ตอนที่ 4

2242 คำ
ทอส ธีรภพ ผมรู้สึกตัวจากการถูกเขย่าตัวเบาๆ จากมือของใครคนหนึ่งแล้วเสียงที่คุ้นหูได้เรียกชื่อผมอีกหลายครั้งจนทำให้ผมได้รู้ว่าตอนนี้ผมเดินทางมาถึงประเทศออสเตรเลีย ประเทศที่คนรักของผมเดินทางมาทำงานและพักอาศัย "เมาเครื่องบินเเหรอ มีอาการแบบนี้อีกแล้วนะ" พี่แบงค์ถามขึ้นคงเห็นสีหน้าของผมไม่ค่อยดีแต่นั่นไม่ใช่อาการเมาเครื่องบินเหรอกครับแต่เป็นเพียงแค่ผมเสียดายนอนมากกว่า หากผมพูดไปโพล่งๆ ว่าผมเสียดายนอนก็คงสร้างเสียงหัวเราะให้กับพี่ชายของผมแน่ๆ ผมเลยเปลี่ยนเรื่องเลยดีกว่าเพื่อความสบายใจของผมและตัวพี่เขา "ผมรู้สึกดีใจน่ะพี่ไม่ได้เมาเครื่องบินอะไรเหรอก เราสองคนรีบลงจากเครื่องกันเถอะพี่เหลือเราแค่สองคนเอง" แต่คำพูดของผมก็ได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับเราสองคนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเมาเครื่องบินอะไรเลยซักนิด ผมและพี่แบงค์ต่างพากันมองซ้ายมองขวาหลังจากที่ก้าวขาออกมาจากสนามบินเมืองซิดนีย์ของออสเตรเลียและได้ปรึกษากันว่าจะไปสถานที่แห่งใดก่อนดี ที่คิดว่าพี่ทัชจะอาศัยอยู่ ผมจำได้ว่าผมกับพี่ทัชเคยพูดคุยถึงเรื่องนี้อยู่ครั้งหนึ่ง ว่าทางบ้านของเขาต้องการให้เขามาบริหารธุรกิจที่นี่ ทำให้พี่แบงค์ได้แสดงความคิดเห็นว่าประเทศออสเตรเลียก็มีแหล่งธุรกิจอยู่หลายเมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองธุรกิจ หลังจากที่เราสองคนได้พิจารณาและถามถึงบุคคลที่ผ่านไปมาถึงสถานที่ที่คิดว่าน่าจะเป็นย่านธุรกิจก็ได้ความว่าเมืองเพิร์ธของออสเตรเลียน่าจะเป็นสถานที่ที่น่าไปมากที่สุด เราสองคนจึงได้ข้อสรุปว่ากรุงเพิร์ธของออสเตรเลียน่าจะเป็นเมืองที่พี่ทัชทำงานและอาศัยอยู่ โดยลงความเห็นว่าจะไปเมืองนี้เป็นสถานที่แรก ด้วยความที่เมืองเพิร์ธเป็นเมืองต่างบ้านต่างเมืองจากที่ผมและพี่แบงค์เคยไปมาก่อนทำให้เราสองคนตกอยู่ในสถานการณ์หลงทาง เราสองพี่น้องยืนท่ามกลางตึกรามบ้านช่องมากมายที่คิดว่าน่าจะเป็นย่านธุรกิจตามที่ตั้งใจไว้แต่เราสองคนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดใดหรือตึกใดก่อนเลย ที่สำคัญไปกว่านั้นผมไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าบริษัทหรือธุรกิจที่พี่ทัชเป็นผู้บริหารมีชื่อว่าอะไร ตั้งอยู่ที่ไหนของเพิร์ธ ผมไม่มีข้อมูลใดๆ เลยที่จะทำให้รู้ถึงสถานที่ตั้งของที่ทำงานที่พี่ทัชทำอยู่ บัดนี้เหมือนสวรรค์ได้ชี้ทางสว่างให้ผมได้เจอคนรักของผมโดยเร็ว เพราะท่านคงเห็นว่าผมมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะตามหาคนรักของผมด้วยความพยายามอย่างแท้จริง ผมเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเท่าที่สายตาของผมได้สังเกต ผมรู้ได้ทันทีเลยว่าชายคนนั้นน่าจะเป็นคนไทยอย่างแน่นอน จากการแต่งตัวดูสบายๆ เรียบง่ายมีรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา นี่คือเอกลักษณ์ความเป็นไทยชัดเจนด้วยรอยยิ้มสยาม ผมรู้สึกดีใจบวกกับความตื่นเต้น ผมคิดเพียงว่าคนไทยคนนี้น่าจะทำงานในสถานที่เดียวกันกับที่พี่ทัชทำ ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาชายคนนั้นในทันทีโดยลืมไปว่าข้างกายของผมยังมีพี่แบงค์ที่มากับผมด้วย "Excuse me, can I ask you a question?" "Sure!" "Are you Thai?" "อ๋อใช่! ผมเป็นคนไทยครับ" เมื่อเขาตอบว่าเขาเป็นคนไทยผมรู้สึกดีใจมากๆ แทบอยากจะกระโดดกอดเขาเลยด้วยซ้ำแล้วหันมาเพื่อจะบอกกับพี่ชายว่าเราเจอคนไทยที่นี่แต่เมื่อผมหันกลับมากลับไร้วี่แววของพี่แบงค์เสียแล้ว ผมตกใจขึ้นมาในทันทีเมื่อรู้ว่าผมและพี่แบงค์คงจะหลงทางกันแต่เหนือสิ่งใดผมรีบหันมาหาหนุ่มชาวไทยคนที่ผมได้ทักทายไปเมื่อสักครู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนเขาเห็นได้ชัดอย่างไม่ต้องอธิบายใดๆ "คุณหลงทางกับเพื่อนเเหรอครับ" จากคำถามของชายนิรนามทำให้ผมรู้สึกใจแป้วแต่ก็ต้องฝืนยิ้มให้กับเขาเท่าที่จะสามารถทำได้ "ครับผมหลงทางกับพี่ชายของผมเมื่อสักครู่หลังจากที่ผมได้เจอคุณ ผมทอส ธีรภพครับ" "ผมเคเค หรือจะเรียก เค ก็ได้ครับ ให้ผมช่วยตามหาพี่ชายไหมครับ" น้ำเสียงของคุณเคดูสุภาพนุ่มนวลและมีมารยาทเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงว่าชายหนุ่มคนนี้คงจะมาจากตระกูลผู้ร่ำรวยและเคร่งครัดเรื่องมารยาทแน่ๆ "ขอบคุณมากๆ นะครับแต่ผมไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนเหมือนกันและอีกอย่างที่ผมกับพี่ชายมาที่นี่ก็เพื่อจะมาตามหาคนๆ หนึ่ง ผมเห็นว่าคุณเป็นคนไทยเลยคิดว่าน่าจะทำงานในสถานที่เดียวกันกับคนที่ผมตามหาน่ะครับ เลยรู้สึกดีใจจนลืมพี่ชายไปอ่ะครับ" เขาเห็นว่าผมยังคงอยู่ในอาการตกใจไม่หายจึงจะให้ความช่วยเหลือผม โดยเราสองคนเพิ่งจะได้รู้จักกันเท่านั้น "ลองติดต่อเขาดูไหมครับผมว่าเขายังไม่น่าจะไปไกลจากที่นี่เท่าไหร่" เมื่อผมได้ฟังคำแนะนำจากคุณเคก็มีรอยยิ้มขึ้นมานิดหนึ่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะติดต่อพี่แบงค์แต่ก็ไม่สามารถที่จะติดต่อได้เมื่อจู่ๆ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตและระบบสื่อสารทั้งหมดล่มไปดื้อๆ "มันเกิดอะไรขึ้นทำไมไม่มีสัญญาณอะไรเลย" ผมพูดขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนี้ "อ๋อ เป็นเหตุการณ์ปกติของที่นี่ครับเพราะเนื่องด้วยย่านนี้เป็นย่านธุรกิจจึงมีการติดต่อสื่อสารทางโทรคมนาคมและอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก มักทำให้ระบบทั้งหมดมักจะล่มอยู่บ่อยๆ ครับบางครั้งก็กินเวลาเป็นชั่วโมงกว่าระบบจะกลับมาสู่สภาพเดิม รอหน่อยนะครับ" ยิ่งผมได้ฟังคุณเคอธิบายเหตุผล ผมก็รู้สึกกลัวกับการที่ต้องอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีพี่แบงค์แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะสอบถามข้อมูลของคนที่ผมตามหาอย่างพี่ทัช ผมจึงหยิบรูปออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นส่งให้เคได้ดูทันที "ขอโทษนะครับคุณเค คุณพอจะรู้จักคนในรูปนี้หรือเปล่าครับ" คุณเคทำหน้าตาครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้วก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกดีใจกับคำตอบที่กำลังจะได้รับ "รู้จักสิครับนี่คือคุณทัช ธารากรเจ้าของธุรกิจที่มีชื่อเสียงมากที่สุดย่านธุรกิจของกรุงเพิร์ธแห่งนี้นี้แหละครับ เห็นว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มจากประเทศไทยครับ" เมื่อคำตอบของคุณเคตรงกับสิ่งที่ผมต้องการ ผมจึงโผสวมกอดเขาด้วยความดีใจทันที "ใช่ครับ เขาเป็นคนที่ผมกำลังตามหา ผมดีใจที่สุดเลยที่คุณรู้จักเขา แล้วไม่ทราบว่าเขาทำงานอยู่ที่ไหนเเหรอครับ ช่วยพาผมไปหาเขาหน่อยได้ไหมครับผมอยากเจอเขาเหลือเกิน..." ผมพูดอ้อนวอนด้วยสีหน้าแห่งความสุขและความดีใจอย่างที่สุดที่จะได้เจอกับคนรักที่ผมรอคอยมาหลายปี "ได้สิครับผมจะพาคุณไปเองแต่ไม่ทราบว่าคุณกับคุณทัชเป็นอะไรกันหรือครับ ทำไมคุณถึงดีใจขนาดนั้นราวกลับว่าคุณทัชเขาเป็นคนสำคัญของคุณเลยครับ" ผมรู้สึกอายกับคำถามที่คุณเคถามผมแต่ขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยตอบเขาว่าผมกับพี่ทัชเราสองคนเป็นอะไรกันนั้น จังหวะเดียวกันก็มีชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งมาจากไหนไม่รู้วิ่งตรงมาที่ผมจึงเป็นเหตุให้คุณเคต้องรีบคว้าตัวผมให้หลบทางชายชุดดำเพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกวิ่งชน หลังจากนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนวิ่งไล่ตามมาแล้วตะโกนขอความช่วยเหลือ "Help me! Help me!" เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุณเค ชายหนุ่มผู้เป็นความหวังเดียวของผมได้วิ่งตามชายชุดดำไปอย่างรวดเร็วด้วยเวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายของหญิงวัยกลางคนๆ นั้น จึงทำให้ผมรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว "บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับคุณเค" ผมถามเขาขณะที่สายตาของผมพยายามสำรวจทั่วร่างกายของเขาก็พบแผลถลอกที่ข้อมือด้านใน ผมจึงรีบหยิบปลาสเตอร์แปะแผลในกระเป๋าส่วนตัวออกมาแปะแผลถลอกของเขาด้วยความเบามือ "ขอบคุณมากนะครับคุณทอส" ก่อนที่เขาจะกล่าวขอบคุณผมด้วยเสียงที่นุ่มนวลและสายตาที่เป็นมิตร หลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายๆ มา คุณเคก็ได้พาผมมาหยุดที่หน้าตึกสูงแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจของกรุงเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย "นี่แหละครับสถานที่ทำงานที่คุณทัชทำงานอยู่ พ่อของผมเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกับคุณทัชที่นี่ครับ ส่วนผมเองก็บริหารธุรกิจส่วนตัวนิดหน่อย ก็ตรงจุดที่คุณเจอผมนั่นแหละครับ หน้าสถานประกอบการธุรกิจของผม" หลังจากที่ผมฟังเรื่องราวของคุณเคทำให้ผมได้รู้ว่าเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลยที่แท้ก็คือลูกชายของผู้ถือหุ้นในบริษัทของคนรักของผมนี่เองผมจึงเอ่ยชวนเขาเข้าไปยังบริษัทกับผม "ขอบคุณมากๆ นะครับคุณเค คุณเข้าไปข้างในกับผมนะครับ ให้ผมได้ตอบแทนความช่วยเหลือของคุณจะได้ไหมครับ" เขาพยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ให้ผมเป็นอันตกลงว่าผมและคุณเค ชายหนุ่มผู้เป็นความหวังเดียวของผมก็ได้นำพาให้ผมมาเจอกับคนรักของผมจนได้ เราสองคนตรงไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท ผมพูดคุยกับสาวประชาสัมพันธ์ชาวออสซี่อยู่ครู่หนึ่งเขาก็ได้เชิญให้ผมและคุณเคขึ้นไปยังชั้นบน ซึ่งเป็นห้องรับรองแขกของประธานบริษัท ผมรู้สึกตื่นเต้นจนเผลอเอามือไปจับมือของคุณเคไว้แน่นเพราะคิดว่าเป็นมือของพี่ชายสุดที่รักของผมอย่างลืมตัว กว่าจะได้สติว่ามือนั้นไม่ใช่มือของพี่ชายทำให้คุณเคกลับมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วรู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมๆ กับผมอย่างเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้คุณเคยังได้พูดปลอบโยนให้กำลังใจผมที่จะได้เจอกับคนรักในรอบหลายปี แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ทัชผมยังไม่ได้ทันได้ตอบคำถามเขาก็เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นเสียก่อน ผมนั่งรอที่จะได้เจอหน้าคนรักด้วยใจจดจ่อหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง โดยที่ผมยังคงนั่งจับมืออีกคนไว้แน่น ทัช ธารากร เหตุการณ์ที่รูปของน้องทอสตกในวันนั้นเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจผมอยู่ตลอดเวลา ผมคิดไว้ว่าน่าจะเป็นรางบอกเหตุอะไรซักอย่าง วันนี้เองก็เช่นกันตั้งแต่เช้าที่ผมออกจากคอนโดก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับผมอยู่ 2-3 ครั้งแล้วเมื่อสักครู่ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา จู่ๆ ผมก็รู้สึกคิดถึงเขามากเป็นพิเศษ ขณะที่ผมกำลังนั่งตรวจเอกสารที่ฝ่ายขายนำมาให้ผมเซ็นรับรอง มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่นะ ต่อมความสงสัยของผมเริ่มทำงานอย่างหนัก ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่เลขาส่วนตัวของผมได้ต่อสายตรงเข้ามาหาผมว่าตอนนี้มีคนมาขอพบผม กำลังนั่งรอผมอยู่ที่ห้องรับรองแขกอีกห้องหนึ่งแวบแรกที่ผมรู้สึกได้ต้องเป็นทอสอย่างแน่นอน คนรักของผมแต่พอมาคิดอีกทีจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทอสจะมาหาผมถึงที่นี่หรือว่าเขากำลังทำตามในสิ่งที่เขาได้คิดและบอกผมไว้ก่อนที่เราจะจากกัน ผมไม่รอช้ารีบออกไปพบคนที่มารอที่ห้องรับรองแขกในทันทีด้วยใจที่ลุ้นระทึก ทุกย่างก้าวที่ผมได้ก้าวขาออกจากห้องทำงานจนถึงประตูหัวใจของผมรู้สึกว่ามันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมค่อยๆ บิดลูกบิดประตูแล้วเปิดมันออกก่อนจะเดินพ้นขอบประตูแล้วจะปิดประตูห้องทำงาน สายตาของผมก็เริ่มจับจ้องที่ประตูห้องรับรองแขกทุกวินาที..
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม