บทที่ 9 "โครงการนี้ใครชนะ"

1914 คำ
ฉันถึงกับรีบเม้มปากเป็นเส้นตรงทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของพี่พระพายสั่งออกมาแบบนั้น ใช่ เวลานี้ฉันไม่ควรอ้าปากจะด่าเขาที่คว้าตัวของฉันมานั่งทับบนตักของเขาแบบนี้ เพราะเส้นทางตอนนี้มันเหมาะกับการนั่งนิ่งๆ เงียบๆ ตั้งสติให้ดีมากกว่า จะได้ไม่ตกลงจากรถตอนเด้งตัวขึ้น เฮ้อ! แต่ก็นะมันเล่นเด้งทับซ้ำๆ แบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันนะเว้ย! ไหนจะสายตาคนอื่นๆที่พากันมองแบบเลิ่กลั่กกันนั่นอีก ฉันจะบ้าตาย แต่ก็นั่นแหละสุดท้ายฉันก็ได้แต่ใช้มือข้างหนึ่งจับขอบกระบะรถไว้แน่นๆ ส่วนมืออีกข้างก็จับท่อนแขนของพี่พระพายที่กำลังกอดเอวของฉันไว้ไปด้วย ในเมื่อเลือกอะไรไม่ได้ก็ต้องเลือกความปลอดภัยให้กับตัวเองก่อนละว่ะ . . . หลายนาทีต่อมา... "เดินไปอีกนิดหน่อยก็ถึงหมู่บ้านแล้ว ขอให้ทุกคนโชคดีครับ" หลังจากที่รถขับมาถึงจุดหนึ่งของพื้นที่ก็ได้จอดรถไว้ให้นักศึกษาทุกคนลงจากรถเพื่อเตรียมเดินทางเท้ากันต่อ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่อาสาขับรถมาส่งพวกเราทุกคนก็ได้เอ่ยพูดพร้อมเบือนสายตาไปทางหมู่บ้านที่มีแสงไฟระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า คงจะเป็นแสงไฟที่ได้จากการใช้แผงโซล่าเซลล์ หมู่บ้านที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงถึงได้สว่างไสวขนาดนั้น "จากตรงนี้เดินไปถึงหมู่บ้านใช้เวลากี่นาทีได้ครับ" พี่พระพายที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันเป็นคนเอ่ยถามพี่เจ้าหน้าที่ก่อนจะเหลือบมองมาทางฉันแล้วแพลนสายตามาที่กระเป๋าลากใบใหญ่ของฉันต่อ อะไรของเขาอะมองกระเป๋าฉันด้วยสายตาหนักใจแบบนั้นทำไม "ครึ่งชั่วโมงได้ครับ พวกคุณโชคดีที่มาในช่วงนี้ ถนนไม่ลื่นดินแห้งเดินทางได้สะดวกครับ" "งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยนะครับ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนมากๆ ครับ" อาจารย์ทศพลเจ้าของโครงการเอ่ยบอกกับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มโค้งทิ้งท้ายให้อีกครั้ง จากนั้นก็เดินนำนักศึกษาทุกคนออกเดินทางเท้ามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านที่กำลังรอพวกเราทุกคน "ให้ผมช่วยไหมครับ" หลังจากที่ฉันเดินลากกระเป๋าของตัวเองด้วยความทุลักทุเลมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนอบอุ่นหัวใจเอ่ยจะช่วยเหลือฉัน ฉันที่กำลังเดินอยู่ก็เลยชะงักเท้าหยุดไว้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงก่อนหน้านี้ แต่ให้ตายเถอะ ฉันเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเลยเพราะเส้นทางที่ใช้เดินอยู่ตอนนี้มันมืดมาก เห็นเพียงรางๆ แวบๆ บางช่วงจังหวะเท่านั้นว่าจมูกโด่งมาก หมับ! "อยากโดนทิ้งไว้กลางป่าหรือไง เพื่อนเดินห่างไปนู่นแล้ว" แต่ช่วงจังหวะที่ฉันพยายามจะเพ่งเล็งใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน จู่ๆ ข้อมือกับกระเป๋าลากของฉันก็ถูกดึงไปจับไว้โดยฝ่ามือใหญ่ของคนที่เดินตามหลังซะก่อน เขาลากฉันเดินไปจากหนุ่มร่างสูงที่ฉันยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร ทำเอาฉันถึงกับทำหน้างงเลยทีเดียว "พี่พระพาย! อะไรของพี่เนี่ยเดินช้าๆ หน่อยได้ไหมล่ะ โซเดินตามไม่ทัน" "ขาสั้นก็งี้" "โห่ นั่นปากเหรอ" "ก็ปากไงเห็นเป็นหูหรือไง" เดี๋ยวก่อนนะ เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็วีนใส่ฉันเฉยเลย ตัวเองเป็นคนว่าฉันขาสั้นเองนะ ฉันแค่ตอบโต้กลับไปแค่นั้นถึงกับวีนใส่ เป็นบ้าเหรอ "วีนทำไมอะ" "ใครวีน" "พี่ไง เมื่อกี้ใส่อารมณ์แบบนั้นวีนกันชัดๆ" เดินไปตอบโต้กันไป พอฉันพูดจบหนึ่งประโยคพี่พระพายก็สวนกลับมาอีกประโยคโดยที่ไม่สนใจคนอื่นๆ ที่กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้าด้วย ก็ดูไอ้พี่รหัสบ้านี่ก่อนเถอะ ฉันเดินของฉันอยู่ดีๆ มีคนจะมาช่วยฉันแบกกระเป๋าให้ แต่เขากลับมาฉุดข้อมือฉันไปจากคนคนนั้นหน้าตาเฉยเลย แถมยังมาทำท่าทีวีนใส่ฉันอีก นี่เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย "ฉันไม่ได้วีนก็แค่รำคาญ คนอื่นเขารีบเดินกันจะตายห่า แต่มีบางคนหยุดคุยกับผู้ชาย มันใช้ได้ที่ไหน" โห่ ดูคำพูดคำจานั่นสิ พูดแบบนี้อยากโดนฉันง้างมือตบปากแหกใช่ไหม พูดมาได้ไงว่าฉันหยุดคุยกับผู้ชาย ที่หยุดเดินเมื่อกี้ฉันยังไม่ได้ปริปากพูดสักคำเลยเถอะ มั่วชะมัด! "พี่มัน..." "รีบเดิน" ไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากเถียงกลับไปก็โดนสายตาดุๆ ของพี่พระพายจ้องเขม็งกลับมาก่อน แถมเมื่อกี้ยังใช้น้ำเสียงโทนต่ำสั่งอีกด้วย สุดท้ายฉันก็เลยเลือกที่จะปิดปากเงียบแทน ก่อนที่จะเดินตามไอ้คนตัวสูงที่กำลังปล่อยรังสีความดุไปอย่างเงียบๆ บ้าบอมาก เดินอยู่ดีๆ ก็ผีเข้าทำท่าทางวีนใส่ ซึ่งปกติมันไม่ใช่แบบนี้ไง ปกติคือเขาแทบจะไม่กล้าเข้าใกล้ฉันด้วยซ้ำแต่นี่เป็นบ้าอะไรไม่รู้ ทำอย่างกับพวกผู้ชายหึงแฟน . . . สามสิบนาทีต่อมา... เฮ้อ! ในที่สุดก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านสักที เหนื่อยมากและหอบมากด้วยแถมยังเมื่อยขาจนอยากทิ้งตัวลงบนพื้นอะ ไหนจะหิวน้ำจนมือไม้สั่นไปหมดอีก แต่ฉันก็อยู่ในอาการพวกนั้นได้ไม่ถึงสามนาทีก็มีกลุ่มชาวบ้านแห่เดินออกมาต้อนรับพวกเราทุกคนกันตรึมเลย แถมยังเดินมาต้อนรับด้วยขันน้ำดื่มในมือด้วย ฉันที่เห็นแบบนั้นก็ฉีกยิ้มดีใจใหญ่ "มาถึงฮ้อนๆ กินน้ำเย็นๆ ก่อนเน้อ" ชายวัยกลางคนหนึ่งในกลุ่มของชาวบ้านที่เป็นคนตักน้ำในขันพูดขึ้นเป็นภาษาถิ่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่งน้ำเย็นๆ ให้อาจารย์ทศพลเป็นคนดื่มคนแรก ตามด้วยชาวบ้านคนอื่นๆ อีกหลายคนที่พากันมาต้อนรับพวกเราทุกคนช่วยกันตักน้ำในขันส่งให้นักศึกษาทุกคนได้ดื่มคลายความเหนื่อย และฉันที่กำลังหิวน้ำจนมือไม้สั่นพอดีก็ไม่รอช้าที่จะรีบดื่มน้ำเพื่อดับความกระหายน้ำอย่างรีบร้อน ทำเอาพี่พระพายที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันเห็นท่าทีรีบร้อนของฉันถึงกับต้องเลิกคิ้วสงสัย โห่ เขายังมีหน้ามาเลิกคิ้วสงสัยฉันอีกเหรอ เดินทางไกลมาขนาดนั้นไม่เหนื่อยสิแปลก แถมยังแบกกระเป๋าบนหลังไว้ไม่รู้กี่กิโลอีก "มองอะไร" ฉันถามเสียงห้วน "จะรีบดื่มไปไหน เดี๋ยวก็สำลักน้ำตายกันพอดี" ที่เขาพูดเนี่ย เขากำลังห่วงใยน้องรหัสอย่างฉันอยู่ใช่ไหม หรือกำลังแช่งฉันให้ตายเหมือนที่ฉันแช่งเรื่องขอให้ตรงนั้นของเขาตายถ้าไม่รีบเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยแบบเมื่อเช้า แต่เอาจริงๆ เลยนะ บางครั้งไอ้คนตรงหน้าฉันนี่ก็ปากดีใช่เล่นเหมือนกันนะ เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไรไม่ดีกับฉันแต่หลังจากที่รู้ว่าต้องมาเข้าค่ายด้วยกัน เหมือนจะละลายพฤติกรรมยังไงไม่รู้ ฝีปากดีมากแถมยังร้ายและเจ้าเล่ห์เอาเรื่องอีกด้วย พูดถึงความเจ้าเล่ห์ทีไรภาพที่โดนจูบไปเมื่อคืนมันก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง เหอะ ให้ตายเถอะจะนึกภาพขึ้นมาให้เห็นทำไมเนี่ย อุจาดตาชะมัด! "ตายก็ดีฉันจะได้เป็นผีมาหลอกพี่เป็นคนแรกไง" ฉันถลึงตาว่ากลับอย่างขึงขัง ทำให้พี่พระพายที่ได้ยินฉันพูดแบบนั้นแอบแยกเขี้ยวเหมือนแมวดุกลับมา "ยัยหนู อยู่ในป่าในดอย ห้ามอู้เรื่องลี้ลับเน้อ" แต่อยู่ๆ ฉันก็ต้องชะงักทันทีที่จู่ๆ ก็มีป้าคนหนึ่งเขาทักห้ามสิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงกับพี่พระพายไว้ ทำให้ฉันที่ลืมตัวค่อยๆ ส่งรอยยิ้มเจื่อนๆ แบบรู้สึกผิดกลับไปให้ป้าเขาเป็นการขอโทษ มันก็จริงตามที่ป้าเขาห้าม อยู่ในป่าในดอยแบบนี้ มองทางไหนก็มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่วสารทิศ สิ่งที่ต้องระวังไว้ก็คือการพูดถึงเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยออกมาจากปากอย่างพวกเรื่องลี้ลับนี่แหละ "ขอโทษค่ะ หนูลืมตัวไปหน่อย" ป้าเขาไม่ตอบแต่ทำเพียงส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้ฉันเท่านั้น ฉันก็เลยเปลี่ยนจากสบตาป้าเขาเป็นมองเท้าตัวเองแทน แต่... จึ๊ก! "โอ๊ย! เธอหยิกฉันทำไมวะ" "คิดว่าจะยอมโดนคนเดียวหรือไง" ฉันกัดฟันบอกพี่พระพายแค่นั้นจบก็จัดการเพิ่มความรุนแรงขึ้นจนเห็นว่าพี่พระพายแสดงออกด้วยสีหน้าเหยเกขั้นสุดจึงยอมปล่อยมือจากเอวของเขาในที่สุด หึ บางทีการได้หยิกคนแล้วเขาไม่สามารถปล่อยเสียงโอดโอ๊ยได้มันก็สะใจอยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะกับไอ้คนที่มันกำลังมองค้อนฉันด้วยสายตาดุๆ อย่างพี่พระพายตอนนี้ เอาสิ ทำฉันคืนสิ "เอาละครับ ดื่มน้ำดื่มท่าแก้เหนื่อยแก้หิวกันให้สดชื่นแล้ว ผมในฐานะผู้ใหญ่บ้านของที่นี่ขอต้อนรับคณะนักศึกษาและคณะครูอาจารย์กันอย่างเป็นทางการนะครับ ผมผู้ใหญ่คำแปงครับ" "สวัสดีครับผู้ใหญ่ ผมอาจารย์ทศพลครับ เป็นผู้ดูแลโครงการนี้ครับ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ผมและเด็กๆ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" อาจารย์ทศพลพูดพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรกับผู้ใหญ่บ้านด้วยท่าทีที่นอบน้อม ทำให้ผู้ใหญ่บ้านที่เห็นแบบนั้นเผยรอยยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นกลับมา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า... "มาถึงกันเหนื่อยๆ พวกเราได้เตรียมอาหารต้อนรับไว้ ขอเชิญอาจารย์และนักศึกษาทุกคนไปกินข้าวก่อนเข้าที่พักก่อนนะครับ ไปครับ" ผู้ใหญ่บ้านพูดจบก็ผายมือไปข้างในหมู่บ้านตรงจุดที่เป็นพื้นที่สำหรับเลี้ยงข้าวให้พวกเรา อาจารย์ทศพลที่เป็นผู้นำของพวกเราจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามผู้ใหญ่บ้านไป ฉันและนักศึกษาคนอื่นๆ หลายสิบคนจึงทยอยเดินตามไปด้วย แต่ถามว่าระหว่างทางที่กำลังเดินตามผู้ใหญ่บ้านไป ฉันกับพี่พระพายทำอะไรกันอยู่ คำตอบก็คือ ตีกันอยู่ค่ะ ไอ้พี่รหัสหมาบ้าของฉันเขาไม่ยอมที่โดนฉันหยิกเมื่อกี้ เขาก็เลยจัดการดึงเปียของฉันจนตัวเซไปข้าง ทำเอาฉันที่เกือบจะหงายหลังนอนบนพื้นเมื่อกี้ต้องรีบลากกระเป๋าเดินเร็วๆ ให้ทันพี่พระพายจากนั้นก็ยกเท้าเหยียบหลังเท้าของพี่พระพายแรงๆ พร้อมบดขยี้ซ้ำๆ ก่อนวิ่งหนีเดินนำไปอยู่ด้านหน้าสุดแทน หึ เอาสิ ถ้ามันต้องมีคนชนะคนคนนั้นต้องเป็นฉันเท่านั้น!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม