก่อนบ่นไปพลาง “มันจะทำหรือเปล่าก็ไม่รู้ กูอยากให้ต่อช่างยนต์ แต่นังนี่ดันไปเรียนคอมพิวเตอร์ ไม่รู้อะไรของมัน”
เสียงหัวเราะดังขึ้น “ฮ่า ๆ ก็ลูกพี่เป็นผู้หญิงนี่นา คงอยากทำงานแบบผู้หญิงคนอื่นเขาทำกันแหละ”
ฉันที่ยืนอยู่ไม่ไกลอดไม่ได้ที่จะโผล่หน้าออกมาแทรกบทสนทนา “โธ่พ่อ คนเรามีความรู้หลายด้านมันก็ดีนะ ฉันซ่อมรถได้เพราะพ่อสอนเยอะอยู่แล้ว แต่ฉันก็อยากรู้เรื่องระบบอื่นด้วย โดยเฉพาะไอ้พวกระบบใหม่ ๆ”
ฉันวางผ้าขี้ริ้วลงแล้วหันไปมองพ่อด้วยสายตาจริงจัง “พ่อไม่เห็นเหรอ เดี๋ยวนี้รถไฟฟ้าออกมากันเยอะแยะ ถ้ามัวแต่งมหาแต่อะไหล่เดิม ๆ เบื่อจะตาย”
พ่อมองฉันเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนจะอยากเถียง แต่ก็หาเหตุผลมาค้านไม่เต็มปาก สุดท้ายได้แค่ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนหันกลับไปคุยกับลูกค้าเรื่องรถต่อ
“แกมาก็ดี ไอนุ่น มาช่วยดูคันนี้หน่อย” พ่อโบกมือเรียกฉัน เสียงเขาดังแข่งกับเสียงลมร้อนจากพัดลมเพดาน “ลุงแกเขาบอกว่ารถสตาร์ตไม่ติด พอติด เวลาออกตัวมันก็ดับ”
ฉันยักคิ้วให้พ่ออย่างกวน ๆ “ได้เลยค่าา เดี๋ยวน้องนุ่นคนนี้จะดูให้เองนะคะ” น้ำเสียงเจือความขี้เล่นชัดเจน
พูดจบฉันก็หมุนตัวไปทางรถคันที่พ่อบอกทันที มือคว้าเครื่องมือจากโต๊ะด้านข้างอย่างคล่องแคล่ว กลิ่นน้ำมันและเหล็กผสมกันชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อฉันโน้มตัวลงเปิดฝากระโปรง เสียงโลหะกระทบกันเบา ๆ ดังขึ้นตามจังหวะการเช็กชิ้นส่วนทีละจุด
เครื่องยนต์ร้อนอุ่นใต้มือ ฉันเริ่มตรวจเช็กสายไฟ ท่อน้ำ และระบบเชื้อเพลิงไปเรื่อย ๆ พลางฮัมเพลงเบา ๆ อย่างเคยชิน ราวกับโลกข้างนอกไม่มีอยู่
หลังจากก้ม ๆ เงย ๆ อยู่พักใหญ่ ฉันก็เริ่มจับทางได้ว่าสาเหตุมันน่าจะอยู่ตรงไหน
“อ๋อ… เจอตัวดีแล้วนี่เอง” ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สายตาจับจ้องไปที่ปั๊มเชื้อเพลิงที่เสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด
มือหยาบเล็กน้อยจากการทำงานกับเครื่องยนต์หยิบประแจขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว ฉันขันน็อตคลายส่วนที่มีปัญหาออกมา กลิ่นน้ำมันโชยขึ้นมาทันทีที่ถอดชิ้นส่วน
“ก็ว่าทำไมสตาร์ตไม่ติด ออกตัวก็ดับ… ปั๊มจ่ายน้ำมันมันเล่นเสียแบบนี้นี่เอง” ฉันพูดพลางวางชิ้นส่วนเก่าลงในกล่องอะไหล่ข้าง ๆ
พ่อหันมามองฉัน ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ฝีมือใช้ได้แฮะ ไม่เสียแรงที่สอน”
“โธ่พ่อ เรื่องแค่นี้สบายอยู่แล้ว” ฉันยักไหล่ตอบกลับอย่างมั่นใจ ก่อนจะเริ่มใส่ปั๊มเชื้อเพลิงตัวใหม่เข้าไปแทนที่ ใช้เวลาไม่นานก็จัดการปิดงานเรียบร้อย
ฉันปิดฝากระโปรงรถ ลองสตาร์ตเครื่อง เสียงเครื่องยนต์ติดอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด
“โอเค ผ่าน!” ฉันพูดอย่างภูมิใจ พลางเช็ดมือตัวเองกับผ้าขี้ริ้ว
ในจังหวะนั้นเอง… เสียงเครื่องยนต์อีกคันดังมาจากทางเข้าอู่ ฉันหันไปมองและเห็นรถสีดำเงาวับขับเข้ามาช้า ๆ และคนที่ลงจากรถ… ก็เป็นคนที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอในวันนี้
พี่แทนไท
เขาสูงโปร่ง ใส่เสื้อยืดเรียบง่ายกับกางเกงยีนส์ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูมีแรงดึงดูดประหลาดที่ทำให้ฉันเผลอมองนานกว่าปกติ
เสียงรองเท้าหนังที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากรถที่กำลังซ่อม ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
พี่แทนไท… รุ่นพี่วิศวะไฟฟ้าที่ชื่อเสียงดังพอสมควรในมหาลัย และยังเป็นพี่ชายของแจม เพื่อนสนิทฉันเอง
“อ้าว นี่น้องนุ่นก็มาเอารถมาซ่อมเหมือนกันเหรอ” เขาทักเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ฉันยิ้มบาง “เปล่าค่ะ นุ่นมาช่วยพ่อซ่อมรถน่ะ”
คิ้วเข้มของเขายกขึ้นน้อย ๆ เหมือนไม่เชื่อสายตา “ห๊ะ… เราเนี่ยนะ ซ่อมรถเป็นด้วย? พี่ไม่เห็นรู้เลย แจมไม่เคยเล่าให้ฟัง”
ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางเช็ดคราบน้ำมันออกจากมือ “ฮ่า ๆ ไม่มีคนรู้ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะนุ่นไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แล้วก็ไม่ค่อยมีใครถามด้วย”
พี่แทนไทหัวเราะในลำคอ สายตาคมยังจับจ้องที่ฉันเหมือนเพิ่งเห็นมุมใหม่ “งั้นพี่คงต้องอาศัยช่างฝีมือดีอย่างน้องนุ่น ช่วยซ่อมรถของน้องสาวพี่ให้ทีแล้วล่ะ”
ฉันพยักหน้ารับแบบสบาย ๆ “แล้วรถอาการเป็นยังไงบ้างคะ นุ่นจะได้ประเมินถูก”
“เห็นแจมบอกว่าเวลาเร่งเครื่องแล้วไม่ค่อยออก กินน้ำมันแปลก ๆ … อะไรประมาณนั้น พี่ก็ไม่ได้ถามละเอียด” เขาพูดพลางเกาหลังคอเบา ๆ “นี่พี่ก็ให้เขาลากรถมา ผ่านมาเจอร้านนี้ก็เลยแวะ ไม่คิดว่าจะเป็นร้านของนุ่น”
ฉันแอบยิ้มมุมปาก “บังเอิญจังเลยนะคะ… แบบนี้ก็หนีช่างนุ่นไม่พ้นแล้ว”
พี่แทนไทหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มฟังดูผ่อนคลาย “ฮ่า ๆ ยังไงพี่ฝากเราด้วยนะ แล้วพี่จะได้รถตอนไหนล่ะ”
ฉันทำท่าคิดครู่หนึ่ง มือก็ยังหยิบผ้าเช็ดคราบน้ำมันออกจากมือ “อืมม… จากที่ฟังอาการ นุ่นว่าน่าจะต้องคุยกับแจมให้ละเอียดก่อนนะคะ อาจจะต้องจอดทิ้งไว้สักอาทิตย์ แต่ถ้าเสร็จเร็วกว่านั้น เดี๋ยวนุ่นทักไปบอกแจมเองก็ได้”
“อาทิตย์นึงเลยเหรอ…” เขาพึมพำ แต่สีหน้าไม่ได้แปลกใจนัก ก่อนจะยกคิ้วเล็กน้อย เหมือนนึกอะไรออก “งั้น… พี่ว่าพี่ขอแอดไลน์เราหน่อยดีกว่า เผื่อพี่จะได้ไลน์มาถามอาการรถโดยตรง”
พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมายื่นมาตรงหน้า ฉันชะงักเล็กน้อยมองโทรศัพท์ในมือเขา… แล้วก็เผลอยิ้มมุมปากอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“ถ้าไลน์มาถามอาการรถได้อยู่…” ฉันพูดพลางยกคิ้วอย่างกวน ๆ “แต่ถ้าไลน์มาถามอาการอย่างอื่น นุ่นไม่มีคำตอบให้นะคะ ฮ่า ๆ”
พี่แทนไทหัวเราะในลำคอ เสียงทุ้มชวนให้บรรยากาศดูผ่อนคลายขึ้น “ฮ่า ๆ เรานี่มันแสบเหมือนกันนะ”
เขาว่าพร้อมยกมือขึ้นเหมือนจะลูบหัวฉันอย่างเอ็นดู แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้แตะลงมา—
“อะแห่ม ๆ ๆ” เสียงกระแอมดังจากด้านข้าง
เราสองคนหันไปพร้อมกัน ก็เห็นพ่อฉันยืนกอดอกอยู่ข้างรถ สายตาคมมองมาอย่างรู้ทันเต็ม ๆ
“ใครหรอนุ่น” เสียงพี่แทนไทกระซิบถามข้างหูฉัน น้ำเสียงแผ่วแต่แฝงความอยากรู้
“พ่อค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ พลางปรายตาไปทางชายร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ไม่ไกล
พี่แทนไทรีบยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ยกมือไหว้อย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณพ่อ”
แต่พ่อฉันกลับเหลือบตามามองแบบนิ่ง ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบปนขรึม “ใครพ่อมึง กองไว้ตรงนั้นแหละ เอารถมาทำ เสร็จแล้วก็รีบไป มัวแต่ยืนคุยเกะกะลูกค้าคนอื่น”
ฉันเผลอกัดริมฝีปากกลั้นหัวเราะ พี่แทนไทเกาหลังคอเบา ๆ เหมือนพยายามเก็บอาการ แต่หางตาฉันก็เห็นรอยยิ้มมุมปากที่เขาแอบซ่อนเอาไว้