ตอนที่ 10

513 คำ
นะ นที "นี่มึงสองคนรักกันขนาดนี้เลยเหรอ มาอยู่ด้วยกันไม่ถึงอาทิตย์แต่ตกลงแต่งงานกัน ไอ้ทอสยังไงกูต้องเอาคืนมึงแน่ โทษฐานที่มึงมาอ่อยกูซ้ำยังเอายาแปลกๆ มาทำร้ายกูอีก กูจะเอาคืนมึงให้สาสมจนมึงลืมกูไม่ลง.. หึๆ!!" ผมสบถถึงความรู้สึกคับแค้นใจที่เห็นภาพคนสองคนที่ดูมีความสุขหลังจากเดินออกมาจากโบสถ์หลังใหญ่เพื่อไปขึ้นรถ ความแค้นของผมมันไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้เพราะการกระทำของชายตัวเล็กคนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผมตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งผมจะเอาคืนทุกอย่างที่เขาทำให้ผมต้องมาใช้ชีวิตไม่เป็นปกติเหมือนเดิม ผมให้สัญญาว่าผมจะทวงคืนให้ชายตัวเล็กคนนั้นให้ได้รับความเจ็บปวดมากกว่าผมร้อยเท่าพันทวี จนไม่สามารถลืมผมได้ไปตลอดชีวิตก่อนที่ผมจะขับรถสะกดรอยตามรถของพวกมันสอง   ผมขับรถสะกดรอยตามผู้ชายสองคนนั้นมาจนถึงบริเวณหน้าคอนโดหรู ผมจอดรถฝั่งตรงข้ามเพื่อคอยสังเกตเหตการณ์ของชาย 2 คนโดยที่คนตัวใหญ่เดินลงมาจากฝั่งคนขับไปเปิดประตูรถให้คนตัวเล็กอย่างสุภาพ ยิ่งผมได้เห็นผมยิ่งอยากจะเอาคืนในทันที แต่ตอนนี้ผมยังไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากนั่งมองคนทั้งสองคนภายในรถเฉยๆ แล้วก็เห็นมันสองคนเดินหายขึ้นไปบนคอนโด ผมยังคงนั่งเฝ้าดูสถานการณ์อยู่อย่างนั้นและคาดหวังว่าเจ้าคนตัวเล็กคงต้องลงมาทำธุระอะไรสักอย่างด้านล่าง ผมก็จะใช้จังหวะนั้นพามันไปขึ้นสวรรค์เพื่อให้สาสมกับสิ่งที่มันได้ทำไว้กับผมจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด สิ่งที่ผมหวังก็เกิดขึ้นจริงเมื่อผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณคนตัวเล็กก็เดินออกมาจากคอนโดหรูแล้วเดินมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ผมเห็นว่าโอกาสกำลังเหมาะจึงรีบตัดสินใจขับรถไปจอดบริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อนั้น อย่างมีความหวังแล้วรอโอกาสให้คนตัวเล็กเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อด้วยใจจดจ่อ ทันทีที่ไอ้ทอสเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อผมก็ใช้โอกาสนั้นทันทีเพราะในช่วงเวลานั้นบริเวณดังกล่าวปลอดคนผมจึงสะดวกที่จะนำตัวมันขึ้นรถยนต์ได้ง่ายดายแล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ศีรษะของไอ้ทอสมีถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะ ซึ่งถุงผ้านั้นมียาสลบที่ผมได้ทาก่อนที่ผมจะใช้คลุมศีรษะ ทำให้คนตัวเล็กนอนสลบไปอยู่บริเวณเบาะท้ายอย่างที่ผมตั้งใจ ทัช ธารากร  ผมนั่งคอยคนรักอยู่บริเวณโซฟาตัวโปรด ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาบอกว่าอยากจะกินช็อกโกแลตรสเยี่ยมของกรุงเพิร์ธแต่เป็นจังหวะที่ช็อกโกแลตดังกล่าวหมดเสียก่อนที่เคยซื้อตุนเอาไว้ในตู้เย็น ทอสเขาจึงอาสาลงไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามกับคอนโด นี่เวลาก็ผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้วเขายังไม่กลับขึ้นมาจนผมรู้สึกเป็นห่วงจับใจ ในขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นไปมองที่บริเวณหน้าต่างของคอนโดโทรศัพท์มือถือของผมก็ส่งเสียงดัง ผมจำได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงเตือนของสัญญาณ gps ที่ผมได้เปิดระบบและเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของทอสเอาไว้หากเกิดเหตุฉุกเฉิน สัญญาณ gps ที่เครื่องโทรศัพท์ของทอสจะส่งสัญญาณมาหาผมทันทีเมื่อมีการเคลื่อนไหว ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนจะเห็นสัญญาณ gps ของทอสกำลังเคลื่อนหายออกไปจากบริเวณคอนโดอย่างรวดเร็วจนผมเกือบหกล้มกับการรีบคว้ากุญแจรถยนต์ที่หัวเตียงนอน ผมรีบวิ่งลงจากคอนโดด้วยความร้อนรนอย่างไม่คิดชีวิตแล้วรีบขับรถยนต์ตามสัญญาณ gps ของทอส โดยไม่ทิ้งระยะห่าง จนผมเห็นรถยนต์ที่คาดว่าจะมีทอสอยู่ในรถกำลังจะจอดเทียบบริเวณทางเท้า ณ ตึกร้างแห่งหนึ่ง สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อผมเห็นผู้ชายร่างคุ้นตาคนหนึ่งเปิดประตูรถยนต์ออกมาก่อนจะทำทีมองซ้ายมองขวาแล้วเปิดประตูท้ายรถแล้วอุ้มคนรักของผมออกมาในสภาพที่หลับหมดสติโดยมีถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะอยู่ ผมไม่รอช้าเตรียมจะเปิดประตูรถเพื่อลงไปแต่แล้วก็มีชายชุดดำ 3 คนเดินมาขวางที่ประตูรถของผมพร้อมกับพูดภาษาฝรั่งเศสใส่ผมเป็นชุดซึ่งผมอยากจะบอกตรงๆ เลยว่าผมฟังไม่เข้าใจ นอกจากภาษาไทย ภาษาจีนและภาษาอังกฤษที่ผมพูดและสามารถสื่อสารได้ ภาษาอื่นนอกจากนี้ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ผมพยายามดิ้นรนเพื่อเปิดประตูรถยนต์ออกไปแต่ก็ถูกชายชุดดำเข้ามาล็อคตัวผม ก่อนที่พวกมันทั้ง 3 คนจะเรียงคิวเข้าทำร้ายผมอย่างรุนแรงจนผมรู้สึกระบมไปทางร่างกายแต่ผมก็พยายามหาโอกาสที่มันเผลอ ความหวังของผมก็เป็นจริงเมื่อผมใช้จังหวะที่พวกมันเผลอใช้ท่อนไม้ที่ตึกร้างฝั่งตรงข้ามที่ผมยืนอยู่ที่พอหาได้ฟาดไปที่หัวพวกมันทั้งสามคน จากนั้นผมจึงรีบวิ่งตามผู้ชายร่างใหญ่ที่กำลังอุ้มชายคนรักของผมไปอย่างเร่งรีบเพราะเกรงว่าเขาอาจจะไม่ปลอดภัย แต่จู่ๆ ชายร่างใหญ่ก็อุ้มเขาหายไปในตึกร้างซึ่งผมพยายามตามหาเขาทุกชั้นทุกห้องก็ไม่พบ ผมรู้สึกตกใจกลัวนึกถึงความปลอดภัยของเขาเป็นอันดับแรกผมกลัวว่าเขาจะไม่ปลอดภัยหากถูกทิ้งไว้กับกับผู้ชายคนนั้นตามลำพัง ซึ่งผมในตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพเคว้งคว้างว่างเปล่าไม่มีเป้าหมาย ผมมองซ้ายมองขวาก็ไร้วี่แววหรือแม้แต่เสียงขอความช่วยเหลือก็ไม่มีดังเล็ดลอดมาถึงหูผมเลย ผมควรจะทำยังไงดี เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนสวรรค์เข้าข้างผมเมื่อผมได้ยินเหมือนท่อนเหล็กล้มลงทางด้านหลังของผม ผมตกใจกับเสียงนั้นจึงรีบหันไปมองท่อนเหล็กนั้นก่อนที่มันจะค่อยๆ กลิ้งเข้าไปยังมุมหนึ่ง ผมนึกถึงเหตุการณ์จากละครทีวีที่ประเทศไทยทันทีเพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เหมือนเป็นการบอกทางให้เราตามหาใครคนนั้นจนพบได้ ผมจึงรีบวิ่งตามท่อนเหล็กท่อนนั้นไปก็เจอกับชายร่างใหญ่ตามที่คาดไว้ ซึ่งมันกำลังจะทำสิ่งเลวทรามกับทอสของผม ผมตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปกระโดดถีบชายร่างใหญ่นั้นจนล้มหงายหลังไปก่อนที่เราสองคนจะฟาดฟันกันด้วยหมัดทั้ง 2 ข้าง เราเข้าต่อสู้กันอย่างสะบักสะบอมไม่คิดชีวิต เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยชีวิตน้องทอสให้รอดพ้นจากน้ำมืออำมหิตของอีกฝ่าย จนเป็นเหตุให้ชายร่างใหญ่นอนสลบมีเลือดไหลออกมาจากปาก เมื่อผมเห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้นจึงรีบตัดสินใจเข้าไปประคองคนรักแล้วอุ้มเขาก่อนจะรีบหาทางออกจากตึกร้างด้วยความรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่าง ผมอุ้มเขามาถึงรถยนต์แล้วรีบขับรถพาเขาไปยังโรงพยาบาลในทุกตัวกรุงเพิร์ธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้แล้วเขาก็ปลอดภัยจากการรักษาของหมอฝีมือดี ผมนอนเฝ้าเขาทั้งคืนที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลชื่อดัง ผมรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ไม่สามารถดูแลและปกป้องเขาได้เพราะเราทั้งสองคนเข้าใจว่านายนะจะสำนึกผิดไม่คิดกลับมาทำร้ายพวกเราอีกแต่ความคิดของเราทั้งสองคนผิดถนัดเพราะคนชั่วๆ อย่างมันคงไม่รามือจากทอสง่ายๆ แน่ จากนี้ไปผมคงจะวางใจกับเรื่องนี้ไม่ได้อีกแล้ว "ทอสต่อไปนี้พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายทอสได้อีกพี่จะดูแลทอสเท่ากับชีวิตของพี่ พี่รักทิศนะครับ" ผมพูดกับคนหลับด้วยความรู้สึกเป็นห่วงจับใจ ไม่ต้องการให้เขาต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายอีกก่อนที่ผมจะค่อยๆ ก้มลงจูบที่หน้าผากของน้องเขาอีกครั้ง โดยผมฟุบหลับตาลงข้างกายเขาไม่ห่าง เคเค, เค คินพงษ์ ทันทีที่ผมรู้ข่าวเมื่อช่วงเช้าถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณทอสเพื่อนรักของผม ทำให้ผมต้องรีบบึ่งรถมาที่โรงพยาบาลด้วยความเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเกือบจะเกิดอุบัติเหตุประสานงากับรถบรรทุกส่งขนมปังของร้านเบเกอรี่ชื่อดังในกรุงเพิร์ธ เมื่อผมเดินทางมาถึงจึงรีบรุดไปที่ห้องพิเศษที่คุณทอสรับการรักษาตัวแล้วผมก็เจอกับคุณทัชที่เป็นผู้ส่งข่าวให้ผมเมื่อเช้านี้เอง คุณทัชดูมีอาการอิดโรยจากการอดนอนเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดจนผมรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักอีกคนไม่ได้ "คุณทัชผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจะดูแลคุณทอสเองครับ" "ขอบคุณคุณเคมากนะครับ ผมเองก็รู้สึกเพลียเหมือนกันถ้ายังไงผมขอฝากคุณช่วยดูแลทอสด้วยครับ" จากเหตุการณ์ที่เราคุยเปิดใจกันในวันนั้นทำให้ผม คุณทัชและคุณทอสต่างเข้าใจความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น ทางคุณทัชเองก็เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจผมมากขึ้นโดยไม่หวาดระแวงผมเหมือนเมื่อก่อน "ได้ครับคุณทัชไม่ต้องกังวลใจนะครับ ผมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยดูแลความเรียบร้อยที่หน้าห้องพิเศษของคุณทอสอีกแรงหนึ่งเพื่อป้องกันการกลับมาของนายนะ ตอนนี้ผมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวนายนะมาดำเนินคดีจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งดำเนินการอยู่ครับ" ผมชี้แจงถึงจุดประสงค์ของผมที่ทำให้เพื่อนรักทั้งสองของผมอย่างจริงใจในขณะที่คุณทัชก็กำลังเก็บเสื้อผ้าของคุณทอสเพื่อเตรียมจะกลับไปที่คอนโด "ผมต้องขอบคุณคุณเคมากนะครับที่ช่วยเป็นธุระแทนผม ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวกลับไปที่คอนโดก่อนนะครับเพราะช่วงเช้านี้ที่บริษัทมีประชุม ผมเองก็อาจจะกลับเข้ามาอีกทีน่าจะเป็นช่วงเย็นเลยคุณเคจะสะดวกไหมครับ" "วันนี้ผมว่างพอดีครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะเดี๋ยวผมจะดูแลคุณทอสให้ดีที่สุดครับ" จากนั้นคุณทัชก็เดินทางกลับไปที่คอนโดโดยให้ผมอยู่เฝ้าดูแลคนรักของเขาตามลำพัง จากความเป็นห่วงของคุณทัชที่มีต่อคนรักของเขามันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและรู้สึกดีใจที่ได้ให้ความช่วยเหลือคู่รักคู่หนึ่งที่คนทั้งสองต่างมีความซื่อสัตย์และมีความรักที่ดีต่อกันจนผมแอบเกิดความอิจฉาลึกๆ ในใจก่อนจะช่วยดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างของคุณทอสแล้วลงมานั่งอ่านหนังสือที่ข้างเตียงผู้ป่วย   แบงค์ พี่ชายสุดที่รักของน้องทอส  นี่ก็เป็นเวลาเกือบอาทิตย์หนึ่งที่ผมเดินทางกลับมาที่ประเทศไทยซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าผมได้หนีความวุ่นวายและการเสี่ยงตายอย่างหวุดหวิดเมื่อครั้งที่ผมยังอยู่ประเทศออสเตรเลียกับน้องชายของผม ในทุกๆ วันผมยังรู้สึกหวาดระแวงกับการได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตาตามเส้นทางเดินหรือแม้แต่คนในบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย ผมก็รู้สึกระแวงไม่ต่างกัน ภาพเหตุการณ์กับความทรงจำอันเลวร้ายที่ผมเกือบจะตกเป็นทาสคาวโลกีย์จากน้ำมือของผู้ชายที่คิดว่าน่าจะเป็นคนไทยด้วยกันแต่เขากลับไม่น่าจะทำกับผมเช่นนั้น ทุกครั้งที่ภาพความทรงจำเหล่านั้นกลับมาหาผมทีไรมันทำให้ผมรู้สึกระแวงแล้วหวาดกลัวไปทุกอย่างจนเพื่อนสนิทในบริษัทต้องพาผมกลับมาส่งที่บ้านอยู่หลายครั้งเกือบจะเป็นปัญหาในการทำงาน ทางผู้จัดการฝ่ายที่ผมทำงานด้วยจึงอนุญาตให้ผมได้พักผ่อนจนกว่าผมจะหายดีเพราะเขาเองก็รู้สึกเป็นห่วงผมไม่ต่างจากเพื่อนๆ ในบริษัทที่ทุกคนต่างรู้จักผมดีว่าผมไม่ใช่คนที่จะกลัวอะไรง่ายๆ แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นมันทำให้ผมไม่สามารถลบเลือนออกไปจากความทรงจำหรือความรู้สึกได้ วันนี้จึงเป็นวันแรกที่ผมได้ใช้สิทธิ์ลาพักร้อนที่ผมมีเพื่อพักผ่อนอยู่ที่บ้านตามคำร้องขอของผู้จัดการฝ่าย การลาพักร้อนของผมมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะในช่วงวันธรรมดาทุกคนในบ้านก็ออกไปทำงานนอกบ้านกันจนหมดเหลือเพียงแต่ผมเพียงคนเดียว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงถือโอกาสทำความสะอาดบ้านพร้อมจัดบ้านเสียเลยเพื่อไม่ให้เป็นการปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์เพราะอย่างน้อยการพักร้อนของผมก็ทำให้บ้านสะอาดขึ้น.. เวลาผ่านเลยไปกว่า 3 ชั่วโมง ผมจึงทำความสะอาดชั้นบนเสร็จเป็นบริเวณชั้นบนก็มีห้องนอน 2 ห้อง มีห้องพระประจำบ้าน ผมก็จัดการทำความสะอาดจนเรียบร้อย จากนั้นผมจึงลงมาลุยที่ชั้นล่างต่อทันทีเพราะรู้สึกว่าการได้ทำอะไรหนักๆ แล้วเกิดความรู้สึกเหนื่อยมันก็มีส่วนช่วยทำให้ผมได้ใช้สติกับสิ่งที่ทำอยู่โดยไม่ได้ไปใส่ใจถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตอย่างที่แล้วๆ มาจึงส่งผลให้ผมเกิดความสบายใจไม่รู้สึกกลัวอย่างที่เคยเป็น ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถจัดการกับความสกปรกบริเวณชั้นล่างของบ้านเป็นที่เรียบร้อยอย่างที่ผมตั้งใจ ผมจึงเดินไปที่หน้าประตูบ้านแล้วหันกลับมามองภายในบ้านมันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขและเกิดความภูมิใจที่อย่างน้อยผมก็สามารถเอาชนะความกลัวความระแวงเหล่านั้นมาได้ โดยผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ไปตลอดเพราะความกลัวคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองตามที่ผมเคยได้ยินในโฆษณาทางทีวีอยู่บ่อยๆ ที่สำคัญบ้านผมก็สะอาดขึ้นด้วย จากนั้นผมจึงมาหาทำอะไรกินในห้องครัวแต่ก็รู้สึกมีสิ่งที่ผิดสังเกตอยู่เล็กน้อยที่ประตูรั้วบ้าน มันเหมือนมีใครคนหนึ่งในบ้านปิดประตูรั้วบ้านไม่สนิทแต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรจึงลงมือทำอาหารเพื่อเพิ่มพลังให้กับร่างกายต่อไป ปกติผมเป็นคนที่ทำอะไรเร็วอยู่แล้วจึงใช้เวลาเพียงไม่นานอาหารที่ถูกปรุงขึ้นด้วยฝีมือของตัวเองก็ถูกผมฟาดเรียบอย่างไม่เหลือเพราะคงจะใช้พลังงานกับการทำความสะอาดบ้านมากเกินไป ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน หลังจากที่ผมทำธุระอะไรภายในครัวจนเสร็จเรียบร้อยจึงเดินออกไปที่ประตูรั้วบ้านเพื่อปิดประตูรั้วให้สนิทตามที่มันควรจะเป็นก่อนจะเดินขึ้นห้องนอนเพื่อพักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ผมเหลือบตามองไปที่นาฬิกาที่โต๊ะข้างหัวเตียงก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสองครึ่ง เมื่อเห็นเวลาดังนั้นจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงที่แสนนุ่มสบายของผมทันที ในขณะที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับผมกลับได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังหายใจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก เมื่อผมรู้สึกและสัมผัสได้เช่นนั้นจึงรีบลืมตาขึ้นมา..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม